ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 250 เป่าเอ๋อร์
ตอนที่ 250 เป่าเอ๋อร์
ลั่วเซิงเองก็ไม่ได้เก้อเขินแต่อย่างใด รอยยิ้มบนใบหน้าหวานกว่าเดิม “อาหารเพิ่งทำเสร็จ หมอเทวดาจะกินก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าขอฟังก่อนว่าเจ้ามีเรื่องอะไร” หมอเทวดาหลี่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
กินข้าวตอนนี้ไม่ใช่ว่าต้องกินด้วยกันสองคนหรือ จะให้เขากินแล้วให้นังหนูน้อยนั่งดูเฉยๆ คงไม่ได้หรอกกระมัง
“ไปเถอะ เข้าไปคุยข้างใน” หมอเทวดาหลี่วางจอบขุดสมุนไพรลง ถูดินที่เปื้อนรองเท้าออกแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ลั่วเซิงถือกล่องอาหารเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย
โรงหมอแบ่งเป็นร้านด้านหน้าและสวนด้านหลังเหมือนกัน แต่กว้างขวางกว่าหอสุรา
หมอเทวดานั่งลง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พูดมาเถอะ”
เมื่อเห็นหมอเทวดาหลี่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ลั่วเซิงก็ไม่ได้พูดไร้สาระอีก นางเกริ่นเข้าประเด็นว่า “ข้าอยากขอคำชี้แนะจากท่าน มีวิธีตรวจสอบว่าคนสองคนเป็นพ่อลูกกันหรือไม่ วิธีหยดเลือดนับญาติเชื่อถือได้หรือไม่”
“หยดเลือดนับญาติ?”
ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ “ได้ยินมาว่ามีเรื่องแบบนี้ไม่น้อย ศาลาว่าการเองก็ใช้วิธีนี้ในการคลี่คลายคดี”
หมอเทวดาหลี่เป่าเคราทีหนึ่ง “หยดเลือดนับญาติกับผีน่ะสิ ไม่ว่าจะเป็นวิธีหยดเลือดนับญาติหรือวิธีหยดเลือดบนกระดูกล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล”
ลั่วเซิงชะงัก
ถึงอย่างไรนางก็เคยอ่านหนังสือการแพทย์มาไม่มาก นางไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์เลยด้วยซ้ำ
หยดเลือดนับญาติเป็นเรื่องเหลวไหลหรือ
แต่ในเมื่อหมอเทวดาพูดเช่นนี้แล้วก็คงเป็นเรื่องจริง
“เช่นนั้นควรตรวจสอบความสัมพันธ์พ่อลูกอย่างไรเจ้าคะ” ลั่วเซิงไม่ได้ซักไซ้ว่าเหตุใดการหยดเลือดนับญาติจึงเป็นเรื่องเหลวไหล
สำหรับนางแล้ว แต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน คนๆ หนึ่งไม่มีทางเข้าใจทุกเรื่องได้อย่างถ่องแท้ แทนที่จะอาศัยความรู้เพียงผิวเผิน สู้เชื่อคนที่เก่งกาจที่สุดในด้านนี้ดีกว่า
หมอเทวดาหลี่เงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “หากสงสัยในความสัมพันธ์ของพ่อลูก ก่อนอื่นต้องตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอก”
“รูปลักษณ์ภายนอกหรือ” ลั่วเซิงชะงัก
ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ
หมอเทวดาหลี่เลิกคิ้วมองลั่วเซิง “คิดว่าง่ายมากใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา
“ดังนั้นจึงไม่ถูกต้องเสมอไป”
ลั่วเซิง “…”
หากไม่ใช่หมอเทวดา นางคงเดินสะบัดแขนเสื้อจากไปแล้ว
“การดูหน้าถือเป็นการอ้างอิงอย่างหนึ่ง เพราะว่าพ่อแม่และลูกส่วนใหญ่ล้วนมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน” หมอเทวดาหลี่อธิบายอย่างไม่รีบร้อน
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “แต่หากหน้าตาไม่เหมือนกันเลยเล่า”
“แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ ลูกอาจมีส่วนที่คล้ายคลึงกับบรรพบุรุษ”
“หากเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถตัดสินได้อย่างถูกต้องน่ะสิเจ้าคะ” ลั่วเซิงรู้สึกผิดหวัง
หมอเทวดาหลี่พยักหน้าช้าๆ “จะพูดเช่นนี้ก็ย่อมได้ นี่ก็คือเหตุผลที่ลูกนอกสมรสถูกยอมรับได้ยาก”
“แล้วไม่มีวิธีไหนเลยหรือเจ้าคะ”
เมื่อต้องเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเด็กสาว หมอเทวดาหลี่ก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้ แต่นี่ถือเป็นวิธีค่อนข้างพิเศษ”
“ท่านเอ่ยมาได้เลยเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่ลูบเคราขาวพลางพูดว่า “โรคบางชนิดสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกได้ หากพ่อลูกตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าเป็นโรคเดียวกัน ความน่าจะเป็นที่จะเป็นพ่อลูกก็จะมากขึ้นไปโดยปริยาย”
“โรคหรือ” ลั่วเซิงใจกระตุก มองหมอเทวดาหลี่ตาปริบๆ “หมอเทวดาหลี่อธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่เจ้าคะ”
การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของโรคนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน หมอเทวดาหลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยกตัวอย่างเรื่องๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ให้ฟัง “แม่นางน้อย ในเมื่อเจ้ารู้ตำรับยาลดไข้และยาบำรุงปราณ เช่นนั้นก็น่าจะรู้ว่ายาบำรุงปราณห้ามเผยแพร่ออกไปใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงพยักหน้า
นี่คือสิ่งที่หมอเทวดาหลี่สั่งไว้ครั้นอยู่จวนเจิ้นหนานอ๋อง นางย่อมไม่ลืม ดังนั้นจึงปกปิดข้อมูลบางส่วนไว้ตอนที่หมอหวังปรุงยาบำรุงปราณ
เมื่อขาดตัวยากระตุ้นฤทธิ์ยาก็ไม่ใช่ตำรับยาที่สมบูรณ์
“ยาลดไข้และยาบำรุงปราณล้วนเป็นยาดีสำหรับช่วยชีวิตคน แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงห้ามไม่ให้เผยแพร่ตำรับยาบำรุงปราณ”
ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
จู่ๆ หมอเทวดาหลี่ก็เน้นน้ำเสียงหนักขึ้น “เพราะว่าเดิมยาบำรุงปราณเป็นยาที่คิดค้นสำหรับรักษาโรคเฉพาะกลุ่มน่ะสิ”
รักษาโรคเฉพาะกลุ่ม?
ลั่วเซิงอดกำมือแน่นไม่ได้
“ยาบำรุงปราณเป็นยาสำหรับบำรุงร่างกายให้ผู้ป่วยคนหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อหลายปีก่อน ยาชนิดนี้ให้ผลดีกับอาการป่วยของนางมาก”
“แล้วหากผู้อื่นทานเล่า”
หมอเทวดาหลี่ยิ้มอย่างไม่แยแส “แน่นอนว่าผู้อื่นทานไปย่อมไม่ตาย ประโยชน์ยังมีไม่มากก็น้อย แต่เทียบกับราคาของยาบำรุงปราณแล้ว ประโยชน์ที่ได้รับนี้ย่อมไม่มีความหมาย”
ลั่วเซิงกระจ่าง
ที่แท้นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่หมอเทวดาหลี่กำชับห้ามไม่ให้เผยแพร่ยาบำรุงปราณ
“แล้วน้องชายข้า…” ลั่วเซิงพยายามข่มหัวใจที่กำลังเต้นระรัว ถามลองเชิง
หมอเทวดาหลี่หลี่ตามองลั่วเซิง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นังหนูเจ้าโชคดี อาการป่วยของน้องชายเจ้าเหมือนกับผู้ป่วยท่านนั้นพอดี เงินสำหรับยาบำรุงปราณนั่นจึงไม่ได้เสียเปล่า”
แม้ลั่วเซิงมีลางสังหรณ์ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เมื่อหมอเทวดาหลี่พูดคำว่า ‘อาการป่วยของน้องชายเจ้าเหมือนกับผู้ป่วยท่านนั้น’ เสียงฟ้าร้องคำรามก็พลันดังขึ้นในใจ
อาการอ่อนแอของลั่วเฉินเหมือนกับอาการของท่านแม่?
อีกทั้งรอยแผลเป็นบริเวณก้นของลั่วเฉิน ความสัมพันธ์ของแม่ทัพใหญ่ลั่วและจวนเจิ้นหนานอ๋องเพียงพอที่จะบอกว่าลั่วเฉินก็คือเป่าเอ๋อร์แล้ว
ลั่วเฉินก็คือเป่าเอ๋อร์…
มือที่กำแน่นของลั่วเซิงคลายออกแล้วกำแน่นอีกครั้ง นางพยายามรักษาสีหน้าให้สงบนิ่ง
หมอเทวดาหลี่มองนางอย่างลึกซึ้ง “แม่นางน้อย อยู่ๆ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”
ลั่วเซิงระงับความสับสนวุ่นวายในใจ ปรายตามองประตู พูดเสียงเบาว่า “ข้าสงสัยว่าน้องชายข้าไม่ใช่ลูกชายของท่านพ่อข้า”
หมอเทวดาหลี่ผู้น่าสงสารอายุมากพอที่จะเป็นปู่ของหมอหวัง เขาผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เขาแทบอยากจะสาดน้ำชาในมือออกไป
ตั้งแต่ที่นังหนูน้อยบอกว่านางสงสัยว่าตนเองจะถูกท่านหญิงชิงหยางสิงร่าง เขาก็รู้สึกว่านางเป็นคนกล้าพูดทุกอย่าง แต่คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้
“ข้าจะกินข้าวแล้ว แม่นางน้อยกลับไปเถอะ” เรื่องในครอบครัวของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นท่านค่อยๆ ทานนะเจ้าคะ ข้ากลับไปก่อนแล้ว”
ลั่วเซิงจากโรงหมอไป กลับถึงหอสุราแล้วก็เรียกซิ่วเย่ว์เข้ามาในห้อง
“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ซิ่วเย่ว์อดไม่ได้ที่จะถาม
เมื่อคืนนางแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะคิดถึงเรื่องเสี่ยวชีและลั่วเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ลั่วเซิงนั่งลง ยกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งพูดว่า “ลั่วเฉินน่าจะเป็นเป่าเอ๋อร์ตัวจริง”
ซิ่วเย่ว์ปากสั่น ทำท่าจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออกราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นบีบคอเอาไว้
“หมอเทวดาหลี่บอกว่าโรคของลั่วเฉินและท่านแม่คือโรคเดียวกัน”
ซิ่วเย่ว์ค่อยๆ ปิดปาก ผ่านไปนานกว่าจะพูดเสียงสั่นว่า “แล้วเสี่ยวชีคือใครเจ้าคะ”
ลั่วเซิงมองซิ่วเย่ว์ด้วยสีหน้าจริงจัง “ครานั้นเจ้าเห็นกับตาว่าหยางจุ่นพาทารกคนหนึ่งจากไปใช่หรือไม่”
“บ่าวไม่มีทางดูผิดแน่นอนเจ้าค่ะ!” ซิ่วเย่ว์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
นางจะดูผิดได้อย่างไร การสบตาครั้งนั้น พวกเขาแยกจากกันตลอดกาลนับจากนั้น
“เราพลาดไปเรื่องหนึ่ง”
ซิ่วเย่ว์กลั้นหายใจ รอลั่วเซิงพูดต่อไป
ลั่วเซิงพูดทีละพยางค์ว่า “ทารกที่ร่วงตกลงมาตาย”
ซิ่วเย่ว์ตกตะลึง
ลั่วเซิงพูดต่อไปว่า “ก่อนซือหนานตาย เขาบอกข้าว่าเป่าเอ๋อร์ร่วงลงมาตายอยู่บนถนน ทารกคนนั้นคงไม่สามารถโผล่ขึ้นมาบนถนนได้เองแล้วเขาปรากฏตัวขึ้นที่นั่นได้อย่างไร”
ซิ่วเย่ว์พูดโดยสัญชาติญาณว่า “คนของจวนอ๋องพาออกไป!”