ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 269 ตามใจ
ตอนที่ 269 ตามใจ
หมอเทวดาหลี่เห็นลั่วเซิงก็มองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ถามว่า “แม่นางน้อย เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
ดูราวกับหนีตายมาอย่างนั้น
ชุดสีฟ้ากลางเก่ากลางใหม่ที่เด็กสาวสวมใส่ ผ้าโพกศีรษะคลายออก ลูกผมหลายปอยกระเซิงลงมา
ใบหน้าที่แต่เดิมเนียนขาวดั่งหยกมีดำมีขาว มีเขียวมีเหลือง ราวกับทำถาดสีหกใส่
ลองดูชายหนุ่มที่ยืนข้างอยู่นางอีกครั้ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่เหมาะสมกับสถานะของเขาอย่างยิ่ง ใบหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
หมอเทวดาหลี่กวาดตามองทั้งสอง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา สองคนนี้คงไม่ได้จะหนีตามกันไปหรอกนะ
เมื่อได้ยินหมอเทวดาหลี่ถาม ลั่วเซิงก็ใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าเล็กน้อย อธิบายว่า “เพื่อสะดวกต่อการจัดการธุระก็เลยปลอมตัวเจ้าค่ะ”
“ว่ามาเถอะ ดึกขนาดนี้มาหาข้ามีเรื่องอะไร”
“เสี่ยวชีบาดเจ็บหนัก อาการไม่ค่อยดีนัก อยากขอให้ท่านช่วยรักษาเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หมอเทวดาหลี่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แม่นางน้อย เจ้าเรียกใช้ข้าเหมือนหมอเท้าเปล่า[1]จริงๆ หรือ”
วันนี้มาหาเขารักษาคนนี้ พรุ่งนี้มาหาเขารักษาคนนั้น เห็นเขาเป็นคนของจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วหรืออย่างไร
ได้ยินคำพูดประชดประชันของหมอเทวดาหลี่ ลั่วเซิงไม่หงุดหงิดแม้แต่น้อย นางยกมุมปากยิ้มพูดว่า “เสี่ยวชีคือหลานของแม่ครัวมีหอสุราเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่ชะงัก ลูบเคราถามอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ไหนคนเล่า”
ในเมื่อเป็นหลานของแม่ครัวใหญ่หอสุรา เช่นนั้นก็ลองดูหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ
หากหลานของแม่ครัวเป็นอะไรไป แม่ครัวเสียใจจนไม่เป็นอันทำงานจะทำอย่างไรเล่า
“ยังมาไม่ถึงเจ้าค่ะ”
ก่อนที่หมอเทวดาหลี่จะถอนหายใจ ลั่วเซิงก็เสนออย่างใส่ใจว่า “หรือไม่ท่านไปดื่มชารอที่หอสุราดีหรือไม่เจ้าคะ”
ในหัวของหมอเทวดาหลี่ปรากฏภาพขนมมะพร้าวฟักทอง ขนมเปี๊ยะถั่วเขียวสีมรกด ขนมวุ้นกุหลาบสีชมพู ขนมกุ้ยฮวาผงรากบัวสีม่วงอ่อน…
ขนมที่มีสีสันหลากหลายน่าเย้ายวนวนเวียนอยู่ในหัว ชวนให้ผู้เฒ่าอยากกลืนน้ำลาย
แต่เขาเป็นถึงหมอเทวดา เป็นคนที่มีอายุเกินหนึ่งร้อยปีแล้ว จะถูกซื้อด้วยขนมเพียงไม่กี่ชิ้นได้อย่างไร
“ไม่ไป”
การปฏิเสธอย่างเด็ดขาดของหมอเทวดาหลี่ทำให้ลั่วเซิงประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในเมื่อปฏิเสธแล้วก็ปฏิเสธ ถึงอย่างไรหมอเทวดาก็รับปากจะรักษาเสี่ยวชีแล้ว
นางรู้จักนิสัยของหมอเทวดาดี สิ่งที่เขารับปากแล้วไม่คืนคำแน่นอน
เห็นลั่วเซิงไม่พูดอะไรอีก หมอเทวดาหลี่ก็เลิกคิ้วสีขาวโพลนเล็กน้อย
เขาบอกว่าไม่ไป นังหนูนี่ก็ไม่หว่านล้อมอีกหน่อยหรือ
ไร้ความจริงใจ! ไร้ความเคารพต่อผู้อาวุโสจริงๆ!
ที่สำคัญต้องโทษเขาเองที่รับปากเร็วเกินไป!
โมโหครู่หนึ่ง หมอเทวดาหลี่ก็พูดด้วยสีหน้าหน้าบึ้งตึงว่า “ส่งมาที่นี่ก็พอ”
จะโมโหอย่างไร ขนมก็ต้องกิน
ลั่วเซิงยิ้ม “เช่นนั้นท่านรอสักครู่ ข้าจะกลับไปหอสุราก่อน”
หมอเทวดาหลี่ไม่อยากคุยกับลั่วเซิง เขาแค่นเสียงเบาๆ
ลั่วเซิงส่งสายตาให้เว่ยหานแล้วหันหลังเดินออกไป
ทันใดนั้นก็เหลือเพียงหมอเทวดาและเว่ยหานมองกันไปมองกันมา บรรยากาศนิ่งเงียบ
หมอเทวดาหลี่ขมวดคิ้วลูบเครา มองเจ้าคนแข็งทื่อเหมือนตอไม้แล้วรู้สึกขัดเคืองนัยน์ตา
แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่เป็น นังหนูแซ่ลั่วชอบเจ้าหมอนี่ได้อย่างไรกันนะ
เว่ยหานหลุบตาลง ดื่มชาเงียบๆ
หมอเทวดามีนิสัยคาดเดายาก เขาอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลยดีกว่า หากคำพูดไหนทำให้เขาขัดเคืองแล้วไม่ช่วยรักษาเสี่ยวชี เขาจะบอกคุณหนูลั่วอย่างไร
ลั่วเซิงรีบเดินเข้าไปในหอสุรา
ซิ่วเย่ว์กำลังนั่งรออยู่ใต้ต้นไม้ในสวนอย่างกระวนกระวายใจ ทันทีที่เห็นลั่วเซิงเข้ามาก็ลุกพรวด “คุณหนู หาเสี่ยวชีเจอหรือไม่เจ้าคะ”
คุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ ก็ล้อมวงเข้ามา
ลั่วเซิงกวาดตามองพวกเขาแล้วพูดว่า “เสี่ยวชีบาดเจ็บหนัก ประเดี๋ยวจะส่งให้หมอเทวดารักษา อาซิ่ว เจ้าช่วยเตรียมอาหารว่างและส่งให้หมอเทวดาที”
ซิ่วเย่ว์ได้ยินว่าเสี่ยวชีบาดเจ็บหนัก สีหน้าก็ซีดเผือด ขานตอบเสร็จก็รีบเข้าไปในครัว
“น้องลั่ว นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” คุณชายสามเซิ่งอดถามไม่ได้
เขาเพิ่งรู้ว่าเสี่ยวชีหายตัวไปหลังจากหอสุราปิดแล้ว ความสงสัยที่อยู่เต็มอกไม่ได้รับการคลี่คลายเสียที
ลั่วเซิงส่ายศีรษะเบาๆ “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านพี่ พี่พาหงโต้วและโค่วเอ๋อร์กลับจวนก่อนเถอะ”
“แต่ว่า…”
“ท่านพี่อยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่สู้กลับไปก่อนดีกว่า หากท่านพ่อถามถึงจะได้มีคำอธิบาย”
คุณชายสามเซิ่งเกาศีรษะเขินๆ
น้องลั่วพูดจาตรงไปตรงมาจริงๆ…
แต่ว่านางก็พูดถูก เช่นนั้นเขากลับไปก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้วุ่นวายไปกว่าเดิม
“เช่นนั้นข้าพาพวกหงโต้วกลับไปก่อน หากน้องลั่วมีอะไรก็ส่งคนกลับไปบอกนะ”
ลั่วเซิงพยักหน้า
ชายมีหนวดเดินเข้ามา “เถ้าแก่ เสี่ยวชีเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด” ลั่วเซิงตอบอย่างสงบ
ชายมีหนวดปากกระตุก “เป็นเพราะข้า ข้าดูแลเสี่ยวชีไม่ดีเอง ฮือๆๆ…”
ลั่วเซิงสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย
ชายร่างกำยำคนหนึ่งมาร้องไห้อย่างกับเด็กต่อหน้านางเช่นนี้ จะให้นางทำอย่างไร
ชายร่างกำยำคว้าชายมีหนวดไป “น้องชาย เจ้าอย่าร้องไห้เลย มีเถ้าแก่อยู่ เสี่ยวชีต้องไม่เป็นอะไร”
ชายมีหนวดพยักหน้าส่งๆ มองลั่วเซิงด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าแล้วร้องไห้หนักกว่าเดิม
ซิ่วเย่ว์ถือกล่องอาหารเดินออกมาจากห้องครัว
ขนมที่ทำไว้ในฤดูกาลนี้เก็บได้นานวันสองวัน ดังนั้นขนมเหล่านี้จึงเป็นขนมสำเร็จรูปทั้งหมด
“ไปเถอะ”
ซิ่วเย่ว์พยักหน้าเล็กน้อย เดินตามหลังลั่วเซิงไป
ชายมีหนวดและชายร่างกำยำรีบตามไป
“พวกเจ้าสองคนอยู่เฝ้าร้านที่นี่”
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลงทันที
ในที่สุดความเงียบในโรงหมอก็ถูกทำลายลง เมื่อเด็กเฝ้าประตูเข้ามารายงานว่าคุณหนูลั่วมาอีกแล้ว
“หมอเทวดากินขนมรองท้องสักชิ้นสองชิ้นก่อนเจ้าค่ะ รอพรุ่งนี้จะให้อาซิ่วทำไส้ดอกบ๊วยให้ท่านกิน”
หมอเทวดาหลี่ขมวดคิ้ว เอ่ยด้วยความรังเกียจเล็กน้อยว่า “ฤดูกาลนี้กินไส้ดอกบ๊วย จะเป็นหวัดง่าย”
“เช่นนั้นท่านอยากกินอะไรเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่เอ่ยอย่างสงวนท่าทีว่า “ไส้อ่อนตุ๋นหม้อดินก็ดี”
ลั่วเซิงพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “เช่นนั้นก็ทำไส้อ่อนตุ๋นหม้อดิน ข้างในใส่เห็ดหอม หน่อไม้และพริกแดงดอง ตุ๋นพร้อมกับไส้อ่อนที่ทำความสะอาดเรียบร้อย กินตอนร้อนๆ ช่วยอุ่นท้อง”
หมอเทวดาหลี่แอบกลืนน้ำลาย
ทำพรุ่งนี้ก็ได้ อธิบายเสียละเอียดตอนนี้ทำไมกัน นังหนูน้อยนี่มีเจตนาแอบแฝง!
เว่ยหานตกอยู่ในภวังค์ บางทีครานั้นเขาไม่ควรฝึกวิทยายุทธ์ แต่ควรเรียนการแพทย์
คุณหนูลั่วตามใจหมอเทวดาจริงๆ
แน่นอนว่า เขาไม่เคยคิดต้องการให้คุณหนูลั่วตามใจเขาและก็จินตนาการภาพคุณหนูลั่วตามใจเขาไม่ออก ตราบใดที่เขาอยากกินอะไรก็ได้กิน เขาก็พอใจแล้ว
หมอเทวดาหลี่กินขนมสองสามชิ้นพลางคิดถึงไส้อ่อนตุ๋นหม้อดินที่ร้อนระอุ ข้างนอกก็มีเสียงดังขึ้นอีกแล้ว
สือหั่วส่งเสี่ยวชีมาแล้ว
เสี่ยวชีถูกหามเข้ามา มีเสื้อคลุมห่มร่างของเขาไว้อย่างลวกๆ บนเสื้อคลุมเปื้อนรอยเลือดเป็นดวงๆ
ซิ่วเย่ว์โถมเข้าไปหาด้วยสีหน้าซีดขาว แต่ถูกลั่วเซิงห้ามเอาไว้
“คุณหนู?”
“มอบให้เป็นหน้าที่ของหมอเทวดาเถอะ เราจะร้อนใจอย่างไรก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ซิ่วเย่ว์พยักหน้า
เมื่อเห็นเสี่ยวชีถูกหามเข้ามาในห้อง ลั่วเซิงจึงถามสือหั่วว่า “เสี่ยวชีบาดเจ็บตรงไหน พวกเจ้าหาเขาเจอได้อย่างไร”
สือหั่วมองเว่ยหาน
เว่ยหานเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “คุณหนูลั่วถามอะไรเจ้าก็ตอบไปอย่างนั้น”
สือหั่วประสานมือให้ลั่วเซิง “ครานั้นข้าน้อยกำลังเดินไปหาถึงบริเวณเรือร้างที่อยู่ริมแม่น้ำจินสุ่ย ก็เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินโซเซกระโดดลงไปในแม่น้ำ จากนั้นก็มีอีกคนหนึ่งกระโดดตามลงไป…”
[1] หมอเท้าเปล่า คือเกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำที่ทำงานในหมู่บ้านชนบท