ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 262 เลิกเรียน
บรรยากาศในจวนเฉียวอึมครึม
เฉียวซื่อชิงดื่มชาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ฟังฮูหยินเฉียวตำหนิบุตรสาวคนรอง
“เอ้อร์เหนียง เจ้าถูกผีสิงหรืออย่างไร เป็นสตรีสูงศักดิ์แท้ๆ คุกเข่าขอร้องผู้อื่นบนถนนใหญ่ได้อย่างไรกัน!”
คุณหนูรองเฉียวคุกเข่าต่อหน้าบิดามารดา ความอัปยศอดสูที่เพิ่งเผชิญมาระเบิดออกมาในครานี้ “ท่านแม่ วันนี้ลูกเข้าวังเห็นท่านพี่ พบว่าท่านพี่ผ่ายผอมจนเหลือเพียงกระดูก ลูกสงสารท่านพี่จริงๆ จึงทำเช่นนี้…”
“เจ้าทำแบบนี้บุ่มบ่ามเกินไป อับอายขายหน้าจวนเฉียวเสียหมดสิ้น ยิ่งเป็นการยืนยันข่าวลือเหล่านั้น!” แม้ฮูหยินเฉียวได้ยินคำพูดของลูกสาวแล้วจะรู้สึกสงสาร แต่ความรู้สึกที่มีมากกว่าคือความโมโห
“ท่านแม่ ผู้อื่นไม่ใช่คนโง่ มีใครไม่รู้บ้างว่าเรื่องที่ท่านพี่เสียโฉมคือเรื่องจริง ไม่เช่นนั้นเหตุใดจวนบางจวนจึงกระเหี้ยนกระหือรือเช่นนี้”
ฮูหยินเฉียวชะงัก “เอ้อร์เหนียง คำพูดเหล่านี้เจ้าได้ยินมาจากที่ไหน”
ข่าวลือเรื่องชายารัชทายาทเสียโฉมทำให้คนบางคนมีความคิดบางอย่างจริงๆ แต่พวกเขาไม่เคยบอกเรื่องเหล่านี้ให้เอ้อร์เหนียงที่เป็นเด็กสาวคนหนึ่งฟัง
คุณหนูรองเฉียวก้มศีรษะ ยอมรับอย่างซื่อตรง “วันนั้นลูกมาหาท่าน บังเอิญได้ยินท่านและท่านพ่อสนทนากันเจ้าค่ะ”
“เจ้านี่มัน!” ฮูหยินเฉียวโมโหจนตบโต๊ะ
คุณหนูรองเฉียวเงยหน้า คราบน้ำตาเต็มใบหน้า “ท่านแม่ ที่ลูกคุกเข่าขอร้องความช่วยเหลือต่อหน้าสาธารณชนล้วนทำไปเพื่อท่านพี่ มีเพียงหมอเทวดาที่สามารถรักษาใบหน้าของท่านพี่ได้ แต่ท่านและท่านพ่อก็ไม่มีวิธีเชิญหมอเทวดาได้ ลูกก็เลยลองทุ่มสุดตัวโดยไม่สนใจศักดิ์ศรี แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็คุ้มค่าแล้ว…”
ฮูหยินเฉียวกำลังจะดุต่อไป เฉียวซื่อชิงวางจอกชาลงถอนหายใจ “ช่างเถอะ แม้เอ้อร์เหนียงทำแบบนี้จะบุ่มบ่าม แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไข หากข่าวความรักพี่น้องอันแน่นเฟ้นของคุณหนูรองเฉียวและชายารัชทายาทแพร่ออกไปบ้าง อย่างมากสุดก็เหลือเพียงชื่อเสียงหุนหันพลันแล่นของหญิงสาวคนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะถูกลืมเลือนไปเอง”
“แต่ว่าต่อไปเอ้อร์เหนียงคุยเรื่องแต่งงาน ความหุนหันพลันแล่นไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดี…”
เฉียวซื่อชิงยิ้มหยัน “หากหยวนเหนียงฟื้นคืนรูปโฉมได้ ตำแหน่งชายารัชทายาทมั่นคง เมื่อนั้นใครจะยังสนใจตำหนิเล็กๆ น้อยๆ นี้อีก หากหยวนเหนียงรักษาคำแหน่งชายารัชทายาทไว้ไม่ได้ เอ้อร์เหนียงมีชื่อเสียงดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์”
ฮูหยินเฉียวเงียบลง
เฉียวซื่อชิงมองคุณหนูรองเฉียว “เอ้อร์เหนียง เจ้าลุกขึ้นเถอะ จงจำไว้ว่าต่อไปอย่าทำเช่นนี้อีก”
คุณหนูรองเฉียวลุกขึ้น พยักหน้าน้ำตาคลอ “ลูกจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วสิ่งที่คุณหนูลั่วพูด…” ฮูหยินเฉียวคิดถึงคำตอบที่ลูกสาวถามมาจากปากของคุณหนูลั่วก็รู้สึกไม่น่าเชื่อถือ
เฉียวซื่อชิงยิ้มขมขื่น “ไม่ว่าคำพูดของคุณหนูรองจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ต้องลองดู ตอนนี้ทำได้เพียงรักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นแล้ว”
ผู้ที่อยากรักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นไม่ได้มีเพียงเฉียวซื่อชิงคนเดียว ทว่าผู้คนก็ได้รู้ในทันทีว่าการหายาที่หมอเทวดาเคยคิดค้นในอดีตเป็นเรื่องที่ยากมาก
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนไข้ที่ต้องการหมอเทวดารักษาส่วนใหญ่ก็ใกล้จะตายแล้ว เมื่อได้ยาศักดิ์สิทธิ์ช่วยชีวิตใครจะไม่รีบกินเล่า
ทุกคนตามหาอย่างยากลำบากแต่กลับไร้ผล สุดท้ายทำได้เพียงถอนหายใจอีกครั้ง คุณหนูลั่วโชคดีจริงๆ
ข่าวแพร่ไปถึงหูเว่ยเชียง เว่ยเชียงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชายารัชทายาทด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ชายารัชทายาทไม่ได้เจอเว่ยเชียงมาพักใหญ่แล้ว เมื่อได้ยินนางกำนัลรายงานว่ารัชทายาทเสด็จมา ในใจก็เต้นระส่ำเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พระชายา เจ้าช่างมีน้องสาวแสนดีเสียจริง!”
คลื่นความตื่นเต้นดีใจของชายารัชทายาทกลายเป็นแอ่งน้ำนิ่ง นางก้มศีรษะลงย่อเข่าให้เล็กน้อย “มิทราบว่าน้องรองทำอะไรจึงทำให้ฝ่าบาทโกรธกริ้วถึงเพียงนี้เพคะ”
วันนั้นน้องรองจากไป นางคอยเฝ้ารอข่าวดีตลอด แต่กลับไม่ได้รับจดหมายเลย
“พระชายาไม่รู้หรือ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าเอง”
เมื่อได้ยินเว่ยเชียงพูดจนจบ ชายารัชทายาทหน้าซีดเผือด “น้องรองทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”
น้องรองไม่ได้ทำให้นางผิดหวังจริงๆ เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้แล้วยังคงเชิญหมอเทวดามาไม่ได้อยู่ดี
จู่ๆ พระชายาก็รู้สึกสิ้นหวัง
หรือว่าใบหน้าของนางจะรักษาไม่ได้ตลอดไปแล้วนะ
บัดนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงรู้เรื่องนางเสียโฉมแล้ว เสด็จพ่อจะทนได้อีกนานแค่ไหน
เห็นพระชายาน้ำตาไหล ถึงเว่ยเชียงจะโกรธเกลียดแต่ก็รู้สึกเวทนา เขาพูดเสียงเย็นชาว่า “ช่างเถอะ ต่อไปดูแลครอบครัวเจ้าให้ดีด้วย”
เมื่อเดินออกจากตำหนักของชายารัชทายาท เว่ยเชียงก็รู้สึกหนักอึ้ง
เรื่องพระชายาเสียโฉมทำให้เกิดความโกลาหลแต่กลับไม่เห็นว่าเสด็จพ่อจะมีท่าทีใดๆ
เสด็จพ่อผู้มีความคิดลุ่มลึกของเขาท่านนี้คิดอย่างไรกันแน่นะ
หากเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโดยแท้ของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อคงบัญชาให้เลือกพระชายาคนใหม่แล้ว
เว่ยเชียงเดินไปข้างหน้าด้วยจิตใจว้าวุ่น โต้วเหรินเรียก “องค์ชาย ทรงเดินผิดทางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเชียงชะงักฝีเท้า เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าเขากำลังเดินไปทางอวี้หลันไจ
อวี้หลันไจ คือที่พำนักของเฉาฮวา
เมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเว่ยเชียงก็ยิ่งย่ำแย่
หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่เขารู้สึกสับสนว้าวุ่นก็จะไปหาเฉาฮวาเพื่อผ่อนคลาย บัดนี้สถานที่ที่สามารถทำให้เขาผ่อนคลายได้ไม่อยู่แล้ว
เขาอดมองไปทางหนึ่งไม่ได้
นั่นคือนอกวัง ทิศทางของถนนชิงซิ่ง
ถนนชิงซิ่งคึกคักเหมือนเคย โดยเฉพาะเมื่อถึงตลาดเย็นที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน
ชายมีหนวดออกจากหอสุราเวลาเดิมเพื่อไปรับเสี่ยวชีเลิกเรียนที่สถานศึกษา
ฟ้ายังไม่มืดสนิท พระอาทิตย์ตกย้อมท้องฟ้าสีแดงไปครึ่งหนึ่ง ดูงดงามและเคร่งขรึม
ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ ชายมีหนวดจะมีความสุข อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงระหว่างทางไปสถานศึกษา
เขาร้องเพลงสุนทรีไพเราะเหล่านั้นไม่เป็น เขาฮัมเป็นแค่เพลงสือปามัว
ชายมีหนวดฮัมไปพลางเศร้าใจไปพลาง ถึงอย่างไรก็ควรเข้าเรียน คนที่ไม่รู้จักตัวหนังสือเหมือนเขา อยากจะถ่ายทอดความสุขออกมาก็ยังฮัมได้แค่เพลงสือปามัว
ช่วยไม่ได้ ร้องอย่างอื่นไม่เป็นเลยจริงๆ ช่างทรมานกับการไร้การศึกษาจริงๆ
เสี่ยวชีเจ้าเด็กโง่นั่นโชคดีจริงๆ ได้เจอท่านอาแท้ๆ แล้วยังได้กินอยู่โดยไม่เสียเงิน ทั้งยังได้เรียนหนังสือและฝึกวิทยายุทธ์อีก
เขาตัดสินใจแล้ว หากวันนี้อาจารย์บอกว่าเสี่ยวชีสัปหงกอีก เขาจะตีเจ้าหมอนั่นก่อนค่อยว่ากัน จะได้สงบอารมณ์โศกเศร้าในใจของเขาด้วย
ชายมีหนวดยืนรออยู่ข้างนอกสถานศึกษาครู่หนึ่ง เห็นนักเรียนจากไปทีละคนสองคนก็ยังไม่เห็นเสี่ยวชี
“ท่านลุงรอเสี่ยวชีอยู่ใช่หรือไม่” ในที่สุดก็มีนักเรียนคนหนึ่งหยุดลงและถาม
คำนึงถึงเสี่ยวชีที่มีพื้นฐานน้อยและยังเป็นหลานชายของแม่ครัวหอสุรา สถานศึกษาที่เสี่ยวชีเข้าเรียนก่อตั้งโดยซิ่วไฉคนหนึ่ง ผู้ที่มาเรียนส่วนใหญ่แล้วเป็นครอบครัวคนทั่วไปที่มีฐานะปานกลาง
ด้วยเหตุนี้ เสี่ยวชีจึงไม่ได้เจอเรื่องเลวร้ายเช่นการดูถูกดูแคลนหรือเพื่อนไม่คบหา
ชายมีหนวดทึกทักไปเองว่าตนเองยิ้มอย่างเป็นมิตรให้นักเรียน “ใช่แล้ว เจ้าเห็นเสี่ยวชีของข้าหรือไม่”
นักเรียนอดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้ คิดในใจว่าท่านลุงคนนี้ของเสี่ยวชียิ้มแล้วดูน่ากลัวจัง
“เสี่ยวชีกลับไปนานแล้วขอรับ”
“อะไรนะ เสี่ยวชีกลับแล้วหรือ” ชายมีหนวดหุบยิ้มทันที ดูดุยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
นักเรียนอดหวาดกลัวไม่ได้ “เสี่ยวชีปวดท้อง อาจารย์ก็เลยอนุญาตให้เขาเลิกเรียนก่อนเวลาขอรับ”
“นานหรือยัง”
นักเรียนครุ่นคิดครู่หนึ่งตอบว่า “น่าจะประมาณครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
ชายมีหนวดขมวดคิ้ว พึมพำว่า “เจ้าหมอนี่ คงไม่ได้แอบหนีไปเล่นที่ไหนหรอกนะ”
ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นสิ ปวดท้องแล้วออกไปเล่นข้างนอกนั้นเสี่ยงมากนะ
หลังจากขอบใจนักเรียนแล้วชายมีหนวดก็รีบกลับไปที่หอสุรา