ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 303 คำพูดที่ชัดเจน
ตอนที่ 303 คำพูดที่ชัดเจน
ลั่วเซิงก้มหน้าลง ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
แม่ทัพใหญ่ลั่วกลัวว่าบุตรสาวจะทำนิสัยเกเรอีกจึงพูดด้วยความร้อนใจว่า “เซิงเอ๋อร์ เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่”
ลั่วเซิงเงยหน้าขึ้น มองชายวัยกลางคนที่ราวกับแก่ขึ้นมากเพียงชั่วข้ามคืนผ่านลูกกรง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “แล้วคนอื่นๆ เล่า พี่ใหญ่ พี่รอง น้องสี่ ยังมีน้องชายและเหล่าอี๋เหนียงอีก”
ก้นบึ้งนัยน์ตาของแม่ทัพใหญ่ลั่วซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ แต่สีหน้ากลับนิ่งเฉย “หากมีจุดจบเป็นการยึดทรัพย์สังหารล้างตระกูลจริงๆ ไคหยางอ๋องคงคุ้มครองคนจำนวนมากเพียงนี้ไม่ได้ เซิงเอ๋อร์จำไว้ว่าอย่าทำให้ผู้อื่นต้องลำบากใจ”
หากเป็นไปได้ เขาย่อมอยากปกป้องทุกคนเอาไว้ แต่เรื่องดีเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
เขามองออกว่า ไคหยางอ๋องปฏิบัติต่อเซิงเอ๋อร์อย่างแตกต่าง หากเกิดเภทภัยใดจริงๆ จะต้องคุ้มครองเซิงเอ๋อร์ได้แน่
ส่วนคนอื่นๆ นั้น เขาไม่หวังเกินตัว
“เจ้าค่ะ ข้าจะเชื่อท่านพ่อเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยเร่งว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบกลับไปเถอะ คุกไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าควรมา”
“ข้าเองก็มีสองเรื่องที่อยากถามท่านพ่อ หวังว่าท่านพ่ออย่าได้ปิดบัง”
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าพูดมาสิ”
“ยังคงเป็นคำถามนั้น ท่านไม่ได้ปล่อยตัวองครักษ์ที่พาบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องไปโดยพลการจริงๆ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แม้นางจะเดาว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่ก็ต้องการคำพูดที่ชัดเจน เพื่อดูว่าแท้จริงแล้วเป็นข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จล้วนๆ หรือว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วถูกผู้ที่มีเจตนาร้ายพบเห็นเข้าตอนที่เขาปล่อยตัวคน
หากเป็นข้อกล่าวหาเท็จ เช่นนั้นก็ต้องสืบหาสาเหตุให้ชัดเจนว่าเหตุใดองครักษ์จวนเจิ้นหนานอ๋องจึงกัดแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ยอมปล่อยแล้วค่อยหาทางจัดการ
แต่หากตอนนั้นแม่ทัพใหญ่ลั่วปล่อยตัวองครักษ์ไปจริงๆ ก็ต้องจัดการกับปัญหาพยานผู้เห็นเหตุการณ์
สถานการณ์สองอย่าง วิธีการรับมือก็แตกต่างกัน
“ไม่ใช่แน่นอน ย้อนกลับไปปีนั้น พ่อได้รับราชโองการให้ล้อมจับขุนนางกบฏ เหตุใดจึงต้องรนหาที่ตายให้ตัวเองด้วยเล่า”
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกับยุง “ท่านคิดว่าฝ่าบาทเป็นคนแบบไหนหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วตกใจกับคำถาม
ลั่วเซิงใบหน้านิ่งสงบ “นี่คือเรื่องที่สองที่ลูกอยากรู้เจ้าค่ะ”
ครั้งนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วนิ่งเงียบไปนานจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท…เป็นคนขี้สงสัย”
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว
ขี้สงสัยงั้นหรือ?
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบกลับไปเถอะ จากนี้อย่ามาที่นี่อีก จำคำพูดเมื่อครู่ของพ่อเอาไว้นะ”
ลั่วเซิงส่ายหน้าและเอ่ยจริงจังว่า “ข้าจะมาส่งข้าวให้ท่านพ่ออีก”
“ไม่ต้อง ครั้งนี้เจ้าสามารถเข้ามาได้เป็นเพราะเสนาบดีจ้าวเมตตา ครั้งหน้าคงไม่มีอีกแล้ว”
ความเมตตาย่อมถูกใช้จนหมดได้เสมอ แม้ว่าเขาและเสนาบดีจ้าวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เขาก็ไม่อาจคิดอย่างใสซื่อว่าอีกฝ่ายจะคอยช่วยเหลือในสถานการณ์เช่นนี้ไปตลอด
ลั่วเซิงพูดอย่างนิ่งสงบว่า “หากไม่สามารถพบหน้าท่านพ่อได้ ข้าจะขอร้องให้พัศดีช่วยส่งข้าวมาให้ท่านในนี้”
“เจ้าเด็กนี่…” แม่ทัพใหญ่ลั่วอ้าปาก แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
การพบหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้พัศดีนำอาหารเข้ามาส่งให้ ถือว่าเสวยสุขจากความกตัญญูของบุตรสาวเถอะ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
“กลับไปเถอะ”
ลั่วเซิงย่อเข่าลงและหันไปทางหลินเถิง
เมื่อเห็นลั่วเซิงเดินเข้ามาใกล้ หลินเถิงก็รู้สึกหัวใจหดเกร็งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “คุณหนูลั่วคุยเสร็จแล้วหรือ”
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคุณหนูลั่วตามข้าออกไปเถอะ”
สองมือของแม่ทัพใหญ่ลั่วเกาะลูกกรงเอาไว้ ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่นานสองนานจึงค่อยๆ นั่งลงไปเช่นเดิม
แสงด้านในคุกช่างมืดมิด เต็มไปด้วยกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์
หนูตัวหนึ่งลอดออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ แต่กลับหยุดลงตรงหน้าของแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างไม่เกรงกลัว
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองเจ้าหนูที่ตัวอ้วนเป็นพิเศษด้วยใบหน้าเฉยเมย
คนที่ถูกขังไว้ด้านใน มีทั้งผู้ที่จิตใจกระสับกระส่าย มีทั้งผู้ที่หมดหวัง ใครจะมีจิตใจหรือเรี่ยวแรงมาต่อกรกับหนูตัวหนึ่งกัน
เห็นได้ชัดว่าความกล้าหาญของมันถูกพัฒนาขึ้นด้วยเหตุนี้เอง มันเก็บเศษอาหารบนพื้นและกินอย่างช้าๆ
ไม่นานเพื่อนฝูงก็เข้ามาร่วมวงด้วย
เมื่อเทียบกับนักโทษคนอื่นแล้ว อาหารของแม่ทัพใหญ่ลั่วยังถือว่าไม่เลวมากนัก ค่อนข้างได้รับความชื่นชอบจากเจ้าพวกนี้
ถึงขนาดที่มีหนูตัวหนึ่งกินจนลืมตัว ใช้ปลายจมูกถูไถขากางเกงของแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างได้ใจ
แม่ทัพใหญ่ลั่วยื่นมือออกไปอย่างสงบแล้วดีดเข้าที่หัวของเจ้าหนู
เจ้าหนูพลิกตัวลุกขึ้นมา ส่งเสียงประท้วงแม่ทัพใหญ่ลั่วสองครั้งแล้วกินอาหารต่อโดยไม่หนีไปไหน
เมื่อเดินออกจากคุกก็สว่างสดใสขึ้นทันตา
ลั่วเซิงหรี่ตา ไม่อาจปรับสายตาให้เข้ากับแสงได้ทันที
หลินเถิงแอบเปลี่ยนทิศทางอย่างเงียบๆ
ลั่วเซิงมองชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ พลางบังแสงให้นางอย่างเงียบๆ อดโค้งริมฝีปากขึ้นไม่ได้
หลานชายคนโตโชคดีที่มีพี่ชายเช่นหลินเถิง
หลินเถิงเดินมาส่งลั่วเซิงจนถึงด้านนอกศาลาว่าการ
“คุณชายใหญ่หลิน”
หลินเถิงชะงักฝีเท้าลง “คุณหนูลั่วมีอะไรงั้นหรือ”
“พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก”
หลินเถิงแทบคงใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังเอาไว้ไม่อยู่
ท่านพ่อถูกจับเข้าคุก ไม่แปลกที่บุตรสาวอยากเข้ามาเยี่ยมเพราะความเป็นห่วง แต่คุณหนูลั่วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย…
ทว่า เพราะความตรงไปตรงมาเช่นนี้จึงได้เป็นคุณหนูลั่วสินะ
หลินเถิงอดนึกถึงเรื่องครั้งนั้นที่ลั่วเซิงมาเป็นแขกที่บ้านไม่ได้
ตอนนั้นเขาเตรียมใจจะเสียสละแทนลูกพี่ลูกน้องของตนแล้ว ไม่คิดว่าคุณหนูลั่วนั้นจะไม่ได้เลวร้ายเหมือนดังข่าวลือ
“หากพรุ่งนี้คุณหนูลั่วมาอีก อาจไม่ได้เจอแม่ทัพใหญ่”
“ข้าไม่ทางทำให้ใต้เท้าเสนาบดีต้องลำบากใจแน่ เพียงแต่คุณชายใหญ่หลินช่วยบอกพัศดีให้ช่วยข้าส่งอาหารไปให้ท่านพ่อด้านในได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องนี้ได้แน่นอน”
ลั่วเซิงยิ้มหวาน “ขอบคุณคุณชายใหญ่หลิน ต่อไปหากมีหอสุรายังเปิดทำการต่อไปได้ ข้าจะเชิญคุณชายใหญ่หลินมาดื่มสุรา”
เมื่อมองเด็กสาวที่มีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า หลินเถิงก็พยักหน้าด้วยความจริงจัง “รอให้เสร็จงานยุ่งช่วงนี้ก่อน ข้าจะไปแน่นอน”
คดีของแม่ทัพใหญ่ลั่วพิพากษาโดยกรมตุลาการสามแห่ง ในฐานะขุนนางเล็กๆ ของกรมยุติธรรมจึงไม่ได้ไปที่หอสุราเพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย
“คุณหนูสาม ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา
ลั่วเซิงเอียงศีรษะ มองไปยังผิงลี่ที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยความเย็นชาและถามเสียงเรียบว่า “พี่ใหญ่มาได้อย่างไร”
“ข้ามาสอบถามสถานการณ์พ่อบุญธรรมสักหน่อย…” เมื่อเห็นหลินเถิงอยู่ข้างๆ ด้วย ผิงลี่จึงขมวดคิ้ว “คุณหนูสาม ตอนนี้กำลังยุ่งวุ่นวาย เจ้าอย่าได้วิ่งวุ่นไปทั่ว สงบใจพักอยู่ในจวนเถอะ”
“ข้ามาเยี่ยมท่านพ่อ เหตุใดพอออกมาจากปากพี่บุญธรรมจึงกลายเป็นว่าข้าวิ่งวุ่นไปทั่วเล่า”
“เช่นนั้นเจ้าได้พบพ่อบุญธรรมแล้วหรือ” ผิงลี่ย้อนถาม
ในใจของเขา สาวน้อยคนหนึ่งไม่รู้ความ เอาแต่สร้างเรื่องคนหนึ่ง ไม่มีทางได้พบแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างแน่นอน
เมื่อก่อนน้องสาวบุญธรรมของเขาคนนี้ประพฤติตัวเกเร เพียงเพราะนางมีสถานะเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ แต่ตอนนี้สถานะนี้ไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว
ลั่วเซิงมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยออกมาเพียงสองคำว่า “เดาสิ”
ผิงลี่ตกใจ เขายังไม่ทันได้ตอบสนอง เด็กสาวก็สาวเท้าเดินออกไปไกลแล้ว
สายตาของผิงลี่มองตามเงาด้านหลังของนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่หลินเถิง
หลินเถิงประสานมือกล่าวทักทายและหันกายเดินเข้าไปในศาลาว่าการ
“ใต้เท้าหลิน โปรดรั้งอยู่ก่อน”
“ใต้เท้าผิงมีเรื่องอะไรหรือไม่”
“ใต้เท้าหลินช่วยอำนวยความสะดวกให้ข้าได้พบกับแม่ทัพใหญ่ได้หรือไม่”
หลินเถิงขมวดคิ้ว พูดเสียงเรียบว่า “ขออภัย เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่สะดวก”
สีหน้าของผิงลี่เผยแววผิดหวัง
หลินเถิงยกเท้าเดินเข้าไปในศาลาว่าการ
ผิงลี่ยืนอยู่หน้าศาลาว่าการครู่หนึ่ง ขณะที่หันกายกลับมาความผิดหวังบนใบหน้าก็เลือนหายไปอย่างเงียบๆ