ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 271 เปิดเผยต่อสาธารณะ
ตอนที่ 271 เปิดเผยต่อสาธารณะ
คำพูดของเสี่ยวชีทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ใจกระตุกในทันที
ซิ่วเย่ว์รีบหันไปมองลั่วเซิง
ลั่วเซิงพยายามรักษาความสงบนิ่งในน้ำเสียงของตนเอง เพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มที่ร่างกายอ่อนแอรู้สึกกดดัน “เสี่ยวชี เจ้าหมายถึงคนที่ลักพาตัวเจ้าไป หรือว่าคนที่ลงมือบนเรือ”
เสี่ยวชีพูดอย่างไม่ลังเลว่า “คนที่ลงมือบนเรือขอรับ!”
“คุ้นตาอย่างไร เคยเจอที่ไหนหรือ”
เสี่ยวชีพยักหน้าเบาๆ พยายามครุ่นคิด จากนนั้นเขาก็กุมศีรษะ เผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
ลั่วเซิงทำใจถามต่อไปไม่ได้ ตบมือของเด็กหนุ่มเบาๆ “ไม่ต้องคิดแล้ว นอนก่อนเถอะ หายแล้วค่อยว่ากัน”
“แต่ว่าทั้งๆ ที่รู้สึกคุ้นตามาก เหตุใดจึงคิดไม่ออกนะ…” เสี่ยวชีร้อนใจจนหน้าย่น
“ไม่รีบ ในเมื่อรู้สึกคุ้นตา ถึงอย่างไรก็จะจำได้เอง” ลั่วเซิงปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน
เสียงของเด็กสาวสงบและอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่ช่วยปลอบโยนความร้อนรนของผู้คน
เสี่ยวชีพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
“เราออกไปกันก่อนเถอะ”
ซิ่วเย่ว์หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าให้เสี่ยวชี “เสี่ยวชี เจ้านอนก่อน อาอยู่ข้างนอกนี่เอง”
เว่ยหานยังไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าให้กำลังใจเด็กหนุ่ม
เสี่ยวชีตาโต เกิดความสงสัยในใจ เหตุใดไคหยางอ๋องก็อยู่ที่นี่ด้วยนะ
มองส่งทั้งสามคนไปจนถึงประตู จู่ๆ ก็มีแสงวาบเข้ามาในหัวที่สับสนของเสี่ยวชีทำให้เขาโพล่งออกมาว่า “ข้าจำได้แล้ว!”
ทั้งสามคนที่เดินไปถึงหน้าประตูชะงักทันที พวกเขาหันกลับมา
“เสี่ยวชีจำได้แล้วหรือ”
เสี่ยวชีพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าลองพูดออกมาดู”
เสี่ยวชีไม่ได้พูดอะไร เหลือบมองเว่ยหานอย่างรวดเร็ว
เว่ยหานขมวดคิ้วเล็กน้อย
ลั่วเซิงเข้าใจความหมายของเสี่ยวชี นางพูดกับเว่ยหานว่า “ท่านอ๋องยุ่งมานานเช่นนี้ก็คงเหนื่อยแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
เว่ยหานเม้มปากแน่น
เขาไม่เหนื่อย
แต่ในเมื่อคุณหนูลั่วพูดเช่นนี้ เขาออกไปก่อนก็ได้
“เช่นนั้นข้ารอเจ้าข้างนอก”
ลั่วเซิงรู้สึกว่าเว่ยหานพูดเช่นนี้แปลกๆ แต่นางก็ไม่มีเวลามาสนใจรายละเอียดจึงพยักหน้า
เว่ยหานอดโค้งริมฝีปากยิ้มไม่ได้ เขาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องที่ถูกเสี่ยวชีเมินเฉยและนึกระแวงนั้น เขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
เขายังไม่ถึงกับต้องไปถือสากับเด็กน้อยคนหนึ่ง
“ไม่มีคนอื่นแล้ว พูดเถอะ” ต่อหน้าสีหน้าสับสนของเสี่ยวชี น้ำเสียงของลั่วเซิงอ่อนโยนกว่าเดิม
“ข้าก็ไม่รู้ว่าจำผิดหรือไม่…” เสี่ยวชียังคงลังเล
ซิ่วเย่ว์เอ่ย “เสี่ยวชี เจ้าจำอะไรได้ก็พูด ผู้ใหญ่จะตัดสินใจในสิ่งที่เจ้าพูดเอง”
เสี่ยวชีพยักหน้าเบาๆ พูดว่า “เถ้าแก่ ท่านอา พวกท่านยังจำที่ว่าข้าคือโจรป่าได้ใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงมองหน้าซิ่วเย่ว์ เรื่องนี้ต้องจำได้อยู่แล้ว
เมื่อพูดถึงการเป็นโจร ดวงตาของเสี่ยวชีเป็นประกายโดยไม่รู้ตัว “เดิมพี่ใหญ่พาพวกข้าเป็นโจรป่า ภายใต้การนำของพี่ใหญ่ ค่ายเฮยเฟิงของเราก็รุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ใครจะไปคิดว่าไม่กี่เดือนก่อน จู่ๆ ก็มีทหารทางการมากมายมาล้อมปราบหมู่บ้านของเรา…”
ใบหน้าซีดเซียวของเสี่ยวชีเปลี่ยนเป็นสีเข้มเนื่องจากความโมโห “ตอนที่ทหารทำลายค่ายเฮยเฟิงของเรา ข้าถูกพี่ใหญ่ซ่อนไว้ในถังเก็บน้ำ ครานั้นข้าแอบมองไปข้างนอก เห็นทหารกลุ่มหนึ่ง… นายหญิง วันนี้คนที่จะฆ่าข้าก็อยู่ในกลุ่มทหารเหล่านั้นด้วย!”
ที่เขาจำได้แม่นเป็นเพราะคนๆ นั้นเดินผ่านถังเก็บน้ำแล้วอยากดื่มน้ำขึ้นมา ตอนนั้นเขาตกใจกลัวจนฉี่ราดในถังเก็บน้ำ
ไม่สิ เขาไม่ได้กลัวเสียหน่อย เขาจะสู้ตายโดยไม่สนใจอะไรต่างหาก หากฆ่าอีกฝ่ายตายไม่ได้ก็ขอทำให้อีกฝ่ายขยะแขยงตาย
ที่โชคดีคือมีเสียงดังขึ้นจากที่อื่น คนเหล่านั้นไล่ตามไป เขาเลยรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิด
เมื่อเสี่ยวชีคิดถึงรสชาติที่ต้องแช่อยู่ในถังเก็บน้ำ…เขาจะลืมได้ลงหรือ
แม้คนๆ นั้นจะหน้าโหลก็ลืมไม่ลงหรอก
“ทหาร?” ลั่วเซิงฉุกคิดได้อย่างรวดเร็ว
นางรู้เหตุผลว่าเหตุใดพวกโจรป่าระหว่างทางจากจินซาถึงเมืองหลวงจึงถูกกำจัด
นางเป็นคนบอกแม่ทัพใหญ่ลั่วเรื่องถูกไล่ล่าสังหารระหว่างทางเข้าเมืองหลวงจึงทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วส่งคนไปปราบโจร
นางจำได้ว่าคนที่แม่ทัพใหญ่ลั่วส่งไปก็คือบุตรบุญธรรมของเขา อวิ๋นต้ง
เช่นนั้นแล้วคนที่ขึ้นมาบนเรือและจะฆ่าเสี่ยวชีคือคนของอวิ๋นต้ง หรือว่าทหารในท้องที่นะ
ไม่ว่าจะเป็นคนฝั่งไหน เรื่องราวก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
“ใช่แล้ว เถ้าแก่ ข้าเคยเห็นหัวหน้าของคนผู้นั้น!”
ลั่วเซิงหยุดคิดแล้วมองเสี่ยวชี
เสี่ยวชีลังเลครู่หนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “ก็คือคนที่ชอบติดตามแม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นบางครั้งตอนที่อยู่ฐานล่าสัตว์ผู้นั้น”
ลั่วเซิงคิดถึงคนสองคนขึ้นมาทันที ผิงลี่และอวิ๋นต้ง
ครานั้นที่ไปล่าสัตว์ แม่ทัพใหญ่ลั่วมีบุตรบุญธรรมเพียงสองคนอยู่ในเมืองหลวง เขาจึงพาไปด้วยทั้งคู่ซึ่งก็คือสองคนนี้
“รู้ชื่อของเขาหรือไม่”
เสี่ยวชีครุ่นคิดอย่างตั้งใจ นัยน์ตาเป็นประกาย “ข้าได้ยินคุณหนูสี่เรียกเขาว่าพี่ห้า”
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว
เป็นอวิ๋นต้งจริงๆ ด้วย!
เสี่ยวชีพยักหน้า หลับตาที่หนักอึ้งลง
ไม่นาน ในห้องก็มีเสียงลมหายใจมั่นคงของเด็กหนุ่มดังขึ้น
“คุณหนู…”
“ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”
ทั้งสองเดินออกมา
เว่ยหานรออยู่ที่ระเบียง เห็นลั่วเซิงออกมาก็รีบเดินไปหา “เสี่ยวชีนอนหรือยัง”
ลั่วเซิงพยักหน้า “เพิ่งนอน”
“หรือไม่ส่งเขากลับไปหอสุราหรือไม่ก็จวนลั่วไหม”
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “เสี่ยวชีร่างกายยังอ่อนแอ ไม่ควรทรมานร่างกาย…”
เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น “ห้ามพักค้างคืนที่โรงหมอ”
ลั่วเซิงยิ้มน้อยๆ “เดิมคิดไว้ว่าจะให้อาซิ่วส่งอาหารมาสามมื้อ กลับไปก็ดี จะได้ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้น”
ทันทีที่หมอเทวดาได้ยินคำว่า ‘อาซิ่ว’ สองคำ หูก็ตั้งขึ้นทันที
ส่งอาหาร?
สามมื้อ?
“แค่กๆ” หมอเทวดาหลี่ไอเสียงดัง
เมื่อพวกลั่วเซิงมองมา ชายชราก็ทำสีหน้าจริงจัง “แต่ว่าข้าเองก็รู้สึกถูกชะตากับเจ้าเด็กนี่ ข้าจะยกเว้นและปล่อยให้เขาพักรักษาตัวที่นี่สักวันสองวันแล้วกัน”
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว” ลั่วเซิงย่อเข่าลงเล็กน้อย
หมอเทวดาหลี่แค่นเสียงเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก
จอมปลอม เจ้าเล่ห์ แม่นางน้อยแบบนี้ออกเรือนได้ยากแน่ๆ
เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเว่ยหาน หมอเทวดาหลี่ก็พูดเสริมในใจเงียบๆ ว่า เว้นแต่ว่าเจอหุ่นไม้แบบนี้ ใครก็อย่าได้รังเกียจใครเลย
ทั้งสองคนที่ถูกหมอเทวดาเกลียดชังสุดฤทธิ์เดินออกจากโรงหมอ ค่ำคืนมืดมิดจดมิอาจเห็นแสงสว่างใด
ถนนทั้งสายมีเพียงโคมไฟของหอสุราที่ส่องสว่าง เพียงแต่ว่าแสงนั้นอ่อนมาก ไม่สามารถส่องมาถึงทั้งสองคนได้
ลั่วเซิงหยุดลง
เว่ยหานก็หยุดตาม
สือหั่วเตรียมจะหยุดด้วย แต่ถูกสือเยี่ยนดึงไปแล้ว
“สารถีของจวนอันกั๋วกงอยู่กับสืออี้หรือ”
“อืม”
“ข้าต้องการตัวคนผู้นี้”
เว่ยหานได้ยินแล้วรู้สึกไม่รื่นหูเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพยักหน้าพูดว่า “ได้”
ลั่วเซิงยืนนิ่งไม่ขยับ
“คุณหนูลั่ว ให้ข้าส่งเจ้ากลับจวนเถอะ” แม้เว่ยหานจะไม่ถือสาที่จะยืนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่คิดถึงวันนี้ที่คุณหนูลั่ววิ่งวุ่นทั้งวันคงเหนื่อยแล้วจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน
ลั่วเซิงมองเขา ตัดสินใจพูดให้ชัดเจน
เรื่องของตนเองนางจะแบกรับไว้เอง แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น แม้จะมาจากการให้เกียรติ ภายใต้เงื่อนไขที่อีกฝ่ายสามารถยอมรับได้ก็ควรพูดกันให้ชัดเจน
“มีเรื่องๆ หนึ่งอาจจะต้องการให้ท่านอ๋องช่วยจัดการ ไม่เช่นนั้นจะนำปัญหามาให้ข้า”
ปัญหา?
เว่ยหานหุบยิ้ม รู้สึกใจเย็นวาบ