ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 254 คุ้มค่า
ตอนที่ 254 คุ้มค่า
สือเยี่ยนหูผึ่งทันที
อะไรนะ สะกดตามรอยคุณหนูลั่ว?
นายท่านเคยทำเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ
เอ่อ เยี่ยมไปเลย! แต่ห้ามยอมรับเด็ดขาด สะกดรอยตามหญิงสาวไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมินักหรอกนะ
“แค่กๆ” องครักษ์น้อยที่กำลังเช็ดโต๊ะกระแอมไอเสียงดัง
เว่ยหานพยักหน้าตามซื่อตรง “อืม”
สือเยี่ยน “…” เขาเช็ดโต๊ะอย่างขยันขันแข็งต่อไปดีกว่า!
“วันนั้นข้าเป็นห่วงคุณหนูลั่วเข้าไปในป่าคนเดียวจะเป็นอันตรายก็เลยตามไปด้วย” เว่ยหานพูดอย่างใจเย็น
หากคุณหนูลั่วไม่รู้ เขาย่อมไม่พูดขึ้นมาเอง แต่ในเมื่อคุณหนูลั่วถามแล้ว เขาก็จะไม่ปิดบัง
ลั่วเซิงได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วตามสัญชาติญาณ
ไม่ว่าใครได้ยินว่าถูกคนสะกดตามรอยก็คงไม่พอใจ แต่ว่าคนๆ นี้คือไคหยางอ๋อง… นางมองเขานิ่ง
เขาบอกว่าเป็นเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนางก็คงเป็นเพราะเหตุผลนี้จริงๆ ไม่มีความหมายแฝงอื่นใด
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักกินที่แม้แต่ให้ของขวัญก็ยังเลียนแบบผู้อื่น
“ขอบคุณท่านอ๋องที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ริมฝีปากของชายตรงข้ามจู่ๆ ก็ยกขึ้น “คุณหนูลั่วไม่ถือสาข้าที่ทำโดยพลการก็พอ”
เขาคิดว่าคุณหนูลั่วรู้ว่าเขาแอบตามนางแล้วนางจะโมโห
แม้รู้ว่านางอาจจะโกรธ แต่เขาก็จะไม่ปิดบัง แต่แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่นางไม่โมโห
“ดอกไม้นี้…” นิ้วเรียวและขาวของเด็กสาวแตะกลีบดอกเก๊กฮวยที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ “ข้าจะนำไปทำเนื้อคลุกดอกเก๊กฮวย ต่อไปท่านอ๋องไม่ต้องให้ดอกไม้ข้าแล้ว ไม่เช่นนั้นเวลาจัดการก็เป็นเรื่องลำบาก”
“ได้” เว่ยหานได้ยินว่าดอกเก๊กฮวยที่นำมาวันนี้จะนำไปทำเนื้อคลุกดอกเก๊กฮวยก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
อย่างน้อยก็มีจุดจบที่ดีกว่าดอกพุดตานช่อนั้นที่เขานำกลับไปเมื่อวาน
ลั่วเซิงไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่กำลังอมยิ้มตรงหน้า นางกอดแจกันพร้อมดอกไม้เดินไปที่สวนหลังเรือน
เว่ยหานกะพริบตาสองสามที
แม้แต่แจกันดอกไม้ก็เอาไปแล้ว แม้พรุ่งนี้เขาจะนำดอกไม้มาให้อีกก็ไม่มีแจกันให้ใส่ เห็นได้ว่าคุณหนูลั่วไม่ชอบดอกไม้จริงๆ
เช่นนั้นพรุ่งนี้จะให้อะไรดีนะ
จนเมื่ออาหารถูกยกขึ้นมา เว่ยหานยังคงครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก
เขาดื่มสุราคำหนึ่งแล้วถอนหายใจ
ช่างเถอะ ในเมื่อตอนนี้คิดไม่ออกว่าคุณหนูลั่วชอบอะไร พรุ่งนี้ก็มาหอสุราเหมือนเดิมแล้วกัน คิดได้แล้วค่อยว่ากัน
“เสด็จอามาเร็วจังเลย” เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น
เว่ยหานถือจอกสุราในมือ มองไปตามเสียง
ผู้ที่มาคือเว่ยเชียง
วันนี้เว่ยเชียงสวมชุดสามัญสีน้ำเงินไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขา ราวกับเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่อ่อนโยนและสง่างามของจวนใดจวนหนึ่ง
เว่ยหานถามเสียงราบเรียบ “บาดแผลของรัชทายาทที่ถูกหมูป่าขวิดดีขึ้นหรือยัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยเชียงแข็งทื่อ สีหน้าอ่อนโยนบิดเบี้ยวเล็กน้อย
เหตุใดไคหยางอ๋องต้องพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดด้วยนะ
ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับสายตาเจือความห่วงใยจางๆ ของอีกฝ่าย เขาจำต้องตอบ ถึงอย่างไรตอนนั้นไคหยางอ๋องเป็นคนช่วยเขาไว้ หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าเขาไร้มารยาทต่อไคหยางอ๋อง ชื่อเสียงจะเสียหาย
“ขอบคุณเสด็จอามากที่เป็นห่วง อันที่จริงระหว่างทางที่กลับมาก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี” เว่ยหานหลุบตาลง ดื่มสุราคำหนึ่ง
เว่ยเชียงฝืนยิ้มพูดว่า “ไม่มีโอกาสขอบคุณเสด็จอาดีๆ สักครั้ง วันนี้ให้หลานเป็นเจ้ามือเถอะ”
ไคหยางอ๋องถามถึงอาการบาดเจ็บของเขาด้วยความเฉยเมยเช่นนี้ นอกจากจะไม่ได้ทำให้เขารับรู้ถึงความห่วงใยแม้แต่น้อยแล้ว ยังทำให้เขารู้สึกถึงการมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นของอีกฝ่าย
เว่ยเชียงสังเกตสีหน้าของเว่ยหานอย่างละเอียดแต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ จึงทำได้เพียงปฏิเสธความคิดนี้เงียบๆ
เขาไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับไคหยางอ๋อง แม้ไคหยางอ๋องจะมีนิสัยแปลกประหลาดอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เขาขุ่นเคืองกระมัง
คงเป็นเขาที่คิดมากไปเอง
“รัชทายาทอยากเป็นเจ้ามือหรือ” เว่ยหานเลิกคิ้ว
เว่ยเชียงมองท่าทางเลิกคิ้วของเขา จู่ๆ ก็คิดถึงเงินห้าพันหกร้อยยี่สิบตำลึงนั่น
แค่เลี้ยงไคหยางอ๋องคนเดียว เขารับไหว แต่หากเหมือนครั้งที่แล้ว…
เมื่อชื่นชมสีหน้าแข็งทื่อของเว่ยเชียงพอแล้ว เว่ยหานก็พูดเสียงราบเรียบว่า “ไม่เป็นไร ข้าชินกับการกินคนเดียว รัชทายาทตามสบายเถิด”
เว่ยเชียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ในใจ ยิ้มพูดว่า “เช่นนั้นไม่รบกวนเสด็จอาดื่มสุราแล้ว”
เมื่อวานถือเป็นวันแรกที่หอสุราเปิดร้านอย่างเป็นทางการหลังจากปิดร้านชั่วคราวไป อาหารของหอสุราถูกตระเตรียมไว้มากมาย ผู้ที่มากินก็มีมากมายเช่นกัน
หลังจากทานอาหารมื้อใหญ่ กระเป๋าเงินก็แฟบ คนที่มาคืนนี้จึงน้อยลงในทันที
จนเมื่อหงโต้วยกเนื้อคลุกดอกเก๊กฮวยที่เพิ่งตักออกมาจากหม้อออกมา ในร้านยังคงมีที่ว่าง
“เนื้อคลุกดอกเก๊กฮวยมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตะโกนเสียงใส วางอาหารเย้ายวนลงตรงหน้าเว่ยหาน
ครานี้เอง อาหลานสองคนต่างแสดงท่าทางเหมือนกันออกมาโดยไม่ได้นัดหมาย สายตาของพวกเขามองข้ามหงโต้ว เหลือบมองม่านประตูที่ทอดผ่านเข้าไปในสวนหลังเรือนจากห้องโถง
คนๆ นั้นไม่ได้ปรากฏกาย
เว่ยหานจึงหันมาสนใจอาหารจานใหม่ที่ยกขึ้นมานี้
เห็นกลีบดอกเก๊กฮวยในจาน ชายหนุ่มอดยกมุมปากไม่ได้
นี่คือดอกเก๊กฮวยที่เขาให้หรือ
คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่ออยู่ในมือคุณหนูลั่วแล้วจะกลายเป็นอาหารเลิศรสได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้
บางทีให้วัตถุดิบคุณหนูลั่วเป็นของขวัญ นางอาจจะชอบมากกว่า
เว่ยเชียงนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เหลือบมองเนื้อคลุกดอกเก๊กฮวยที่มีควันลอยฉุยก็อดถามหงโต้วไม่ได้ว่า “นี่คืออาหารจานใหม่หรือ”
หงโต้วยิ้มๆ ตอบว่า “มิใช่เพคะ มีแค่จานเดียวสำหรับท่านอ๋องเพคะ”
เว่ยเชียงอดมองเว่ยหานไม่ได้
ชายหนุ่มที่ยังคงสวมชุดสีแดงเข้มอมยิ้ม ประหนึ่งหิมะบนยอดเขาละลายกลายเป็นแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ
เว่ยเชียงหน้าไม่เปลี่ยนสีแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสน ไคหยางอ๋องและคุณหนูลั่ว… มีใจให้กันหรือ
หากเป็นเช่นนั้น สำหรับเขาแล้วเท่ากับว่ามีอุปสรรคเพิ่มมากขึ้นสิ
“คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จอาจะได้สิทธิพิเศษจากหอสุราด้วย” เว่ยเชียงพูดพลางอมยิ้ม
เว่ยหานหรี่ตามองเขา พูดเสียงราบเรียบว่า “ข้านำวัตถุดิบมาเองน่ะ”
เว่ยเชียงชะงัก อดมองเนื้อคลุกดอกเก๊กฮวยอีกครั้งไม่ได้
ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง มาดื่มสุรายังเอาเนื้อหมูมาเอง?
เอ่อ อาจจะติดนิสัยมาจากเป่ยเหอกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้ การคาดเดาเมื่อครู่นี้ก็กลายเป็นความไม่มั่นใจ
ม่านผ้าฝ้ายของประตูที่เชื่อมไปยังสวนหลังเรือนถูกเปิดออก ลั่วเซิงก้าวเท้าเข้ามาก็เห็นเว่ยเชียงในทันที
นางเผลอมองนานไปเล็กน้อย ดวงตาและใบหน้าล้วนสงบนิ่ง
ราวกับว่าแค่ประหลาดใจว่าเหตุใดรัชทายาทจึงมาปรากฎตัวที่นี่
ในความเป็นจริงแล้ว ลั่วเซิงเองก็ประหลาดใจจริงๆ
ในความคิดของนาง เว่ยเชียงทำเรื่องน่าอับอายที่เป่ยเหอ ถึงอย่างไรก็ต้องเก็บตัวอ้างว่ารักษาตัวอยู่ในพระราชวังจนกว่าจะมีข่าวลือเรื่องใหม่มิใช่หรือ
แต่นี่เพิ่งจะกลับเมืองหลวง เขายังมีอารมณ์มาหอสุรา?
สิ่งผิดปกติย่อมมีเบื้องลึกไม่ปกติ
เว่ยเชียงสงสัยนางหรือซิ่วเย่ว์จนอดมาสืบไม่ได้หรือ
ลั่วเซิงเดินเข้าไป คารวะอย่างนอบน้อม “ไม่คิดว่าองค์ชายจะมาหอสุราวันนี้ บาดแผลที่ฝ่าบาทถูกหมูป่าขวิดหายแล้วหรือเพคะ”
เว่ยเชียง “…”
ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยว่าคุณหนูลั่วและไคหยางอ๋องมีปัญหาอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงถามเหมือนกันเลยเล่า
“ขอบใจคุณหนูลั่วที่เป็นห่วง บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ นั่นไม่มีค่าให้เอ่ยถึงหรอก”
เขาไม่อยากได้ยินเรื่องที่เขาถูกหมูป่าขวิดเรื่องนี้อีก!
ลั่วเซิงยิ้มเบาๆ “ฝ่าบาททรงมีวรกายล้ำค่าดุจดั่งทองคำ แม้จะแค่สะดุดล้มก็เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งมิต้องพูดถึงถูกหมูป่าจู่โจมเลยเพคะ”
จู่ๆ เว่ยเชียงก็รู้สึกไม่อยากอยู่ต่อไปแล้ว
เขามั่นใจแล้วว่าคุณหนูลั่วและลั่วเอ๋อร์เป็นคนสองคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงจริงๆ
เขาอาจจะชอบเวลาที่คุณหนูลั่วไม่พูดมากกว่า
ส่วนลั่วเซิงกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
เหมือนกับว่าเว่ยเชียงจะมีความอดทนต่อคุณหนูลั่วมากขึ้นเล็กน้อย