ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 247 หนึ่งเดียว
ตอนที่ 247 หนึ่งเดียว
“แม่ทัพใหญ่ คุณหนูสามกลับจวนแล้วขอรับ!” บ่าวคนหนึ่งเข้ามารายงาน
“คุณชายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณชายน้อยมีคนแบกกลับมา ดูแล้วจิตใจยังดีอยู่ขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วโล่งอกก่อนจะถามต่อว่า “คุณหนูสามไม่ได้ให้คนมาส่งข่าวหรือ”
“ไม่มีขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วลุกขึ้นด้วยความจนใจ
ดูท่าเซิงเอ๋อร์คงคิดจะไม่บอกเรื่องนี้
พอเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วลุกยืน บ่าวก็รีบบอกว่า “คุณหนูสามกำลังมาที่นี่ขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วทิ้งตัวกลับลงนั่งทันที เอ่ยด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ไสหัวไป!”
พอเห็นว่าบ่าวผู้นั้นยังไม่ขยับตัว แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงถลึงตาดุ “หือ?”
“เรียนแม่ทัพใหญ่ คุณหนูสามยังถือกล่องอาหารมาด้วยขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพลันตาเป็นประกาย พยายามควบคุมความตื่นเต้นที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างเต็มที่ขณะเอ่ยเสียงเรียบว่า “ออกไปเถิด”
บ่าวออกไปพร้อมสีหน้านอบน้อมแต่สงบนิ่ง
รู้อยู่แล้วเชียวหากแม่ทัพใหญ่ได้ยินว่าคุณหนูสามเอาอาหารกลับมาด้วยอย่างไรก็โกรธไม่ลง
ประตูปิดลง อยู่ๆ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า
เขาหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกอ่านเรื่อยเปื่อย พลิกไปสองหน้าก็วางหนังสือกลับลงอย่างเดิมแล้วลุกขึ้นเดินไปเดินมาแทน
คำนวณจากระยะทางน่าจะมาถึงแล้วนี่
เพราะระหว่างทางมีคนคารวะเลยทำให้เสียเวลาหรือเพราะกล่องอาการหนักเกินไปนะ
แม่ทัพใหญ่ลั่วเงี่ยหูคอยฟัง ในที่สุดก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากหน้าประตูเสียที เขารีบนั่งลงหยิบหนังสือมาตั้งท่าอ่านอย่างเก่า
ลั่วเซิงพอเดินเข้ามา สิ่งที่เห็นก็คือแม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังนั่งอ่านหนังสือหน้าตาคร่ำเคร่งอยู่
“หอสุราปิดแล้วหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วหันไปส่งยิ้มน้อยๆ ให้บุตรสาว
ลั่วเซิงถือกล่องอาหารเดินเข้าไป “มีเรื่องหนึ่งจะรายงานให้ท่านทราบเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่ววางหนังสือลง ทำท่าบอกให้ลั่วเซิงนั่งลง
“เสี่ยวชีปีนต้นพลับแล้วตกลงมา ลั่วเฉินจะยื่นมือไปรับเลยถูกกระแทกจนหมดสติ…”
“กระแทกจนหมดสติ?” แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไม่ได้บอกว่าไม่เป็นอะไรมากหรือ เหตุใดถึงได้หมดสติด้วย
“เขาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ แค่ได้แผลเล็กน้อย”
แม่ทัพใหญ่ลั่วดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “เช่นนั้นก็ดี บาดเจ็บที่ตรงใดหรือ ทำแผลทายาหรือยัง”
ลั่วเซิงลอบสังเกตสีหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่วอยู่เงียบๆ ขณะบอกไปว่า “จัดการทำแผลเรียบร้อยแล้ว เป็นแผลที่ก้นเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาแม่ทัพใหญ่ลั่วหดเกร็งขึ้นเล็กน้อย โพล่งถามไปว่า “ใครเป็นคนทำแผลให้เฉินเอ๋อร์หรือ”
คิ้วลั่วเซิงขยับเล็กน้อย
ที่แท้สิ่งที่แม่ทัพใหญ่ลั่วสนใจที่สุดคือใครเป็นคนทำแผลให้ลั่วเฉินอย่างนั้นหรือ
ต่อให้เป็นว่าแผลที่ก้นของลั่วเฉินลึกหรือไม่ จะเป็นรอยแผลเป็นหรือไม่ก็น่าสนใจกว่าที่เขาถามออกมามากนัก
นอกเสียจากว่า…สายตาลั่วเซิงเปลี่ยนเป็นล้ำลึก
นอกเสียจากว่าเรื่องนี้สำคัญมาก… เพราะกลัวจะมีคนเห็นรอยแผลเป็นที่ก้นของลั่วเฉินงั้นหรือ
ลั่วเซิงตัดสินใจถามลองเชิงดู
“เสี่ยวชีเสนอตัวทำแผลให้ลั่วเฉินเจ้าค่ะ”
“อ้อ” พอคิดถึงเจ้าเด็กดำที่หน้าตาดูค่อนข้างซื่อบื้อแล้ว สีหน้าแม่ทัพใหญ่ลั่วก็กลับคืนสู่ความปกติ
“เสี่ยวชีบอกกับข้าว่า ที่ก้นลั่วเฉินมีรอยแผลเป็นอยู่รอยหนึ่ง” บนหน้าลั่วเซิงมีแววใคร่รู้ “ท่านพ่อ ลั่วเฉินได้แผลตรงนั้นมาตั้งแต่เมื่อไรหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าพลันแข็งค้าง พักหนึ่งถึงได้เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เรื่องตั้งหลายปีมาแล้ว พ่อยังเริ่มจำไม่ได้แล้วเลย”
ลั่วเซิงทำท่าตกใจ “ลั่วเฉินได้แผลมาอย่างไร ท่านก็จำไม่ได้แล้วหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพลันลมหายใจชะงัก
เหตุใดฟังเซิงเอ๋อร์ถามเช่นนี้แล้วถึงรู้สึกว่านางกำลังกล่าวโทษเขานะ
“แค่กๆ” แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอมเบาๆ “พ่อนึกออกแล้ว”
“เช่นนั้นท่านช่วยบอกทีเจ้าคะ”
“คือว่าตอนเฉินเอ๋อร์เด็กๆ ไปถูกกระถางกำยานลวกเข้าน่ะ…”
ลั่วเซิงหน้าตาดูตกใจ “ถูกกระถางกำยวนลวกเข้าเชียวหรือ สาวใช้แม่นมพวกนั้นมัวทำอะไรกันอยู่”
“เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเพราะความเลินเล่อของเจ้าสารเลวพวกนั้นนั่นแหละ”
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “บ่าวไพร่พวกนี้ช่างสะเพร่าเสียจริง”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้า “ดังนั้นพ่อเลยจัดการฝังกลบพวกสารเลวนั่นไปแล้ว”
ลั่วเซิงจมลงสู่ความเงียบ
หากกล่าวเช่นนี้ นอกจากเชื่อคำพูดของแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่มีข้อพิสูจน์อื่นใดอีก
ลั่วเซิงนึกถึงเซิ่งซื่อที่เป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
หากเซิ่งซื่อยังอยู่ บางทีอาจจะขอให้นางช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้
น่าเสียดายก็แต่ได้ยินหงโต้วบอกว่า เซิ่งซื่อตกเลือดหลังคลอด บุตรอายุไม่ถึงเดือนก็จากไปเสียแล้ว
นางถามต่อ แต่หงโต้วก็บอกอะไรไม่ได้แล้ว
ได้ยินว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ชอบได้ยินคนเอ่ยถึงภรรยาที่จากโลกนี้ไปแล้วของเขา นานวันเข้าคนเก่าแก่ในจวนเลยไม่กล้าเอ่ยถึงอีก คนรุ่นเดียวกับหงโต้วยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่
“เซิงเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้หรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วเหลือบมองกล่องอาหารที่เซิงเอ๋อร์วางไว้บนโต๊ะน้ำชา
ลั่วเซิงระบายยิ้ม “ข้ามีน้องชายกับเขาอยู่คนเดียว ย่อมต้องเป็นห่วงเขามากหน่อย”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสายตาฉายแววซึ้งใจ “เซิงเอ๋อร์โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
รู้จักเป็นห่วงน้องชายเพียงคนเดียวแล้ว มิน่าเล่าถึงได้เอากล่องอาหารมาให้เขา
คนที่เป็นบิดาอย่างเขาก็มีอยู่คนเดียวนี่นะ
ลั่วเซิงคล้ายเข้าใจว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วคิดอะไรอยู่จึงถามว่า “ท่านพ่อกินมื้อเย็นแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“ยังเลย!” แม่ทัพใหญ่ลั่วโพล่งออกไปทันที เขากระแอมรักษากิริยาทีหนึ่ง “กำลังคิดว่าจะจัดการงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยกินน่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีเลย ข้าเอาขนมเปี๊ยะพันชั้นไส้เนื้อมาให้ท่าน น่าจะยังอุ่นๆ อยู่” ลั่วเซิงเปิดกล่องอาหาร แล้วเอาขนมเปี๊ยะพันชั้นที่ห่ออยู่ในกระดาษซับน้ำมันออกมาจากชั้นที่ใช้ผ้าเก็บอุณหภูมิไว้
พอลองแตะกระดาษซับน้ำมันดู ยังมีไอร้อนอยู่จริงๆ เสียด้วย
แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบรับไปทันที “จะเย็นหรือร้อนไม่สำคัญ แค่เอากลับมาจากหอสุราเป็นใช้ได้”
ลั่วเซิงระบายยิ้ม “เช่นนั้นเชิญท่านกินก่อนเถิด ข้ากลับก่อนล่ะเจ้าคะ”
“กลับไปพักเถิด อีกเดี๋ยวพ่อจะไปเยี่ยมเฉินเอ๋อร์”
ลั่วเซิงย่อเข่าลงเล็กน้อยแล้วออกจากห้องหนังสือไป
พอเท้าเหยียบลานด้านนอก ดาวกระจ่างเต็มท้องฟ้า
ลั่วเซิงเงยหน้ามองแล้วหันกลับไปมองทางห้องหนังสืออีกครั้ง
ไฟในห้องหนังสือยังสว่างไสว บนหน้าต่างสะท้อนเงาใครคนหนึ่ง
นั่นคือแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ในตอนนี้อารมณ์ของลั่วเซิงค่อนข้างซับซ้อน โดยมากเป็นความมึนงงที่เกิดจากการคาดเดาความจริงไม่ถูก
นางนึกย้อนอย่างละเอียดถึงลักษณะของลั่วเฉิน ลักษณะของบิดามารดา รวมถึงลักษณะของนางเมื่อในอดีต
ลั่วเฉินกับพระชายา… ดูจะมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง
แต่ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความจริงหรือความรู้สึกที่นางคิดไปเองหลังจากเกิดเรื่องกันแน่
หากว่าลั่วเฉินก็คือเป่าเอ๋อร์จริง แล้วเหตุใดแม่ทัพใหญ่ลั่วถึงต้องทำเช่นนี้
หงโต้วที่อยู่ในลานเห็นลั่วเซิงยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นก็เอ่ยเรียกว่า “คุณหนู?”
ลั่วเซิงหลุดจากภวังค์ หันมองหงโต้วกับโค่วเอ๋อร์ทีหนึ่งแล้วบอกเรียบๆ ว่า “ไปกันเถิด”
ระหว่างทางเดินกลับเรือนเสียนอวิ๋นย่วน สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังกระซิบกระซาบกันไม่หยุด
วันนี้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น แต่เพราะลั่วเฉินไม่เป็นอะไรมาก เลยกลับยิ่งทำให้มีเรื่องสนุกมาพูดคุย
ลั่วเซิงผ่อนฝีเท้า เอ่ยถามคล้ายไม่ได้ตั้งใจว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินว่าตอนท่านแม่ข้ายังอยู่มีบ่าวรับใช้คนสนิทหรือไม่”
โค่วเอ๋อร์รีบตอบ “บ่าวเคยได้ยินเจ้าค่ะ!”
หงโต้วลอบกลอกตา
จะแย่งตอบทำไมกัน ทำอย่างกับว่าช้ากว่านี้แล้วนางจะตอบได้อย่างนั้นแหละ
เชอะ นางไม่ได้ปากเปราะชอบซุบซิบเหมือนโค่วเอ๋อร์สักหน่อย!
“ว่ามาที” ลั่วเซิงทำทีเป็นเอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจ
“บ่าวไพร่ที่ฮูหยินใกล้ชิดด้วยบ่าวไม่แน่ใจนัก แต่ได้ยินว่ามีอี๋เหนียงคนหนึ่งที่ฮูหยินให้ความสำคัญเจ้าค่ะ”