ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 264 ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า
ตอนที่ 264 ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า
เห็นลั่วเซิงยังคงไม่พูด เว่ยหานเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “มิต้องติดหนี้บุญคุณข้า”
ดูเหมือนว่าคุณหนูลั่วชอบคิดทุกอย่างกับเขาอย่างชัดเจนเสมอ
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาไม่พอใจเท่าไรนัก
ลั่วเซิงกำลังวุ่นวายใจ พอได้ยินเว่ยหานพูดเช่นนี้กลับเกือบจะหัวเราะออกมา
คนที่พูดจาซื่อตรงอย่างไคหยางอ๋องนั้นพบเจอได้น้อยจริงๆ
ไม่รู้ว่าต่อหน้าผู้อื่นเขาก็เป็นเช่นนี้หรือไม่
ลั่วเซิงลังเลครู่หนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “วันนี้เจ้าตู้ไปรับเสี่ยวชีที่โรงเรียน แต่ไม่เจอเขา ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเสี่ยวชีแอบไปเล่นที่อื่นหรือว่าเจอเรื่องอะไรเข้า”
เด็กหนุ่มอย่างเสี่ยวชี ชอบเล่นเป็นเรื่องธรรมชาติ การที่ไม่เจอตัวเขาเรื่องนี้เป็นได้ทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่
และเมื่อเกี่ยวโยงถึงความปลอดภัยของคนๆ หนึ่ง การมีคนอีกคนออกแรงย่อมดีกว่า ให้นางติดหนี้บุญคุณเพราะเรื่องนี้ก็คุ้มค่า
“เจ้าตู้และลู่หู่ออกไปหาแล้ว ยังมีองครักษ์จิ่นหลินอีกจำนวนหนึ่งก็ไปแล้ว”
เว่ยหานเลิกคิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่าที่แท้คุณหนูลั่วรู้เรื่ององครักษ์จิ่นหลินรอบๆ หอสุราตั้งแต่แรกแล้ว
องครักษ์จิ่นหลินที่รับผิดชอบปกป้องหอสุราแห่งหนึ่งในที่ลับเหล่านั้นปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่ผิงหนานอ๋องถูกลอบสังหาร เขาคิดว่าคุณหนูลั่วจะไม่รู้ตัว
เว่ยหานโค้งริมฝีปากเบาๆ
เขายอมรับ ในเมื่อคุณหนูลั่วจับองครักษ์จิ่นหลินที่แกล้งมาเป็นแขกหอสุราและห่ออาหารกลับไปได้ ก็ไม่แปลกที่นางจะรู้เรื่ององครักษ์จิ่นหลิ่นที่มาซ่อนตัวคอยคุ้มกันรอบๆ หอสุรา
“เช่นนั้นข้าจะส่งคนจำนวนหนึ่งไปหาด้วย”
“ขอบคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
คำ ‘ขอบคุณ’ นี้ทำให้เว่ยหานขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เขาเลิกคิ้วเรียก “สือเยี่ยน…”
สือเยี่ยนวางจานลงและวิ่งมา “นายท่าน มีอะไรจะสั่งหรือขอรับ”
“ออกไปบอกสืออี้ให้เขาพาคนกลุ่มหนึ่งออกไปหาเสี่ยวชี”
“ขอรับ” แม้สือเยี่ยนจะตกใจกับการหายตัวไปของเสี่ยวชี แต่ในเวลาแบบนี้เขาก็สงบอารมณ์ได้ดี เขาออกจากหอสุราจากประตูหลังเงียบๆ
“น้องสี่” เดินไปข้างหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สือเยี่ยนเคาะลำต้นเบาๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว หน้าตาของเขาเหมือนกับสือเยี่ยนราวกับแกะ เขาก็คือสืออี้แฝดน้องของสือเยี่ยนนั่นเอง
“นายท่านให้เจ้าพาคนกลุ่มหนึ่งไปตามหาเสี่ยวชี”
สือเยี่ยนสั่งเสร็จก็เดินกลับไป กลิ่นหอมของอาหารลอยมาระหว่างทางที่เดินเข้าไปในหอสุรา
องครักษ์น้อยอดถอนหายใจไม่ได้
เทียบกับเขาที่เป็นเสี่ยวเอ้อร์แล้ว น้องสี่ที่ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ทุกคืนช่างน่าสงสารจริงๆ
แต่ว่าไม่มีทางเลือก นายท่านมีสายตาเฉียบแหลม ดูออกว่าเขาเหมาะกับการเป็นเสี่ยวเอ้อร์และคนเลี้ยงห่านมากกว่าน้องสี่
“เจ้าคือคนงานของมีหอสุราใช่หรือไม่” เสียงอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งดังขึ้น
สือเยี่ยนชะงักฝีเท้า มองตามเสียงที่ดังมา
ไม่ไกลออกไปมีเด็กขอทานอายุประมาณสิบขวบคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้ามอมแมมมองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่สายตากลับมีชีวิตชีวามาก
สือเยี่ยนก้มศีรษะมองผ้าขนหนูสีขาวที่พาดบนบ่า พยักหน้า “ใช่ ข้าคือเสี่ยวเอ้อร์ของมีหอสุรา”
แค่ดูก็รู้ว่าเจ้าเด็กขอทานคนนี้ไม่ได้มาจากถนนชิงซิ่ง
ทันทีที่เด็กขอทานได้ยินสือเยี่ยนยอมรับฐานะ เขาก็รีบวิ่งเข้ามายัดจดหมายใส่มือของสือเยี่ยนพลางพูดอย่างเร่งรีบว่า “จดหมายฉบับนี้ให้แม่ครัวหอสุราของพวกเจ้า”
ขอทานน้อยพูดเสร็จก็ชักเท้าออกวิ่งทันที
จู่ๆ ก็มีแรงมหาศาลดึงเด็กขอทานกลับมาตรงหน้าสือเยี่ยน
“วิ่งทำไม กลับหอสุราพร้อมข้าเถอะ”
หากเป็นยามปกติคงปล่อยไปแล้ว แต่ตอนนี้เสี่ยวชีหายตัวไป จู่ๆ มาส่งจดหมายแล้วยังคิดจะหนี ช่างดูถูกเสี่ยวเอ้อร์อย่างเขาจริงๆ
สือเยี่ยนหนีบเด็กขอทานไว้ใต้รักแร้ ปิดปากเด็กขอทานเอาไว้อย่างช่ำชองเพื่อไม่ให้เขาส่งเสียงแล้วรีบเดินเข้าไปในหอสุราจากทางประตูหลัง
เมื่อถึงลานด้านหลัง สือเยี่ยนก็ปล่อยมือพลางเอ่ยเตือนเสียงเย็นว่า “ห้ามร้อง หากทำให้แขกที่มากินข้าวตื่นตระหนก ข้าจะผ่าเจ้าด้วยขวานเสีย”
เด็กขอทานกำลังจะเปล่งเสียงร้องสุดกำลัง พอได้ยินประโยคนี้เข้าก็รีบปิดปากทันที ร่างกายสั่นระริกไม่หยุด
นี่มันเสี่ยวเอ้อร์อะไรกัน จะผ่าคนด้วยขวานได้อย่างไร
สือเยี่ยนเหลือบมองจดหมาย บนนั้นเขียนว่า ‘ส่งให้แม่ครัวมีหอสุรา’
ซิ่วเย่ว์เดินออกมาสูดอากาศพอดี สือเยี่ยนรีบเรียก “อาซิ่ว จดหมายของท่าน”
ซิ่วเย่ว์เดินเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง “จดหมายของข้ารึ”
“ใช่แล้ว เจ้าเด็กขอทานคนนี้เป็นคนส่งมา บอกว่าให้ท่าน” สือเยี่ยนยื่นจดหมายให้และจับเด็กขอทานไปข้างหน้า “ยืนนิ่งๆ หากขยับจะตีเจ้าให้ตาย”
เด็กขอทานเหลือเพียงร่างกายที่สั่นระริก
ซิ่วเย่ว์อ่านจดหมายเสร็จแล้ว สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” สือเยี่ยนถาม
ซิ่วเย่ว์ฝืนยิ้ม “รบกวนเจ้าช่วยเรียกคุณหนูมาที”
สือเยี่ยนพยักหน้า เหลือบมองเด็กขอทาน จากนั้นก็ยกมือขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เพื่อความปลอดภัย ตีให้สลบก่อนดีกว่า
พอดีกับที่หงโต้วเดินเข้ามา เมื่อเห็นเด็กขอทานก็อดสงสัยไม่ได้ “เหตุใดในสวนจึงมีเด็กขอทานเพิ่มมาเล่า”
สือเยี่ยนวางมือลง “หงโต้ว อาซิ่วมีธุระจะคุยกับคุณหนู”
หงโต้วขมวดคิ้วมองซิ่วเย่ว์ จากนั้นก็หันกายเดินกลับไป
คืนนี้ซิ่วเย่ว์หาคุณหนูเป็นครั้งที่สองแล้ว
หงโต้วเดินเข้ามาในห้องโถงแล้วเดินไปข้างกายลั่วเซิง พูดเสียงเบาว่า “คุณหนู อาซิ่วหาท่านอีกแล้วเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงลุกขึ้น สั่งเสียงเบาว่า “ฝากเจ้าและโค่วเอ๋อร์ดูแลแขกให้ดี”
“คุณหนูวางใจเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงเดินไปด้านหลัง
เว่ยหานครุ่นคิดครู่หนึ่ง วางจอกสุราลงและตามไป
เดิมหงโต้วอยากเข้าไปห้าม แต่เมื่อคิดได้ว่าท่านอ๋องคนนี้เดินไปล้างมือที่หลังเรือนไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว นางจึงปล่อยให้เขาเดินตามไป
ลั่วเซิงเดินตามซิ่วเย่ว์เข้าไปในครัว เหลือเพียงสือเยี่ยนเฝ้าเด็กขอทานที่มาส่งจดหมาย
ทันทีที่เข้าไปในห้องครัว ซิ่วเย่ว์ก็รีบส่งจดหมายให้ลั่วเซิง
ลั่วเซิงอ่านจดหมายจบอย่างรวดเร็ว
จดหมายระบุสถานที่แห่งหนึ่ง กำชับให้ซิ่วเย่ว์แอบไปเพียงคนเดียว ไม่เช่นนั้นหลานชายของนางจะมีอันตรายถึงชีวิต
“คุณหนู เสี่ยวชีถูกลักพาตัวไปจริงๆ ด้วย” หัวใจของซิ่วเย่ว์บีบแน่น
อยู่ด้วยกันมานานเช่นนี้ นางเห็นเด็กหนุ่มหน้าดำคนนั้นเป็นหลานชายในสายเลือดไปแล้ว
ลั่วเซิงอ่านจดหมายอีกรอบก็ขมวดคิ้วพูดว่า “อาซิ่ว เสี่ยวชีหายตัวไปเรื่องนี้ เป้าหมายคือเจ้า”
“ข้าหรือ” ซิ่วเย่ว์ตกตะลึง จู่ๆ ก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง “คงไม่ใช่ตอนอยู่ที่หนานยาง…”
คืนวันที่สามเดือนสามคืนนั้นนางลอบเข้าไปจวนเจิ้นหนานอ๋องร้างเพื่อเผากระดาษเงิน ถูกคนสะกดรอยตามและจู่โจม แสดงว่ามีคนสงสัยในตัวตนของนางแล้ว…
“น่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น” ลั่วเซิงปฏิเสธการคาดเดาของซิ่วเย่ว์อย่างรวดเร็ว
ผู้ที่สะกดรอยตามซิ่วเย่ว์คือไคหยางอ๋อง ตอนที่นางเข้าขัดขวางไคหยางอ๋องที่จู่โจมซิ่วเย่ว์ ซิ่วเย่ว์มัวแต่วิ่งหนีจึงไม่ได้เห็นหน้าเขา
หากไคหยางอ๋องลักพาตัวเสี่ยวชี เช่นนั้นก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดเขาจึงเมินเฉยต่อเรื่องที่นางจู่โจมผิงหนานอ๋อง
“ในจดหมายระบุให้แม่ครัวของมีหอสุราไปที่นั่น เห็นได้ว่าเรื่องนี้มุ่งเป้าไปที่ตัวตนแม่ครัวของเจ้า” ลั่วเซิงวิเคราะห์ สีหน้าเยือกเย็น “ตัวตนแม่ครัวของเจ้าก็ไม่สามารถแยกออกจากหอสุราได้ ดังนั้นแล้วท้ายที่สุดเรื่องนี้มุ่งเป้ามาที่ข้า”
สถานการณ์นี้กลับทำให้นางวางใจลง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะตัวตนของเสี่ยวชีและลั่วเฉินถูกเปิดเผย
“คุณหนู แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเจ้าคะ”
“ต่อไป ย่อมต้องไปดูที่นั่น”
ลั่วเซิงเดินออกจากห้องครัว เห็นเว่ยหานยืนอยู่ในสวน
นางยังไม่ทันพูด เว่ยหานก็เอ่ยว่า “ข้าถามแล้ว มีคนให้เงินเด็กขอทานคนนี้ให้เขาส่งจดหมายมา จดหมายระบุสถานที่นัดพบเอาไว้ใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงพยักหน้า
“ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”