ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 283 กรึ่มๆ
ตอนที่ 283 กรึ่มๆ
“วันนี้รับอะไรดีเจ้าคะ” โค่วเอ๋อร์ยิ้มถาม
เว่ยเชียงมองเว่ยเฟิง
เว่ยเฟิงรีบพูดว่า “สั่งหม้อไฟลูกชิ้นปลาไปหนึ่งที่ ที่บอกว่าสามารถกินลูกชิ้นปลาเจ็ดแบบได้น่ะ”
เว่ยเชียงคิดถึงหม้อไฟที่ได้ทานวันนั้นทันที
ลูกชิ้นปลาลูกกลมและใหญ่ น้ำแกงสดอร่อย เมื่อทานเข้าไปตอนร้อนๆ แล้วทั้งหอมและอร่อย เมื่อลงท้องแล้วรู้สึกอุ่นเป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกสบายหลังจากได้กินหรือไม่ ทำให้คืนนั้นเขาได้นอนหลับดีๆ เสียที ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยหลังจากที่สังหารเฉาฮวาตาย
ทว่าน่าเสียดายที่หลังจากนั้นข่าวลือก็แพร่สะพัด เขาออกไปนอกวังบ่อยๆ มิได้จึงไม่ได้มากินอีก
เว่ยเชียงรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา เขาสั่งอาหารเพิ่มอีกอย่างสองอย่าง
ลั่วเซิงยืนอยู่ด้านหลังม่านประตูห้องโถงไปยังห้องครัว แอบมองผ่านช่องว่างเงียบๆ แล้วเดินเข้าไปในครัว
ซิ่วเย่ว์กำลังทำลูกชิ้นปลาหม้อใหญ่
ลูกชิ้นปลาหลากสีผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำที่กำลังเดือด ดูซุกซนและรื่นรมย์
“อาซิ่ว” ลั่วเซิงเรียก
ซิ่วเย่ว์มองมา
ลั่วเซิงยิ้ม “องค์ชายมาแล้ว ตั้งใจทำหน่อย ต้องทำให้องค์ชายพอพระทัย”
มือที่ถือกระชอนของซิ่วเย่ว์จับแน่นขึ้น พูดอย่างสงบว่า “คุณหนูวางใจเถอะเจ้าค่ะ”
ไม่นาน หงโต้วก็ยกหม้อไฟลูกชิ้นปลาที่ร้อนระอุขึ้นวางบนโต๊ะ
กลิ่นหอมประหลาดแตะจมูกเว่ยหาน เขาเพิ่งนึกได้ว่าเขาลืมสั่งอาหาร
“สือเยี่ยน…” น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น ตามด้วยหางเสียงเล็กน้อย เมื่อดังขึ้นในหูของสือเยี่ยนแล้วกลับน่าตกใจราวกับเสียฟ้าร้อง สั่นสะเทือนจนตับของเขาสั่น
“สั่งอาหาร”
สือเยี่ยนไม่ได้ถูกดุก็รู้สึกยินดีในใจ เขารีบพูดว่า “นายท่าน ที่ร้านมีอาหารใหม่คือหม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมู ท่านจะลองชิมหรือไม่ขอรับ”
“หม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมูหรือ” เว่ยหานเลิกคิ้ว
เมื่อวานยังไม่มีอาหารจานนี้เลย
สือเยี่ยนยิ้มพูดว่า “ใช่แล้วขอรับ ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว เถ้าแก่บอกว่ากินเนื้อหมูแล้วไม่รู้สึกมันเลี่ยนก็เลยออกอาหารใหม่ ใช่แล้ว นายท่าน อาหารจานนี้ยังอ้างอิงมาจากสูตรอาหารที่ท่านให้เถ้าแก่ก่อนหน้านี้ ได้กินช่วงนี้อร่อยมากขอรับ”
มองดูความมันบนปากของสือเยี่ยน เว่ยหานเอ่ยถามเสียงราบเรียบว่า “เจ้ากินแล้วหรือ”
สือเยี่ยนรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ตอบยากมาก รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย “อ๋อ… ลองชิมน่ะขอรับ… ท่านก็รู้ อาหารใหม่ต้องให้คนจำนวนหนึ่งลองชิมก่อน รู้ปัญหารสชาติแล้วถึงจะออกอาหารได้ มันคือความรับผิดชอบต่อลูกค้าขอรับ”
ปัญหาหรือ แน่นอนว่าอาหารที่อาซิ่วทำไม่มีปัญหา
แต่หากเขาไม่พูดเช่นนี้ เขาคงประสบปัญหาใหญ่แน่
เดือนสิบแล้ว ต้าไป๋ที่ถูกเลี้ยงจนอวบอ้วนควรให้เลือดแล้ว ถึงครานั้นเขาผู้เป็นคนเลี้ยงห่านคนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปยังไม่รู้
“อิงตามสูตรอาหารนั่นจริงๆ หรือ”
“ขอรับ เดิมทีอาซิ่วทำอาหารจานนี้ไม่เป็น”
ในดวงตาเว่ยหานปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นขอสองที่แล้วกัน”
เห็นทีของขวัญที่เขาให้คุณหนูลั่วได้ใช้ประโยชน์จริงๆ
เมื่อหม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมูถูกยกมาวางบนโต๊ะ เว่ยหานก็ตระหนักรู้ได้เรื่องหนึ่งว่า ให้สูตรอาหารเป็นของขวัญดีกว่าให้ดอกไม้มาก
ดอกพุดตานในครานั้นคุณหนูลั่วไม่ได้รับไว้ จากนั้นดอกเก๊กฮวยถูกรับไว้อย่างไม่เต็มใจนักและทำเป็นเนื้อคลุกดอกเก๊กฮวย
ส่วนสูตรอาหารนอกจากจะรับไว้ทันทีแล้วยังเปิดดูได้ตลอดเวลาด้วย
สือเยี่ยนยืนอยู่ข้างๆ เห็นเจ้านายยิ้มเซ่อก็กลอกตาเงียบๆ
นายท่านกำลังคิดอะไรอยู่นะ คงไม่ใช่คิดว่าให้สูตรอาหารเป็นของขวัญดีกว่าหรอกนะ
หึๆ เหตุใดไม่คิดบ้างว่าผู้ที่อ่านสูตรอาหารคืออาซิ่ว ไม่ใช่คุณหนูลั่วเสียหน่อย
เสนาบดีจ้าวได้กลิ่นเดินเข้ามา ทันทีที่เห็นทั้งสาม ดวงตาก็เบิกโต
วันนี้วันอะไร เหตุใดรัชทายาท ไคหยางอ๋อง และผิงหนานอ๋องซื่อจื่อถึงอยู่ด้วยกันเล่า
เอ่อ จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก รัชทายาทอยู่โต๊ะเดียวกันกับผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ ส่วนไคหยางอ๋องนั่งโต๊ะเดียวคนเดียว
แต่ไคหยางอ๋องหนึ่งคนกินสองหม้อ รัชทายาทและผิงหนานอ๋องซื่อจื่อสองคนกินหนึ่งหม้อ กำลังทรัพย์ต่างกันเกินไปหรือไม่
ตั้งแต่ที่กลายเป็นแขกประจำของมีหอสุรา เสนาบดีจ้าวผู้ดูแลกรมยุติธรรมก็มีไหวพริบในเรื่องของเงินทองมากเป็นพิเศษโดยไม่ต้องมีครูสอน
เสนาบดีจ้าวคารวะทั้งสามเสร็จแล้วก็หาโต๊ะว่างนั่งลง
เป็นเจ้ามือน่ะย่อมไม่มีผู้ใดเป็น พึ่งพาตนเองเถอะ
“วันนี้รับอะไรดีเจ้าคะ”
“มีอาหารใหม่ใช่หรือไม่” เสนาบดีจ้าวพูดพลางสายตาก็เหลือบไปมองทางเว่ยหาน
“มีหม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมู อาหารใหม่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นขอหม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมูหนึ่งที่” เสนาบดีจ้าวตอบทันที
แม้หม้อไฟลูกชิ้นปลาจะเหมาะกับคนอายุอย่างเขากิน แต่ในเมื่อมีอาหารใหม่ก็ต้องลองชิม
“ได้เลยเจ้าค่ะ” หงโต้วขานตอบเสียงใส หันหลังไปส่งรายการอาหาร
เสนาบดีจ้าวเหลือบเห็นเสนาบดีเฉียนที่กำลังเดินเข้ามาก็รีบพูดว่า “ช้าก่อน!”
หงโต้วหยุด เสนาบดีเฉียนก็ชะงักฝีเท้า
เสนาบดีจ้าวยิ้มเชื้อเชิญ “ท่านพี่เฉียน เรามาร่วมโต๊ะกันเถอะ”
เสนาบดีเฉียนเกือบจะโมโหจนเคราสั่น
เจ้าไก่ขี้งก พูดว่าเลี้ยงสักคำจะตายหรือไร
ทว่าเมื่อเหลือบเห็นหม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมูบนโต๊ะเว่ยหาน เสนาบดีเฉียนก็รีบตกลงทันที
กินร่วมโต๊ะจะได้กินได้หม้อไฟสองชนิด เหมือนกับคราวที่แล้วที่เขากินหม้อไฟลูกชิ้นปลาและเนื้อแพะกับตาแก่จ้าว
เสนาบดีจ้าวกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “เอาหม้อไฟลูกชิ้นปลาอีกหนึ่งที่”
แขกเริ่มดมกลิ่นทยอยเข้ามา
ทุกคนอดเหลือบมองสองสามทีไม่ได้
ไคหยางอ๋องหนึ่งคนกินสองหม้อ เสนาบดีจ้าวและเสนาบดีเฉียนสองคนกินสองหม้อ รัชทายาทและผิงหนานอ๋องซื่อจื่อกินหนึ่งหม้อ…
คงไม่ใช่เพราะรัชทายาทเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารในครานั้นทำให้สูญเสียครั้งใหญ่หรอกนะ
ภายใต้ความสนใจอย่างลับๆ ของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเว่ยเชียงหรือเว่ยเฟิง เมื่อเห็นหม้อไฟปลาตรงหน้าที่ใกล้จะหมดแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
เว่ยเฟิงขมวดคิ้วสั่งโค่วเอ๋อร์ “เอาหม้อไฟเนื้อหมูอีกหนึ่งที่และหม้อไฟเนื้อแพะอีกหนึ่งที่”
ลั่วเซิงยกมุมปากบางๆ ข้างโต๊ะเก็บเงิน
หม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมูรสเปรี้ยวและหม้อไฟเนื้อแพะรสเผ็ดเหมาะแก่การเพิ่มเครื่องปรุงมากกว่าหม้อไฟลูกชิ้นปลา
หวังว่าสองพี่น้องจะกินอย่างเอร็ดอร่อย
เมื่อคิดเช่นนี้ ลั่วเซิงอดกวาดมองร่างในชุดสีแดงเข้มข้างหน้าต่างไม่ได้
ลั่วเซิงเม้มปากยิ้ม
ต้องขอบคุณไคหยางอ๋องที่เจริญอาหาร เป็นผู้นำที่ดี
จู่ๆ คนผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง ชูจอกชาขึ้นเล็กน้อย
ลั่วเซิงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ยกจอกชาขึ้นดื่ม
โค่วเอ๋อร์เดินไปที่ครัวเพื่อส่งรายการอาหาร “อาซิ่ว โต๊ะขององค์ชายขอหม้อไฟเนื้อหมูและหม้อไฟเนื้อแพะอีกอย่างละหนึ่งที่”
อาซิ่วพยักหน้าส่งสัญญาณว่ารับรู้แล้ว สายตาของนางมองข้ามโค่วเอ๋อร์ หยุดอยู่ที่ลั่วเซิงที่ไม่รู้ยืนตรงประตูห้องครัวตั้งแต่เมื่อใด
“ตั้งใจทำดีๆ” ลั่วเซิงกล่าวอย่างสงบ หันหลังเดินออกไป
ซิ่วเย่ว์ครุ่นคิดคำพูดของลั่วเซิง
ตั้งใจทำดีๆ
คำนี้ท่านหญิงเคยพูดไปแล้วหนึ่งครั้ง แม้ครั้งนี้จะเหมือนกันทุกคำ แต่คำว่า ‘ดีๆ’ กลับถูกเน้นชัดกว่าเดิม
ซิ่วเย่ว์ดวงตาประกายเล็กน้อย คนน้ำแกงในหม้อที่กำลังเดือดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
หม้อไฟผักกาดดองเนื้อหมูและหม้อไฟเนื้อแพะรสเผ็ดถูกยกมาข้างหน้าเว่ยเชียงและเว่ยเฟิงอย่างรวดเร็ว
หม้อไฟทั้งสองหม้อมีรสจัด ย่อมต้องกินคู่กับสุรา
อาจจะเป็นเพราะอาหารอร่อยเกินไป อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในหอสุราดีเกินไป กาสุราข้างมือทั้งสองจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โต้วเหรินยืนอยู่ข้างหลังเว่ยเชียง มีหลายคราที่อยากห้ามปราม แต่คิดถึงความเบื่อหน่ายช่วงนี้ขององค์ชาย สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้
“องค์ชาย” จู่ๆ เว่ยเฟิงก็เอ่ยเรียก
เว่ยเชียงมองเขาด้วยสายตากรึ่มๆ
“เหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่ไปเยี่ยมเสด็จพ่อและเสด็จแม่เล่า”