ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 309 ถอนหมั้น
ตอนที่ 309 ถอนหมั้น
ค่ำคืนค่อยๆ มืดลง จวนไคหยางอ๋องที่กว้างใหญ่ราวกับกำลังจมสู่ห้วงนิทราที่เงียบสงัด
ในห้องหนังสือแห่งหนึ่งยังมีโคมไฟดวงหนึ่งส่องสว่างอย่างเดียวดาย แสงสลัวที่สะท้อนจากด้านในสู่ภายนอกกลายเป็นสีอบอุ่นที่หาได้ยากในคืนฤดูหนาวนี้
เว่ยหานสวมชุดสีขาวหิมะอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ภายใต้แสงไฟ เสื้อสีขาวหิมะกับผมสีดำเข้ม ดูแล้วเย็นชากว่าตอนกลางวันอยู่มาก
ก๊อกๆๆ
ด้านนอกห้องหนังสือมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา”
ชายหนุ่มคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา คารวะแล้วพูดว่า “นายท่าน มีข่าวแพร่มาจากจวนลั่ว บอกว่าอาหารเย็นของแม่ทัพใหญ่ลั่วมียาพิษขอรับ”
เว่ยหานวางม้วนหนังสือลงอย่างลวกๆ แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เล่ารายละเอียดมาซิ”
“เล่ากันว่าในน้ำแกงที่คุณหนูลั่วนำไปส่งเป็นอาหารค่ำถูกหนูพลิกชามเพื่อแย่งอาหาร ปรากฏว่าหนูเหล่านั้นล้วนถูกพิษจนตาย…”
“งั้นหรือ” ในแววตาส่วนลึกของเว่ยหานราวกับมีแสงบางอย่างเปล่งประกาย น้ำเสียงอ่อนโยน “เสนาบดีจ้าวเข้าวังไปทูลต่อฝ่าบาทแล้วหรือ”
ชายหนุ่มตอบรับ
เว่ยหานยิ้มมุมปาก น้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น “ออกไปเถอะ”
ชายหนุ่มโน้มกายคารวะแล้วออกไป
เมื่อประตูห้องปิดลงเบาๆ ลมหนาวที่ชายหนุ่มพาเข้ามาก็พัดหายไป ในห้องพลันอบอุ่นเช่นเคย
แสงเทียนสั่นไหว แสงจากโคมไฟดวงนั้นก็ดูเหมือนจะสว่างยิ่งขึ้น ยิ่งส่องสะท้อนใบหน้าของชายหนุ่มให้ชัดเจน
ในส่วนลึกของดวงตาซ่อนรอยยิ้มลึกล้ำเอาไว้ สิ่งที่ปรากฏในหัวของเขาคือเงาร่างในชุดสีเรียบในโถงใหญ่ของหอสุราซึ่งมีกลิ่นสุราลอยตลบอบอวล
นั่นคือสตรีที่เขาคุ้นเคยกระทั่งหลับตาและฟังเพียงเสียงฝีเท้าก็สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นนางผู้นั้น
นางบอกว่าจะหาเวลามาเพิ่มให้ได้แล้วนางก็ทำได้จริงๆ
เว่ยหานยิ้มเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ กลับไม่เข้าใจว่าความรู้สึกภูมิใจนี่มาได้อย่างไรกัน
น้ำตาเทียนกองอยู่เต็มเชิงเทียน ค่ำคืนดึกสงัดขึ้นกว่าเดิม
เขาลุกขึ้นเป่าแสงเทียนอ่อนจางแล้วนอนลงบนตั่งเตี้ยในห้องหนังสือ ความคิดที่เกิดจากการนอนพลิกตัวกลับไปกลับมายิ่งร้อนรุ่มขึ้น ‘พรุ่งนี้ต้องรีบไปกินข้าวที่มีหอสุราเสียแล้ว’
ท่ามกลางจวนลั่วที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด มีคนกำลังรอลั่วเซิงอยู่เช่นกัน
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้” ลั่วเซิงมองเด็กหนุ่มที่รออยู่บนขั้นบันได นางถามพร้อมยิ้มน้อยๆ
ลั่วเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “วันนี้ท่านมาช้ากว่าปกติ เกิดเรื่องอะไรที่ศาลาว่าการงั้นหรือ”
เหตุผลที่เขาลังเล เพราะตอนนี้สถานการณ์ย่ำแย่มากพอแล้วจึงไม่อยากฟังเรื่องที่แย่ไปกว่านี้อีก
แต่กระทั่งเด็กสาวอย่างลั่วเซิงยังเผชิญหน้าอย่างไม่เกรงกลัวแล้วเขาจะหลีกหนีไปได้อย่างไร
เขาไม่ได้เป็นเพียงน้องชายของลั่วเซิง แต่ยังเป็นนายน้อยของจวนลั่วอีกด้วย
“เดินไปพูดไปดีกว่า”
ลั่วเซิงเดินตรงไปข้างหน้า ลั่วเฉินเดินอยู่ข้างกายนางอย่างเงียบๆ
“อาหารที่ไปส่งให้ท่านพ่อ ถูกคนวางยา”
ลั่วเฉินชะงักฝีเท้า แววตาเคร่งขรึมเล็กน้อย “ท่านพ่อไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร น้ำแกงที่มีพิษถูกหนูพลิกชามจนคว่ำพอดีเลยถูกหนูกินเข้าไป”
“เอ่อ” ลั่วเฉินขมวดคิ้วเดินไปด้านหน้า เดินสองสามก้าวแล้วถามเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ท่านพ่อน่าจะยังไม่ถูกกำหนดโทษใช่หรือไม่”
ลั่วเซิงเหลือบมองเขา
เด็กหนุ่มอายุสิบสาม ใบหน้ายังคงอ่อนเยาว์อยู่มาก แต่แววตากลับล้ำลึกและเปล่งประกาย
ลั่วเซิงยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบา “ถูกต้อง เหล่าใต้เท้าต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน”
ลั่วเฉินเดินอย่างเอื่อยเฉื่อย เมื่อใกล้ถึงทางแยกเขาก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เหล่าใต้เท้าจะสืบได้จริงหรือ”
คนที่วางยา…
เขามองเด็กสาวข้างกายอย่างลึกล้ำผาดหนึ่ง ในใจบังเกิดความวุ่นวายใจที่ไม่อาจอธิบายได้ขึ้น
คนอื่นไม่สงสัยในตัวของลั่วเซิง แต่เขาสงสัย
ลั่วเซิงทำสิ่งที่คาดไม่ถึงได้มากเกินไป
ท่ามกลางสีราตรี อารมณ์ของเด็กสาวสุขุม น้ำเสียงราบเรียบ “อาจจะได้หรืออาจจะไม่ได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเหล่านี้”
สิ่งนางต้องการคือการถ่วงเวลาออกไป ส่วนความจริงจะถูกเปิดเผยหรือไม่ นางกลับไม่สนใจ
นางคือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของแม่ทัพใหญ่ลั่ว มีชื่อเสียงเรื่องกำเริบเสิบสานในเมืองหลวงเพราะอาศัยว่ามีบิดาดี ต่อให้หลินเถิงจะสงสัยในตัวนาง แต่ก็ไม่อาจจับนางเข้าคุกได้โดยไม่มีหลักฐาน
ขอเพียงคนของไคหยางอ๋องช่วยพาภรรยาและลูกขององครักษ์ผู้นั้นมาส่งถึงเมืองหลวงและสามารถล้างความผิดของแม่ทัพใหญ่ลั่วได้ จากนี้นางก็จะยังเป็นคุณหนูลั่วที่นิสัยกำเริบเสิบสานเช่นเดิม
หากแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่อาจล้างข้อกล่าวหาได้ นางกระทำการมากขึ้นหรือน้อยลงเรื่องหนึ่งแล้วจะแตกต่างอย่างไร
เมื่อถึงทางแยก ลั่วเซิงก็หยุดเดิน “ข้ากลับเรือนเสียนอวิ๋นย่วนก่อนล่ะ เจ้าก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่อมองเด็กหนุ่มที่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเขา “คิดมากไปจะไม่สูงเอานะ”
ลั่วเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “กลุ้มใจไร้สาระอะไร ท่านพ่อสูงเพียงนั้น ข้าคงไม่เตี้ยหรอก”
ลั่วเซิงจ้องมองเด็กหนุ่ม ถอนหายใจและหันหลังกลับไป
ลั่วเฉินรู้สึกแปลกพิลึกและยิ่งกว่านั้นคือรู้สึกประหลาดใจ เขาทำหน้าบึ้งแล้วกลับไปยังที่พัก
เช้าวันถัดมา ลั่วเซิงจึงไปสอบถามสถานการณ์ที่ศาลาว่าการกรมยุติธรรม
“ใต้เท้าเสนาบดี คุณหนูลั่วมาขอรับ”
เสนาบดีจ้าวลังเลเล็กน้อยจึงค่อยส่งสัญญาณให้พาคนเข้ามา
เมื่อเห็นเด็กสาวเดินเข้ามามือเปล่า เสนาบดีจ้าวก็รู้สึกผิดหวังในทันทีแต่เพียงไม่นานก็รีบแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ด้วยความมีเหตุผล
เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่อง คุณหนูลั่วคงไม่กล้าเอาอาหารมาฝากเขาแน่นอน
“ใต้เท้าเสนาบดี ไม่ทราบว่าท่านพ่อของข้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ สืบพบผู้ที่ทำร้ายท่านแล้วหรือไม่”
“ยังสืบไม่ได้”
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวกำลังจะร้องไห้ เสนาบดีจ้าวจึงรีบพูดว่า “ต้องรอบคอบหน่อยสิ! เรื่องแบบนี้ไม่สามารถสืบหาได้ในเวลาสั้นๆ พวกเราต้องแสดงรับผิดชอบต่อฝ่าบาทและแม่ทัพใหญ่ คุณหนูลั่วคิดว่าจริงหรือไม่”
ลั่วเซิงพยักหน้า “ใต้เท้าเสนาบดีพูดถูกต้องแล้ว ต้องรอบคอบอย่างมาก เช่นนั้นข้าไม่รบกวนการสืบคดีของท่านแล้ว หากมีความคืบหน้ารบกวนท่านส่งคนไปบอกข้าที่จวนลั่วหรือมีหอสุราด้วยนะเจ้าคะ”
เมื่อเสนาบดีจ้าวพยักหน้า ลั่วเซิงก็ออกจากศาลาว่าการไปที่หอสุรา
ท่ามกลางหอสุราที่เงียบเหงา
ผู้ดูแลหญิงพลิกสมุดบัญชีไปมา สีหน้าเศร้าสร้อย
เสี่ยวชีที่บาดแผลหายดีแล้วยังคงไปเรียนเช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนเป็นอีกแห่ง
ชายมีหนวดและชายร่างกำยำนั่งโยนลูกเต๋าอยู่ที่เชิงกำแพง
ลั่วเซิงก้าวเท้าเข้าไปในลาน
ทั้งสองเห็นลั่วเซิงเดินเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นซ่อนลูกเต๋า หัวเราะแหะๆ กล่าวทักทาย “เถ้าแก่”
“พวกเจ้าได้ข่าวของตระกูลข้าแล้วหรือไม่”
ทั้งสองครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“หากท่านพ่อถูกกำหนดโทษก็อาจพัวพันไปถึงหอสุรา แม้ว่าตอนนี้จะยังคงสงบสุข แต่ทั้งสองไม่ลองหาทางออกอื่นดู…”
“เถ้าแก่พูดอะไรกัน!” ชายมีหนวดเอ่ยหน้าเครียด “ข้าเป็นคนที่มีท่านอาแล้ว ท่านอาอยู่ที่ไหนข้าก็อยู่ที่นั่น พี่ลู่เองก็คงไม่ต่างไปจากข้า”
ชายร่างกำยำพยักหน้าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกต้อง น้องตู้พูดอย่างที่ข้าคิดเลย เถ้าแก่อย่าไล่พวกเราไปเลยนะ”
“ขอเพียงพวกเจ้าไม่เสียใจก็พอแล้ว” เมื่อเห็นว่าพวกเขาพูดเช่นนี้ ลั่วเซิงก็ไม่ฝืนใจ เมื่อหันกลับมาก็พบผู้ดูแลหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตู
ผู้ดูแลหญิงเม้มปากยิ้ม “พวกเราคือผู้ดูแล หากเถ้าแก่เปิดร้านขายชาดทาแก้ม พวกเราก็เป็นผู้ดูแลขายชาดทาแก้ม หากเปลี่ยนให้เถ้าแก่เปิดหอสุรา พวกเราก็คือผู้ดูแลของหอสุรา ตราบใดที่ยังเปิดร้านอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ เถ้าแก่ดูแลเรื่องในตระกูลให้ดี ไม่ต้องเป็นกังวลแทนข้า”
ลั่วเซิงยิ้ม “เช่นนั้นพวกเราก็เปิดหอสุราให้ดี ให้เป็นร้านโด่งดังเก่าแก่”
พวกผู้ดูแลหญิงทั้งสามคนต่างพากันหัวเราะ
ขณะนั้นเองก็มีคนจากจวนลั่วรีบมารายงานข่าว “คุณหนู คุณชายเรียกให้ท่านกลับไป ตระกูลเถาส่งคนมาถอนหมั้นคุณหนูใหญ่ขอรับ!”