ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 286 นึกถึง
ตอนที่ 286 นึกถึง
บางครั้งก็เป็นเช่นนี้
เว่ยเฟิงไม่พอใจในตัวเว่ยเชียงตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ หากว่าไม่ได้วิวาทจนแตกหัก ความไม่พอใจเหล่านี้ก็จะเหมือนตะไคร่น้ำที่เติบโตในมุมมืด ตุ่มสิวที่เติบโตในใจ ไม่อาจบอกให้ผู้ใดล่วงรู้ตลอดกาล
ไม่ว่าในใจจะปั่นป่วนเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนก็จะรักษาท่าทางพี่ปฏิบัติกับน้องดั่งเพื่อน น้องเคารพนับถือพี่เอาไว้ได้
แต่ตอนนี้ได้เปิดเผยให้ชัดเจน ด่าออกมาแล้ว เปลือกนอกที่แสร้งทำขึ้นมาก็ถูกทุบจนแตกละเอียด เหมือนกับกระเบื้องที่แตกเกลื่อนพื้น
รอยแผลเป็นนับไม่ถ้วน แต่ก็มีความรู้สึกสะใจอย่างน่าประหลาด
ใช่แล้ว เขาไม่พอใจในตัวเว่ยเชียงมานานแล้ว
ล้วนเป็นโอรสของเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ แต่พี่ใหญ่ได้ครอบครองสายตาของบิดามารดาทั้งหมดตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่ เกิดมาก็เป็นโอรสคนโปรดของสวรรค์ เจ้านายของจวนอ๋องในภายภาคหน้า
ส่วนเขาล่ะ ก็เป็นแค่คุณชายผู้สูงศักดิ์ที่มีกินมีใช้ไป ไร้เรื่องอะไรให้ต้องกังวลตลอดชีวิต ไม่ก่อเรื่องให้คนในครอบครัวก็ดีมากแล้ว
แบบนี้เขาก็ยอมรับแล้ว ใครให้เขาเกิดช้ากว่าหลายปีกัน
แต่สิ่งที่เขาไม่อาจทนเห็นได้มากที่สุดก็คือ เว่ยเชียงซึ่งได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว กลับมีสีหน้าและจิตใจที่เคียดแค้นต่อจวนผิงหนานอ๋อง ทว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่ที่ถูกผู้อื่นเมินเฉยใส่อย่างเห็นได้ชัด ดันเป็นฝ่ายเข้าไปพูดคุยก่อนด้วยอีก
เว่ยเชียงเป็นองค์รัชทายาทแล้วก็ยังคงครอบครองสายตาทั้งหมดของบิดามารดา
ล้วนพูดกันว่า ชีวิตคนเรามักจะมีสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่ใจปรารถนาแปดถึงเก้าส่วน แต่เว่ยเชียงนั้นตรงกันข้าม ชีวิตเป็นไปตามที่ปรารถนาแปดถึงเก้าส่วน ขาดไปแค่หนึ่งถึงสองส่วนนั่น ก็คือการตายของท่านหญิงชิงหยาง
แต่แค่เรื่องนี้ก็กลายเป็นเหตุผลให้เว่ยเชียงทรมานบิดามารดา ห่างเหินจากจวนผิงหนานอ๋อง
เขาไปเอาความหน้าใหญ่เช่นนี้มาจากไหนกัน!
หรือว่าในปีนั้น เสด็จพ่อเอาดาบพาดคอบีบบังคับให้เขาไปทำเช่นนั้นหรือ
เว่ยเฟิงยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่อยู่ในสภาพล่อแหลมนั้นอ่อนแอประหนึ่งใยแมงมุมมานานแล้ว ถูกดึงขาดจากการขัดแย้งกันวันนี้ในที่สุด
เขาไม่เคยตระหนักรู้ได้อย่างชัดเจนเหมือนในตอนนี้ว่า ความจริงแล้ว เขาโกรธเกลียดเว่ยเชียง
โกรธเกลียดที่อีกฝ่ายเกิดมามีทุกอย่างแล้วไม่ทะนุถนอม โกรธเกลียดที่อีกฝ่ายนึกว่าตัวเองบริสุทธิ์และมีคุณธรรมสูงส่ง แต่ในความเป็นจริงนั้นละโมบอย่างไร้ยางอาย
“ไสหัวไป!” เว่ยเฟิงยกเท้าถีบเสี่ยวอู้จื่อซึ่งอยู่ไม่ไกลจนหงายหลัง
เสี่ยวอู้จื่อล้มลงไปกลางเศษกระเบื้องที่เกลื่อนพื้น เผยให้เห็นความเดียวดายหลายส่วน
เว่ยเฟิงลุกขึ้น เตะเสี่ยวอู้จื่อติดต่อกันอีกหลายครั้ง เพื่อระบายโทสะภายในใจ
เทียบกับการระบายความอัดอั้นของเว่ยเฟิง เว่ยเชียงกลับข่มเพลิงโทสะไว้ในใจ เมื่อกลับไปถึงวังบูรพาอันเย็นยะเยือกก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ
เว่ยเฟิง เจ้าคนสารเลวนั่น เห็นได้ชัดว่าไม่เคยเคารพเขาซึ่งเป็นพี่ชายคนโตอย่างแท้จริง ถึงกับบีบบังคับถามเขาต่อหน้าฝูงชน ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย
หรือเจ้าโง่นั่นไม่รู้ว่า เขากับจวนผิงหนานอ๋องหนึ่งร่วงทุกคนล่ม หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง[1]หรือ
เว่ยเชียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วปาถ้วยชาลงบนพื้น พลางข่มโทสะถามว่า “ใครเป็นคนยกชามา!”
นางกำนัลรับใช้นางหนึ่งคุกเข่าลง “บ่าวเพคะ…”
“เจ้าจะลวกข้าให้ตายหรือ”
นางกำนัลรับใช้ก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม หมอบอยู่บนพื้นตัวสั่นระริก “บ่าวสมควรตาย องค์รัชทายาทโปรดอภัยโทษให้ด้วยเพคะ…”
เว่ยเชียงก้มหน้าจ้องนางกำนัลรับใช้ คลื่นอารมณ์โหดซัดสาดในก้นบึ้งนัยน์ตา
สตรีตรงหน้าหมอบคลานอยู่บนพื้นอย่างต่ำต้อย เผยให้เห็นลำคอขาวเนียนเรียวเล็ก ราวกับว่าสามารถหักได้ในทันที
มือของเว่ยเชียงขยับอย่างหลุดจากการควบคุมและพลันนึกถึงค่ำคืนนั้นขึ้นมา
เฉาฮวาก็มีลำคอที่ขาวเนียนและเรียวเล็กเช่นกัน เขาใช้แรงเพียงแค่เล็กน้อยก็แน่นิ่งไปแล้ว
ความสับสนปั่นป่วนแปลกประหลาดผุดขึ้นในใจเว่ยเชียง ดุจสัตว์ร้ายที่หลุดการควบคุม กู่ร้อง พุ่งออกจากกรงขัง
เว่ยเชียงคว้าตัวนางกำนัลรับใช้ขึ้นมาแล้วโยนนางขึ้นไปบนตั่ง
เนิ่นนานหลังจากนั้น เว่ยเชียงก็ฟื้นคืนสติสัมปชัญญะ พลางเอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวออกไป ระวังปากเจ้าเอาไว้ให้ดี”
นางกำนัลรับใช้รีบคลานลงจากเตียง จัดการอาภรณ์ที่ยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยแล้วถอยออกไป
คืนนั้นมืดสนิท เว่ยเชียงนั่งนิ่งอยู่นานแล้วถอนหายใจเสียงยาวออกมา
ทางจักรพรรดิหย่งอันก็ได้รับข่าวตั้งแต่ตอนแรกที่เว่ยเชียงกลับวังแล้ว
“องค์รัชทายาทกับผิงหนานอ๋องซื่อจื่อมีการกระทบกระทั่งกันในหอสุราหรือ”
โจวซานก้มหน้าตอบรับ “ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อตำหนิองค์รัชทายาทว่า ไม่ไปจวนผิงหนานอ๋องเพื่อเยี่ยมท่านอ๋องกับพระชายา องค์รัชทายาทโมโหจึงตบผิงหนานอ๋องซื่อจื่อไปครั้งหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหย่งอันตรัสเรียบๆ “เรารู้แล้ว ไปเชิญกุ้ยเฟยมา”
โจวซานค้อมกายถอยออกไป
จักรพรรดิหย่งอันหรี่ตา รู้สึกซับซ้อนในใจอยู่บ้าง
เขายินดีที่ได้เห็นองค์รัชทายาทกับจวนผิงหนานอ๋องห่างเหินกัน แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ของผิงหนานอ๋อง องค์รัชทายาทออกจากวังกลับไม่มีความคิดที่จะไปเยี่ยมก็มีความเป็นไปได้สองประการ หนึ่งคือเป็นกังวลว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ สองคือไม่ได้มีความรู้สึกต่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเท่าไรนัก
ไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ทำให้เขารู้สึกว่า องค์รัชทายาทมีจิตใจและนิสัยเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างเลี่ยงไม่ได้
สำหรับจวนผิงหนานอ๋อง…จักรพรรดิหย่งอันแววพระเนตรเย็นชาลง
เมื่อตัดสินใจว่าจะรับเว่ยเชียงซึ่งเดิมคือผิงหนานอ๋องซื่อจื่อเป็นพระโอรส เขาก็เรียกตัวตระกูลผิงหนานอ๋องมาที่เมืองหลวง ถือว่าเป็นการเฝ้าดูต่อหน้า
หลายปีมานี้ จวนผิงหนานอ๋องนับว่ารู้หน้าที่ แต่ตอนนี้ดูท่าจะมีความละโมบบ้างแล้ว
ทั้งอยากให้บุตรชายสืบทอดตำแหน่งบัลลังก์ ทั้งอยากให้บุตรชายเอาใจใส่ความรู้สึกในกาลก่อน จะมีเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ เป็นผลดีต่อทั้งคู่เสียที่ไหนกัน
จักรพรรดิหย่งอันนวดคลึงหว่างคิ้ว ถอนหายใจเบาๆ
หรือว่าเป็นเพราะตอนที่รับเว่ยเชียงมา เขาโตแล้ว ถูกจวนผิงหนานอ๋องเลี้ยงดูเสมือนผู้สืบทอดมาหลายปี จวนผิงหนานอ๋องจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดเช่นนั้น
หากว่าตอนนั้นรับเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ความคนหนึ่งมาเลี้ยง ก็อาจจะไม่มีเรื่องยุ่งยากเหล่านี้แล้ว
ทว่ามีบางเรื่องที่ต้องให้คนไปทำ ข้อดีของคำสัญญาก็คือจำเป็นต้องทำตาม ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ จึงไม่สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้ทั้งหมด
ทว่ากาลเวลาผ่านไป สถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่เหมือนเดิม
ใบมีดซึ่งแขวนอยู่เหนือศีรษะถูกย้ายจากไปแล้ว การก่อความวุ่นวายไม่หยุดหย่อนในพื้นที่ทางเหนือก็สงบลงแล้ว เขาไม่ใช่ฮ่องเต้ที่สูญเสียโอรสต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีและประสบกับศึกภายในและภายนอกในตอนที่เพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์อีกแล้ว
เขายังไม่ชราเกินไปและองค์รัชทายาทก็ใกล้จะสามสิบชันษาแล้ว…
ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ ภายในใจ
จักรพรรดิหย่งอันมีสีหน้าคาดเดาได้ยากยิ่งขึ้น
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเสด็จ…”
สตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่งเดินเข้ามาตามเสียงร้องบอกของขันที
เซียวกุ้ยเฟยในชุดกงจวง[2]หรูหรางดงาม เปล่งประกาย มองซ้ายมองขวา สายตาแวววาว ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา การมาถึงของนางทำให้ทั้งพระตำหนักคล้ายจะสว่างไสวขึ้นหลายส่วน
จักรพรรดิหย่งอันเห็นแล้วก็มีความสุข เผยรอยยิ้มจริงใจออกมา
รอยยิ้มนี้เลือนราง แต่สำหรับจักรพรรดิหย่งอันกลับไม่ง่ายนัก
เซียวกุ้ยเฟยยิ้มโดยไม่พูดอะไร “เหตุใดฝ่าบาทถึงได้เรียกตัวหม่อมฉันมากะทันหันหรือเพคะ”
“นั่งก่อนเถอะ” จักรพรรดิหย่งอันชี้ไปที่ข้างกาย
เดิมนั่นควรเป็นตำแหน่งที่นั่งของฮองเฮา แต่เซียวกุ้ยเฟยกลับนั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
และคนในตำหนักก็คุ้นชินจนเห็นเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว
ในวังไร้ฮองเฮา เซียวกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เดิมก็เป็นนายหญิงที่แท้จริง
ถึงขั้นที่ด้านนอกมีคำเล่าลือกันนานแล้วว่า ข้าราชบริพารผู้ขยันหมั่นเพียรก็ยังสู้ประโยคหนึ่งของเซียวกุ้ยเฟยไม่ได้
“เรียกสนมรักมาดื่มเป็นเพื่อนเราสองจอก”
เซียวกุ้ยเฟยยิ้ม “ทำไมฝ่าบาทไม่ตรัสแต่แรกเล่าเพคะ หม่อมฉันกินมาแล้ว”
“พูดเช่นนี้ สนมรักจะไม่ให้เกียรติเราหรือ”
เซียวกุ้ยเฟยแววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ยิ้มระรื่น พลางเอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาทต้องการร่ำสุรา หม่อมฉันย่อมยินดีที่จะอยู่เป็นเพื่อนแน่นอน”
ร่ำสุราไปจอกหนึ่ง จักรพรรดิหย่งอันก็เอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว สองวันก่อนสนมรักส่งคนออกจากวังไปใช่หรือไม่ ไปซื้ออาหารที่หอสุราที่บุตรีของลั่วฉือเปิดหรือ”
เซียวกุ้ยเฟยพยักหน้ายิ้มๆ “ให้คนออกไปซื้อไก่ขอทานมาตัวหนึ่ง บางครั้งหม่อมฉันก็คิดถึงรสชาตินั้นเพคะ”
จักรพรรดิหย่งอันถือจอกสุรา ตรัสยิ้มๆ “ไม่สู้ให้เราคุยกับลั่วฉือว่า ให้เขาส่งแม่ครัวคนนั้นเข้ามาในวัง”
[1] หนึ่งร่วงทุกคนล่ม หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง หมายถึง เมื่อคนหนึ่งโดนทำลายจนพ่ายแพ้ คนอื่นก็พ่ายแพ้ตามไปด้วย เมื่อคนหนึ่งเจริญขึ้น คนอื่นก็เจริญตามไปด้วยเช่นกัน
[2] ชุดกงจวง หรือ ชุดฝ่ายใน เป็นชุดสำหรับพระสนมเอก หรือองค์หญิงที่ไม่เป็นทางการ ลักษณะเป็นชุดยาวลงมา ไม่แยกเสื้อกับกระโปรง คอเสื้อกลม มีกรองคอ กระโปรงทำเป็นริ้วสามชั้น ด้านหน้ามีชายขนาดใหญ่สามชั้นเช่นกัน ตัวชุดและแขนเสื้อหลวม ไม่รัดตัว ปักลวดลายหงส์หรือดอกไม้