ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 279 ขนมกุ้ยฮวา
ตอนที่ 279 ขนมกุ้ยฮวา
เสี่ยวชีแทบจะขยับตัวไม่ได้ แต่ดวงตาที่มองลูกพลับตากแห้งที่มีสภาพไม่ค่อยดีนักเป็นประกาย “ลูกพลับตากแห้งจากที่ไหนหรือ หวานหรือไม่”
ลั่วเฉินลังเลครู่หนึ่ง พยักหน้า “หวาน”
ลูกพลับที่อยู่ยิ่งสูงจะยิ่งหวาน นี่คือสิ่งที่เสี่ยวชีพูดเอง
เสี่ยวชีมองลั่วเฉินตาปริบๆ “เช่นนั้นท่านป้อนให้ข้ากินหน่อยได้หรือไม่”
ลั่วเฉินยื่นลูกพลับตากแห้งไปใกล้ๆ ปากของเสี่ยวชีด้วยสีหน้านิ่งเฉย
เสี่ยวชีกัดลงไปอย่างไม่ลังเล ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว “หวานจังเลย!”
ลั่วเฉินไม่ได้พูดอะไร
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าหวานหรือไม่หวาน
“คุณชายลั่ว เรากินด้วยกันเถอะ”
ลั่วเฉินชะงัก มองลูกพลับตากแห้งในมือที่ถูกกัดไปแล้วหนึ่งคำแล้วมองเจ้าเด็กตัวดำที่ดูหน้าตาจริงจังอีกที จู่ๆ ก็รู้สึกสับสน
วันนั้นเสี่ยวชีช่วยเขาทำแผลที่ก้นของเขาเสร็จก็หยิบลูกพลับออกมาโดยที่ไม่ล้างมือ
ลูกพลับตากแห้งนี่ เคยสัมผัสก้นของเขาทางอ้อม…
เสี่ยวชีไม่รู้ถึงความสับสนของลั่วเฉินแม้แต่น้อย เขากำลังคิดถึงรสชาติหวานๆ ของลูกพลับตากแห้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจกว่าเดิม “คุณชายลั่ว ลูกพลับตากแห้งที่ท่านเอามาอร่อยจริงๆ เรากินด้วยกันสิ”
ในที่สุดลั่วเฉินก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “นี่คือลูกพลับที่เจ้าเด็ดลงมาวันนั้น”
“อย่างนั้นหรือ” เสี่ยวชีชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างให้ “ที่แท้คุณชายลั่วยังเก็บไว้ เช่นนั้นก็ได้กินด้วยกันพอดี”
ลั่วเฉินเม้มปากมองเสี่ยวชี เห็นดวงตาเป็นประกายของเด็กหนุ่มหน้าดำ
เขาเบ้ปากอย่างหมดหนทาง ข่มความรังเกียจไว้แล้วกัดลูกพลับตากแห้งคำหนึ่ง
“หวานใช่หรือไม่” เสี่ยวชีถาม
หวานน่ะหวานจริง แต่ยังคงรู้สึกรังเกียจอยู่ดี
คนหนึ่งรังเกียจ อีกคนมีความสุข เด็กหนุ่มสองคนเริ่มแบ่งลูกพลับตากแห้งกินกัน
นอกห้อง ซิ่วเย่ว์ยิ้มพูดว่า “คุณชายและเสี่ยวชีเริ่มเข้ากันได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะเจ้าคะ”
ลั่วเซิงเองก็ยิ้ม “นั่นน่ะสิ เสี่ยวชีบาดเจ็บเพราะข้า อาซิ่ว ช่วงนี้ลำบากเจ้าดูแลเขาดีๆ ด้วยล่ะ”
“คุณหนูอย่าพูดเช่นนี้เลย นี่เป็นเรื่องที่สมควรทำแล้ว”
ได้เห็นเด็กสองคนเข้ากันได้ดีขึ้นย่อมเป็นเรื่องดี
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น หมอเทวดาหลี่เดินเอามือไพล่หลังเข้ามา
“มาเยี่ยมเสี่ยวชีเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยิ้มตอบ
หมอเทวดาหลี่สีหน้ารำคาญ “ดูเสร็จแล้วก็กลับไปทำงานตนเองไป”
นังหนูแซ่ลั่วน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่แม่ครัวไม่ไปทำอาหารที่ห้องครัว แต่มายืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน
“เช่นนั้นไม่รบกวนหมอเทวดาแล้ว ข้าพาอาซิ่วกลับหอสุราก่อน”
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า
ต้องอย่างนี้สิ ข้าวเช้าก็กินไปแล้ว ถึงเวลาเตรียมข้าวเที่ยงแล้ว
เมื่อกลับถึงหอสุรา ลั่วเซิงนั่งลงข้างหน้าต่างเหม่อมองออกไปข้างนอก
ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว เป็นเวลาที่เหมาะกับการกินหม้อไฟต่างๆ พอดี แต่ตั้งแต่ครานั้นเว่ยเชียงก็ไม่เคยมาอีกเลย
หนทางการแก้แค้นนี้ ต้องใช้ความอดทนมากจริงๆ
ลั่วเซิงนั่งอยู่นาน กลิ่นหอมในห้องครัวเริ่มโชยมาที่ห้องโถง
นอกหน้าต่าง ร่างในชุดสีแดงเข้มหยุดเดิน
ลั่วเซิงสบตากับคนผู้นั้นผ่านหน้าต่าง เพิ่งรู้ตัวว่าที่ที่ตนเองนั่งคือที่ประจำของไคหยางอ๋อง
เหตุใดเขาจึงมาที่นี่เวลากลางวันนะ
ความคิดนี้เพิ่งแวบขึ้นมาก็เห็นคนผู้นั้นยิ้มให้แล้วเดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้า
ไม่นานมีแสงสว่างขึ้นที่ประตู เว่ยหานเดินเข้ามา
เขาเดินตรงมาที่ลั่วเซิง นั่งลงตรงข้ามนาง
ลั่วเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
เราสนิทกันถึงขั้นนั่งลงได้โดยไม่ต้องทักทายก่อนเลยหรือ
“คุณหนูลั่วมาแต่เช้าเช่นนี้ มาดูเสี่ยวชีหรือ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ ถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เหตุใดท่านอ๋องมาเวลานี้เจ้าคะ”
“ข้าได้รับสารเรื่องหนึ่ง อยากบอกคุณหนูลั่วก็เลยมาน่ะ”
ลั่วเซิงดวงตาวูบไหวเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “เกี่ยวกับเรื่องจวนอันกั๋วกงหรือ”
เว่ยหานพยักหน้า “เพิ่งได้รับสารเมื่อครู่นี้ บอกว่าอันกั๋วกงฮูหยินเสียแล้ว”
ลั่วเซิงชะงัก คิดว่าฟังผิด “อันกั๋วกงฮูหยิน?”
“อืม” เว่ยหานพยักหน้ายืนยัน
ลั่วเซิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่แปลกที่นางจะตกใจ
ไคหยางอ๋องออกโรงพูดคุยกับจวนอันกั๋วกงเอง คุณหนูรองจูไม่สามารถพ้นโทษได้แน่นอน
ตามที่นางคิดไว้ การส่งคุณหนูรองจูไปแดนไกลน่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าอันกั๋วกงฮูหยินจะเสียชีวิต
“คาดคิดไม่ถึงจริงๆ”
ถึงอย่างไรก็ไม่ถึงขั้นเอาชีวิตอันกั๋วกงฮูหยิน
เว่ยหานยกกาน้ำชาขึ้นรินชาให้ตนเอง “ข้าเดาว่าเป็นอุบัติเหตุ หลังจากอันกั๋วกงกลับไปแล้วอาจจะไปสั่งสอนบุตรสาว เป็นไปได้มากว่าอันกั๋วกงฮูหยินเข้ามาห้าม ถูกอันกั๋วกงพลั้งมือสังหารจนตาย…”
ลั่วเซิงฟังเงียบๆ หยิบขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
ขนมกุ้ยฮวาหอมหวานเข้าปาก แต่กลับไม่รู้สึกถึงความอร่อยเลย
ถึงแม้สำหรับคุณหนูรองจูแล้ว การลงโทษเช่นนี้โหดร้ายกว่าการถูกส่งไปดินแดนห่างไกลหรืออารามแม่ชีเสียอีก แต่ผลลัพธ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากเห็น
จะบอกว่าเสียใจก็คงไม่ใช่ เพียงแค่รู้สึกหนักอึ้งอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เว่ยหานพูดจบแล้ว เห็นลั่วเซิงกำลังกินขนมกุ้ยฮวา เขาก็หยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมากินด้วย
อันที่จริงเขาไม่ชอบกินขนมหวาน
ขนมกุ้ยฮวาเข้าปาก เว่ยหานก็แอบพูดเสริมในใจว่า ยกเว้นขนมที่กินที่นี่กับคุณหนูลั่ว
เมื่อลั่วเซิงดึงสติกลับมาก็เห็นคนตรงข้ามกินขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งหมดแล้วและกำลังเอื้อมไปหยิบชิ้นที่สอง
“ขนมกุ้ยฮวาอร่อยหรือไม่เจ้าคะ” ลั่วเซิงเม้มปากถาม
มือที่กำลังเอื้อมไปของเว่ยหานชะงัก พูดตามความจริงว่า “อร่อย”
เขาจำได้ว่าครานั้นคุณหนูลั่วถามเขาว่ากินของว่างหรือไม่ เขาบอกว่าเขาไม่ชอบกินขนมหวาน
จากนั้น ก็ไม่มีจากนั้นอีก
ผิดเป็นครู
ลั่วเซิงไม่โมโหแต่อย่างใด
ถึงอย่างไรก็เพิ่งร่วมมือกันเมื่อคืน หากจะยึดจานขนมหวานไปแบบนี้นางทำไม่ลงจริงๆ
แต่นางจำได้ว่าคนผู้นี้ไม่ชอบกินขนมหวานนี่
ลั่วเซิงเหลือบมองขนมกุ้ยฮวาที่มีสีสันสดใสในจานแล้วก็ทำหน้าบูดบึ้ง
หรือว่าขนมกุ้ยฮวานี่ไม่หวานนะ
นางหยิบอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
เมื่อลั่วเฉินเข้ามาในหอสุราก็เห็นคนสองคนที่นั่งข้างหน้าต่าง
เด็กหนุ่มอดขมวดคิ้วไม่ได้ โพล่งถามว่า “พวกท่านทำอะไรอยู่หรือ”
เว่ยหานมองลั่วเฉิน น้ำเสียงสงบและมาดมั่นเอ่ย “กินขนมกุ้ยฮวา”
เขาย่อมมาดมั่น
ขนมกุ้ยฮวาไม่ใช่คุณหนูลั่วทำก็แม่ครัวของคุณหนูลั่วที่ทำ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น นอกจากจะไม่ได้มาดมั่นต่อหน้าคุณหนูลั่ว แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับความคิดของผู้อื่นนัก น้องชายของคุณหนูลั่วเองก็ไม่เว้น
สิ่งที่เขาใส่ใจอันที่จริงมีเพียงคุณหนูลั่ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เว่ยหานก็ชะงักไปเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนี้ สำหรับเขาแล้ว คุณหนูลั่วก็ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น…
เขามองเด็กสาวตรงหน้า จู่ๆ ก็ตกอยู่ในภวังค์
ลั่วเซิงเรียกลั่วเฉิน “มานั่งนี่สิ”
อันที่จริงลั่วเฉินหงุดหงิดเล็กน้อย
ไคหยางอ๋องหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
แต่เมื่อคิดถึงขนมกุ้ยฮวา เขาก็เดินเข้าไป
“เสี่ยวชีเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุยกันได้ครู่หนึ่งก็นอนแล้ว ข้าให้ฝูซงเข้ามาดูแลเขา”
ลั่วเซิงยิ้ม “น้องชายโตแล้ว”
ลั่วเฉินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเขินอาย เขาทำหน้านิ่งไม่ได้พูดอะไร
ลั่วเซิงลุกขึ้น “พวกเจ้านั่งเถอะ ข้าจะไปดูในห้องครัว”
เมื่อลั่วเซิงจากไป ลั่วเฉินก็มองมาที่เว่ยหาน เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เมื่อคืนเรื่องเสี่ยวชี ท่านอ๋องช่วยท่านพี่ข้าใช่หรือไม่ขอรับ”
หากไม่รู้เรื่องจูหานซวง เว่ยหานอาจจะพยักหน้า แต่ตอนนี้จะคิดเช่นนั้นไม่ได้แล้ว
เขาเป็นคนทำให้คุณหนูลั่วตกอยู่ในอันตรายต่างหาก จะเรียกว่าช่วยเหลือได้อย่างไร
เว่ยหานยิ้มให้เด็กหนุ่ม “ไม่ได้ช่วย แต่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ”