ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 268 หาเจอ
ตอนที่ 268 หาเจอ
เห็นลั่วเซิงล้วงมือเข้าไปในเสื้อของชายวัยกลางคน ดวงตาของเว่ยหานก็เบิกโพลงทันที
ดีที่เขายังสงบอารมณ์ได้ ไม่ได้ทำท่าจะขัดขวาง
ลั่วเซิงชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว มองสิ่งของที่อยู่มือ ถามชายวัยกลางคนด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “นี่คืออะไร”
ในมือของนางมีขวานไม้ท้อขนาดเล็กกว่าสามชุ่มเล่มหนึ่ง
ขวานไม้ท้ออุ่นๆ วางอยู่บนฝ่ามือเงียบๆ ทำให้นางรู้สึกเย็นยะเยือกตั้งแต่ปลายผมจรดเท้า
ระหว่างทางเข้าเมืองประสบการณ์ถูกไล่ล่าสังหารครานั้น นางก็เคยพบของสิ่งนี้ในร่างของศพที่ไล่ล่านาง
ในตอนนี้ยังพบบนตัวของคนที่ลักพาตัวเสี่ยวชีไปด้วย
ชายวัยกลางคนราวกับตกใจกับเสียงที่เคร่งขรึมของเด็กสาว เขาเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “เครื่องรางคุ้มกาย”
“เครื่องราง?” ลั่วเซิงน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าเดิม พูดด้วยความมั่นใจว่า “นี่ไม่ใช่เครื่องราง นี่คือสิ่งของที่เป็นตัวแทนของสถานะบางอย่าง”
ม่านตาของชายวัยกลางคนหดลง สายตาที่มองลั่วเซิงมิอาจปกปิดความตื่นตะลึงไว้ได้
ขวานไม้ท้อนี้ดูธรรมดามาก ยากที่จะจินตนาการว่าจะมีคนนึกถึงสัญลักษณ์บางอย่างทันทีที่เห็นได้
ส่วนลั่วเซิง นางได้คำตอบจากปฏิกิริยาของอีกฝ่าย
คนตรงหน้านี้เกี่ยวข้องกับคนที่ไล่สังหารนางระหว่างทางกลับเมืองหลวงจริงๆ ด้วย
“สหายของเจ้าทำอะไรเสี่ยวชี” เมื่อพบขวานไม้ท้อ ลั่วเซิงก็มีคำถามมากมายอยากถาม แต่ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลมากที่สุดคือชีวิตของเสี่ยวชี
ชายวัยกลางคนเริ่มร้อนรน “ข้าไม่มีสหายจริงๆ!”
“แล้วเจ้าจะอธิบายสิ่งนี้อย่างไร” ลั่วเซิงจับขวานไม้ท้อแน่น
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “นี่คือเครื่องรางตอนที่ข้าเป็นนักฆ่าจริงๆ แต่ข้าพ้นจากสถานะนั้นมาหลายปีแล้ว ไม่ได้ติดต่อกับคนในอดีตเลย…”
สีหน้าลั่วเซิงย่ำแย่กว่าเดิม สายตามองไปที่แม่น้ำจินสุ่ย
บริเวณใกล้ๆ มืดมิดเย็นยะเยือก บริเวณห่างไกลส่องสว่างราวกับกลางวัน แม่น้ำจินสุ่ยที่กว้างขวางทอดยาวนำไปสู่ที่ใดมิอาจทราบได้ หากการเชื่อมโยงเพียงเล็กน้อยนี้ขาดหายไป การจะหาเสี่ยวชีให้เจอก็คือการงมเข็มในมหาสมุทรนี่เอง
ลั่วเซิงอดตัวสั่นไม่ได้ รู้สึกถึงความหนาวเหน็บของปลายฤดูใบไม้ร่วงขึ้นมา
มือข้างหนึ่งจับไหล่ของนาง
ลั่วเซิงมองกลับไป
ใบหน้าที่ลุ่มลึกของชายหนุ่มมีความอ่อนโยนเพิ่มเติมขึ้นมาในยามค่ำคืน
บางทีสิ่งที่อ่อนโยนอาจไม่ใช่ใบหน้าของเขา แต่คือความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขาต่างหาก
“ใจเย็นๆ เราลองหาด้วยกันก่อน”
จะหาอย่างไร
ลั่วเซิงไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าไร แต่เวลาแบบนี้ ทำได้เพียงกัดฟันพยักหน้า
ไม่ว่าความหวังจะริบหรี่เพียงใด แต่ไม่ถึงคราสุดท้ายจะยอมแพ้ไม่ได้
ทั้งสองเดินไปตามริมแม่น้ำกว่าสิบจั้ง มีคนวิ่งเข้ามา
ใบหน้าของคนผู้นั้นค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในยามค่ำคืน ทำให้ลั่วเซิงเดินช้าลงตามสัญชาติญาณ
ชายหนุ่มที่วิ่งเข้ามาดูคุ้นตามาก
นางอดมองคนข้างกายไม่ได้
เว่ยหานพูดเสียงเบาว่า “เขาคือสือหั่วพี่ใหญ่ของสือเยี่ยน”
ลั่วเซิงกระจ่าง
นางได้ยินสือเยี่ยนบอกว่าเขายังมีพี่ชายอีกสองคนเมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เคยพบ
สือหั่วดูโตกว่าสือเยี่ยนประมาณสี่ห้าปี แม้จะดูรีบร้อน แต่สีหน้ายังคงสงบ
“นายท่าน” สือหั่วหยุดลงตรงหน้าห่างไปหนึ่งจั้ง ประสานมือคำนับเว่ยหาน
เว่ยหานถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“หาเจอแล้วขอรับ”
ลั่วเซิงหยุดหายใจ
หาเจอแล้ว… ใช่ความหมายอย่างที่นางเข้าใจใช่หรือไม่
“คนเล่า เป็นอย่างไรบ้าง”
“อาการไม่ค่อยดีเท่าไร ส่งไปถนนชิงซิ่งตามที่ท่านสั่งไว้แล้วขอรับ”
ลั่วเซิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจมองเว่ยหานนิ่ง
จู่ๆ เว่ยหานก็ผิวปาก
เสียงผิวปากยาวและดัง แม้จะอยู่ที่ริมแม่น้ำจินสุ่ยที่มีเสียงดังวุ่นวายก็สามารถดังไปได้ไกล
ไม่นานก็มีม้าขาวตัวหนึ่งวิ่งมาข้างกายเว่ยหาน คลอเคลียมือของเขาอย่างใกล้ชิด
เว่ยหานกระโดดขึ้นหลังม้า ยื่นมือให้ลั่วเซิง “ขึ้นมา”
น้ำเสียงครานี้ไม่ใช่น้ำเสียงขอคำปรึกษา
ส่วนลั่วเซิงเองก็เดาสาเหตุที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ได้ทันที นางยื่นมือออกไปอย่างไม่ลังเล
มือใหญ่และมือเล็กประสานกัน
ลั่วเซิงรู้สึกเพียงแรงมหาศาลส่งมา เมื่อนางตั้งสติได้อีกครั้งก็นั่งอยู่ข้างหน้าเว่ยหานแล้ว
ราวกับม้าสีขาวจะรับรู้ถึงความรีบร้อนของเจ้านาย มันวิ่งพุ่งทะยานฝ่าราตรีราวกับแสงสีขาวที่พุ่งไปข้างหน้า
ม้าขาววิ่งเร็วมาก สายลมตีหวีดหวิวอยู่ข้างใบหู
เพื่อให้ลั่วเซิงได้ยินชัด เว่ยหานจึงประชิดร่างเข้ามาใกล้ใบหูของนางพลางอธิบายว่า “ทันทีที่รู้สถานที่นัดพบ ข้าก็ส่งคนจำนวนหนึ่งไปค้นหาที่ริมแม่น้ำจินสุ่ย แต่ว่าแม่น้ำจินสุ่ยกว้างใหญ่มาก หากอยากจะหาคนให้เจอต้องพึ่งโชคเป็นส่วนใหญ่ก็เลยทำให้ล่าช้าไปเล็กน้อย ข้ากำชับพวกสือหั่วว่าหากเสี่ยวชีไม่เป็นอะไรมากก็ให้พาไปหาหมอที่อยู่ที่แม่น้ำจินสุ่ย หากอาการค่อนข้างหนักก็ให้ส่งไปหาหมอเทวดาทันที แต่ว่านี่ก็ต้องให้คุณหนูลั่วออกหน้าแล้ว…”
ลั่วเซิงเบือนหน้าออกเล็กน้อย พยักหน้าส่งสัญญาณว่าได้ยินแล้ว
อันที่จริงนางมีคำพูดมากมายอยากพูด แต่ความปลอดภัยของเสี่ยวชีบีบคั้นหัวใจของนาง ทำให้นางลังเลที่จะพูดออกมา
แต่ในใจนาง นางอดชื่นชมชายคนนี้ที่ขี่ม้าร่วมกับนางไม่ได้
ไม่ว่าจะเรื่องการสั่งให้ลูกน้องตามหาเสี่ยวชีหรือการสั่งให้ลูกน้องส่งเสี่ยวชีไปที่ถนนชิงซิ่ง และการเร่งพานางไปอย่างไม่ลังเลล้วนดูออกว่าเขารอบคอบมาก
เมื่อเห็นลั่วเซิงไม่ได้เอ่ยอะไร เว่ยหานก็เงียบ สะบัดบังเหียนเร่งความเร็วขึ้น
ม้าขาวทะยานไปข้างหน้า วิ่งผ่านอาคารบ้านเรือน ในที่สุดลั่วเซิงก็เห็นธงสุราสีเขียวหน้าประตูหอสุรา
เลยเวลาหอสุราปิดไปนานแล้ว ร้านค้าอื่นๆ ก็ปิดหมดแล้ว ถนนชิงซิ่งที่แต่เดิมคึกคักเงียบสงบมาก เสียงกีบม้าที่เร่งรีบดังชัดเจนอย่างยิ่ง
เว่ยหานดึงบังเหียนอย่างแรง ม้าสีขาวหยุดลงข้างหน้าหอสุรา
ลั่วเซิงกระโดดลงจากม้าอย่างคล่องแคล่ว ปัดผมที่ถูกลมพัดจนปรกใบหน้าของนาง และรีบเดินไปที่โรงหมอที่อยู่ตรงข้าม
เว่ยหานดึงนางไว้ “เขายังมาไม่ถึง”
“มาไม่ถึง?” ลั่วเซิงงงงัน
ไหนบอกว่าส่งมาที่นี่แล้วนี่
เด็กสาวเต็มไปด้วยความสงสัย ผมที่ทัดหูเมื่อครู่นี้ร่วงลงมาอีกครั้ง ปัดโดนแก้มสีแดงที่ถูกลมพัด
เว่ยหานอยากจะยื่นมือออกไปช่วยนางจัดผมเผ้าที่ซุกซนเหล่านั้น
สุดท้ายเขาก็ข่มความบุ่มบ่ามนี้เอาไว้ พูดว่า “สือหั่วน่าจะมารายงานข้าทันทีที่พบเสี่ยวชี เสี่ยวชีอาการไม่ดี การส่งเขามาต้องนั่งรถม้า นับเวลาแล้วย่อมช้ากว่าพวกเรา เราถึงก่อนเวลา จะได้เชิญหมอเทวดาไว้ก่อน”
ลั่วเซิงเห็นด้วยพลางพยักหน้าให้เว่ยหานที่จัดแจงทั้งหมดนี้ จากนั้นสายตาของนางก็หยุดอยู่บนมือที่จับข้อมือนางไว้
ในเมื่อเช่นนี้ นางก็ยังต้องไปโรงหมอฝั่งตรงข้าม เขาจะดึงนางไว้ทำไม
เว่ยหานเองก็ได้สติรีบปล่อยมือออกทันที เอ่ยเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณหนูลั่ว เรารีบไปกันเถอะ”
ลั่วเซิงกระตุกมุมปาก รีบเดินไปเคาะประตู
เคาะไปหลายที ประตูจึงถูกเปิดออกเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
“ดึกดื่นเช่นนี้แล้ว ใครกันน่ะ” เด็กเฝ้าประตูถามอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อเห็นคนนอกชัดเจน เด็กเฝ้าประตูก็ตื่นในทันที “คุณหนูลั่ว?”
“ข้ามีธุระมาหาหมอเทวดา”
เด็กเฝ้าประตูลังเลเพียงครู่หนึ่งก็หลีกทางให้ “เช่นนั้นท่านเข้ามาก่อนเถอะ”
ลั่วเซิงก้าวเท้าข้ามธรณีประตู
เด็กเฝ้าประตูปิดประตูอย่างแรง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำว่า ‘คุณหนูลั่วมาอีกแล้ว’
จู่ๆ ก็มีแรงมหาศาลดันกลับเข้ามา ผลักประตูให้เปิดออก
เว่ยหานพูดหน้านิ่งว่า “ยังมีข้าอีกคน”