ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 281 มีคนมาหาคุณหนูลั่ว
ตอนที่ 281 มีคนมาหาคุณหนูลั่ว
ขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับจวนอันกั๋วกงเป็นที่จับตามองของทุกคนในเมืองหลวง สถานการณ์ของจวนผิงหนานอ๋องก็ไม่สู้ดีนัก
จนถึงตอนนี้ผิงหนานอ๋องแค่เดินยังลำบาก เพียงแค่วิตกกังวลเล็กน้อยก็หายใจติดขัด ราวกับมีไฟแผดเผาในอก
ทุกคนในจวนผิงหนานอ๋องรู้แก่ใจดีว่าท่านอ๋องกลายเป็นคนพิการไปแล้ว
ชายาผิงหนานอ๋องรู้สึกหดหู่ กินไม่ได้ทั้งวัน ทำเอาเว่ยเฟิงและเว่ยเหวินร้อนใจนัก
“เสด็จแม่เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ น้องเหวิน เจ้าดูแลเสด็จแม่ให้ดี ข้าจะออกไปซื้ออาหารอร่อยๆ สองสามอย่างกลับมา”
“พี่รองจะไปซื้อที่ไหนหรือเจ้าคะ”
“ที่มีหอสุรา”
เว่ยเหวินได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “พี่รองจะไปซื้อที่นั่นหรือ”
ตั้งแต่ที่ท่านพ่อถูกลอบสังหาร นางคิดถึงมีหอสุราทีไรก็รู้สึกไม่ดีนัก กระทั่งรู้สึกรังเกียจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เว่ยเฟิงกลับไม่ได้คิดมากเช่นนั้น
แม้ท่านพ่อจะถูกลอบสังหารหลังจากออกจากหอสุรา แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหอสุราเสียหน่อย
มีหอสุรามีขุนนางน้อยใหญ่ไปกินทุกวัน เรื่องรสชาติย่อมมิต้องพูดถึง ช่วงนี้ที่เขาไม่ได้ไปอีก เพราะว่าท่านพ่ออาการไม่ค่อยดีนัก เขาเลยไม่มีกะจิตกะใจไปกินดื่ม
“น้องก็เคยกินอาหารของมีหอสุราแล้ว น่าจะรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร เสด็จแม่ไม่เจริญอาหารมานานเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเห็นอาหารของมีหอสุราแล้วท่านอาจจะอยากกินขึ้นมาบ้างก็ได้”
เว่ยเหวินครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างฝืนใจ “ก็ได้ พี่รองรีบไปรีบกลับนะเจ้าคะ”
ตอนที่เว่ยเฟิงเร่งเดินทางมาถึงหอสุรา ยังห่างจากเวลาเปิดของหอสุรามาก กลับเห็นว่าที่นั่งข้างหน้าต่างมีคนสองคนนั่งอยู่ ซึ่งคนหนึ่งคือคุณหนูลั่วและอีกคนหนึ่งคือไคหยางอ๋อง
เว่ยเฟิงอดมองไปที่ประตูหอสุราไม่ได้
บัดนี้ประตูหอสุรายังคงปิดอยู่ ดูเงียบเหงา
ข่าวลือคือเรื่องจริงหรือ
อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจนัก
คุณหนูลั่วเลี้ยงนายบำเรอยังไม่พอ นางยังเล่นงูด้วย ไม่ใช่หญิงสาวปกติเลยแม้แต่น้อย จะแต่งเข้าเรือนเป็นภรรยาได้อย่างไรกัน
เมื่อคิดถึงว่าต่อไปต้องเรียกคุณหนูลั่วว่าอาสะใภ้ มุมปากเว่ยเฟิงก็กระตุก มิอาจจินตนาการต่อไปได้เลย
เว่ยหานที่นั่งข้างหน้าต่างสังเกตเห็นเว่ยเฟิงนานแล้ว แต่กลับไม่อยากมองเขาแม้แต่น้อย
เขากำลังคุยธุระสำคัญกับคุณหนูลั่ว หวังว่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่รบกวน
อันที่จริงลั่วเซิงก็เห็นเว่ยเฟิงแล้ว แต่นางกำลังฟังถึงช่วงสำคัญ ย่อมไม่อยากเสียสมาธิ
“ท่านอ๋องหมายความว่า คนกลุ่มนั้นเริ่มปรากฏตัวขึ้นเมื่อเจ็ดปีก่อนหรือ”
เจ็ดปีก่อน ฟังแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่หากลองคิดดูดีๆ เจ็ดปีก่อนเป็นปีที่เว่ยเชียงกลายเป็นรัชทายาทพอดี
ตามหลักแล้วสองเรื่องนี้ไม่มีทางมีความเชื่อมโยงอะไร เพียงแต่ว่านางรู้สึกไวต่อเรื่องเวลาอย่างเจ็ดปีก่อน สิบสองปีก่อนเป็นพิเศษ
“กลุ่มนี้ระมัดระวังตัวมาก ตามเส้นสายของสารถีจวนอันกั๋วกง ตอนนี้ข้าสืบได้เพียงเท่านี้ เมื่อมีความคืบหน้าข้าจะบอกคุณหนูลั่วอีกที” เว่ยหานมองคิ้วที่ขมวดกันของคุณหนูลั่ว นิ้วมือรู้สึกคันขึ้นมาอีกครั้ง
เขาอยากจะคลายปมคิ้วนั่นให้กลับไปเหมือนเดิม ทว่าก็ทำได้เพียงคิดเท่านั้น
“ขอบคุณท่านอ๋องเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้นมาจิบ
เว่ยเฟิงยืนอยู่หน้าประตูหอสุราครู่หนึ่งก่อนจะผลักประตูเข้ามา
เสียงเปิดประตูดังเอี๊ยดอ๊าดทำให้ผู้ดูแลหญิงเงยหน้าขึ้น เห็นคุณชายในชุดหรูหราท่านนี้ก็รีบเดินไปต้อนรับ
“ต้องขออภัย หอสุรายังไม่เปิด…”
“ข้ามาหาคน” เว่ยเฟิงขมวดคิ้วเดินอ้อมผู้ดูแลหญิงไปหาทั้งสอง
อันที่จริงผู้ดูแลหญิงจำเว่ยเฟิงได้ เมื่อหันไปเห็นลั่วเซิงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นางก็ไม่ได้เข้าไปห้าม
นางเป็นเพียงผู้ดูแลหญิงที่บอบบาง จะขัดขวางเครือญาติของเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ได้อย่างไร
“เสด็จอาก็อยู่หรือ” เว่ยเฟิงคารวะเว่ยหาน
เว่ยหานถือจอกชาไว้ มองเว่ยเฟิงนิ่งๆ “เฟิงเอ๋อร์มาหาใครที่นี่หรือ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘เฟิงเอ๋อร์’ เว่ยเฟิงก็เกือบจะควบคุมสีหน้าเอาไว้ไม่ได้
เขาอายุเท่ากันกับเสด็จอาท่านนี้ แต่หากนับดูดีๆ เขายังโตกว่าเสด็จอาคนนี้หนึ่งเดือน
เรียกเขาว่าซื่อจื่อยังรื่นหูกว่า ‘เฟิงเอ๋อร์’ มากนัก
หากเรียกเขาแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็คงไม่รู้สึกอะไร แต่เสด็จอาท่านนี้เอาแต่ใจมาก อยากเรียกซื่อจื่อก็เรียกซื่อจื่อ อยากเรียกเฟิงเอ๋อร์ก็เรียกเฟิงเอ๋อร์ ทำให้เขาตั้งรับไม่ทันทุกครั้ง
ในขณะที่เหน็บแนมในใจ เว่ยเฟิงทำได้เพียงยิ้มตอบว่า “หลานมาหาคุณหนูลั่ว”
“อืม” เว่ยหานวางจอกชาลงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ลั่วเซิงมองเว่ยเฟิง ถามขึ้นว่า “ท่านอ๋องน้อยมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ”
อาจจะเป็นเพราะเข้าฤดูหนาวแล้ว เว่ยเฟิงมักจะรู้สึกว่าลมหนาวในห้องโถงค่อนข้างแรง เขาห่อไหล่เล็กน้อยพูดว่า “ไม่ทราบว่าหอสุรามีอาหารรสอ่อนหรือไม่”
“รสอ่อนหรือ” ลั่วเซิงเหลือบมองไปทางห้องครัว “หม้อไฟหัวปลาและลูกชิ้นปลาที่เป็นอาหารจานใหม่ทั้งอร่อยและสด เป็นที่นิยมของแขกอย่างยิ่ง”
ทันทีที่ได้ยินว่าเป็นหม้อไฟ แววตาเว่ยเฟิงก็มืดครึ้มลงเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะพูดว่า “นำหม้อไฟกลับไปคงไม่สะดวกนัก”
เว่ยหานเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “มีหอสุราห้ามซื้ออาหารกลับ”
ลั่วเซิงมุมปากกระตุก
กฎเกณฑ์เป็นของตาย แต่คนน่ะดิ้นได้ นางยังไม่พูดอะไรเลย เหตุใดไคหยางอ๋องมาแย่งตอบแบบนี้นะ
ต่างเวลาต่างสถานการณ์ ก่อนหน้านี้เพื่อล่อให้ผิงหนานอ๋องติดเบ็ด นางตั้งกฎว่าอาหารของหอสุราห้ามซื้อกลับ แต่ในยามจำเป็น กฎเกณฑ์ก็เปลี่ยนแปลงกันได้
ชายร่างกำยำถือกล่องอาหารเดินเข้ามาจากประตูหลังห้องโถงพอดี พูดกับลั่วเซิงว่า “นายหญิง ข้าน้อยไปส่งอาหารให้หมอเทวดานะขอรับ”
เมื่อมองส่งชายร่างกำยำเดินถือกล่องอาหารขนาดใหญ่ออกจากหอสุรา เว่ยเฟิงมองกลับมาและมองไปที่เว่ยหานเงียบๆ
ไหนบอกว่าห้ามซื้อกลับอย่างไรเล่า แล้วกล่องอาหารที่ชายร่างกำยำถือคืออะไร
บรรยากาศเงียบงัน ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกหอสุรา พอทักทายลั่วเซิงเสร็จก็ถามหงโต้วที่กำลังแทะเมล็ดแตงโม “พี่หญิงใหญ่ อาหารใส่กล่องเรียบร้อยหรือยังขอรับ”
หงโต้วถุยเปลือกเมล็ดแตงโมออก เบ้ปากพูดว่า “รอเดี๋ยว”
สาวใช้หันหลังเดินเข้าไปในห้องครัว ไม่นานก็ถือกล่องอาหารออกมา ยื่นให้ชายหนุ่มด้วยใบหน้านิ่งๆ “เอ้า ถือดีๆ เล่า”
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่หญิงใหญ่”
หงโต้วกลอกตา นั่งลงแทะเมล็ดแตงโมต่อไป
คำก็พี่หญิงใหญ่ สองคำก็พี่หญิงใหญ่.. เรียกนางว่าพี่หงโต้วสักคำจะตายหรือไร
สายตาเว่ยเฟิงมองตามชายหนุ่มที่เดินออกไปอีกครั้งแล้วหันมามองเว่ยหานเงียบๆ
แม้กล่องอาหารที่ชายหนุ่มถือไปจะเล็กกว่ากล่องอาหารที่ชายร่างกำยำถือ แต่เขาก็ยังมองเห็น!
“แค่กๆ” เว่ยเฟิงกระแอมเบาๆ ถามลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว อาหารของหอสุราห้ามซื้อกลับหรือ”
เว่ยหานเองก็มองลั่วเซิงเงียบๆ
ห้ามซื้ออาหารหอสุรากลับ คุณหนูลั่วเป็นคนบอกเขาเอง ทำไมเปลี่ยนแล้วเล่า
ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ในอดีตไม่อนุญาตให้ซื้อกลับ แต่คำนึงถึงสถานการณ์พิเศษของแขกบางรายก็ต้องดูแลกันเล็กน้อย”
เว่ยหานดื่มชา น้ำชารสขมกระจายไปทั่วปลายลิ้น
พิเศษหรือ
เขากินอาหารไปตั้งหลายหมื่นตำลึงแล้ว ไม่เห็นคุณหนูลั่วจะดูแลเขาเป็นพิเศษบ้างเลย
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ เว่ยหานรู้สึกเพียงชาที่ดื่มเข้าไปในท้องขมกว่าเดิม
เว่ยเฟิงได้ยินลั่วเซิงพูดเช่นนี้ก็รู้สึกสบายใจ
เขาเคยประสบกับความดื้อรั้นของคุณหนูลั่วมาก่อน หากนางไม่ยอมให้ซื้อกลับจริงๆ ครานี้เขาคงมาเสียเที่ยวแล้ว
เว่ยเหวินไม่มีกำไลทองฝังอัญมณีเจ็ดสีวงที่สองหรอกนะ
เมื่อคิดเช่นนี้ เว่ยเฟิงก็เหลือบมองที่ข้อมือของลั่วเซิงตามสัญชาติญาณ เห็นกำไลที่คุ้นตาวงนั้นก็ตกตะลึงไป
คุณหนูลั่วยังใส่อยู่ เห็นทีนางคงชอบกำไลวงนี้มากจริงๆ
เว่ยหานวางจอกชาลงบนโต๊ะ เกิดเสียงดังกระทบ เว่ยเฟิงเรียกสติกลับมาได้ในทันที