ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 32 บุคคลที่สาม
ตอนที่ 32 บุคคลที่สาม
ลั่วเซิงไม่ละสายตาจากคนที่กำลังใกล้เข้ามา ดูจากรูปร่างบุคคลนั้นเป็นสตรีผู้หนึ่ง
ใครจะปรากฏตัวในค่ำคืนอันเงียบสงัดในบ้านร้างที่ถูกทิ้งร้างมานานเช่นนี้ได้
ลั่วเซิงกำกริชในมือแน่นขึ้น
สิ่งที่ยิ่งทำให้นางตื่นตระหนกก็คือ คนผู้นั้นมุ่งตรงมาที่นาง
หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…
คนผู้นั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือแล้ว ทำให้ลั่วเซิงจำเป็นต้องชูกริชในมือขึ้น เตรียมพร้อมกวัดแกว่งกริชที่เฉียบคมนี้ทุกเมื่อ
เมื่อตอนนางเป็นท่านหญิงชิงหยางเคยเรียนวิชาหมัดมวยและขี่ม้ายิงธนู นี่เป็นความต้องการของเสด็จพ่อของนาง
เสด็จพ่อกล่าวไว้ว่า เรียนศิลปะป้องกันตัวไว้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย อย่างน้อยต่อไปอยากตีสามีก็พึ่งตัวเอง ไม่ต้องไปลำบากผู้อื่น
นางเชื่อฟังมาตลอด เรียนวิชาหมัดมวยขี่ม้ายิงธนูได้ดีทั้งหมด
ส่วนคุณหนูลั่วก็เคยเรียนวิทยายุทธ์มา ไม่ว่าระดับจะสูงต่ำเพียงใด แต่แค่รูปร่างเพียงอย่างเดียวก็แข็งแกร่งกว่านางมาก
ลองนึกดูก็ไม่แปลก สตรีที่สั่งให้คนไปก่อเรื่องในตลาดอย่างน้อยก็ควรเหวี่ยงแส้เป็น
ลั่วเซิงรู้สึกว่ากริชนี้ไม่ปลอดภัยนัก พิจารณาดูว่าวันนี้ไม่ได้นำแส้ยาวเส้นนั้นของคุณหนูลั่วมาด้วยก็ก้มตัวลงเก็บก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมา
คนผู้นั้นหยุดห่างจากลั่วเซิงกว่าหนึ่งจั้งแล้วคุกเข่าลงทันที
ลั่วเซิงหรี่ตาลง
หากว่านางไม่ได้มองผิด ทิศทางที่คนผู้นั้นกำลังหันหน้าให้คือ…หอปักผ้า
คนผู้นั้นโขกศีรษะไปยังทิศทางของหอปักผ้าหลายที จากนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นซึ่งดังชัดเจนเป็นพิเศษในจวนร้างที่ว่างเปล่าและทรุดโทรมแห่งนี้
ลั่วเซิงอาศัยแสงจันทราจึงพอจะมองเห็นว่าคนผู้นั้นแกะห่อผ้าออก แต่กลับมองไม่เห็นว่าหยิบสิ่งใดออกมา
จวบจนกลิ่นที่คุ้นเคยลอยมา
มันคือกลิ่นเผากระดาษที่นางเพิ่งได้กลิ่นมาเมื่อไม่นานมานี้ กลิ่นจางๆ ที่ทำให้คนรู้สึกจิตใจหนักอึ้งได้โดยง่าย
กว่าลั่วเซิงจะรู้ว่าคนผู้นั้นทำอะไร ทันใดนั้นเสียงสะอื้นที่อัดอั้นก็ดังขึ้นมา
ลั่วเซิงกลั้นลมหายใจชั่วขณะ
วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของคนหลายร้อยคนในจวนเจิ้นหนานอ๋อง การมาเผากระดาษเงินกระดาษทองที่จวนอ๋องในเวลานี้ นางแน่ใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้มีความเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องอย่างมาก หรือกระทั่งอาจเป็นผู้รอดชีวิต!
นึกถึงความเป็นไปได้นี้ ลั่วเซิงไม่มีทางไม่ตื่นเต้น
เสียงร้องไห้ครวญครางเบาๆ ลอยตามลมมา ยังมีกระดาษเงินกระดาษทองที่หมุนวนลอยมาตามสายลม
ผีเสื้อสีเทาแสนซนตกลงบนเสื้อสีหมึกของลั่วเซิง แต่กลับไม่สามารถดึงดูดความสนใจของนางได้
นางพุ่งความสนใจไปยังหญิงสาวที่ร้องไห้อยู่ตรงหน้า
“ท่านหญิง บ่าวมาเยี่ยมท่านแล้วเจ้าค่ะ…”
ลั่วเซิ่งราวกับโดนฟ้าผ่า ไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
เสียงนี้…คือซิ่วเย่ว์!
นางมีสาวใช้สี่คน ตอนแต่งงานได้พาซูเฟิงที่เก่งเรื่องการจัดการและเฉาฮวาที่เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้าแต่งตัวไปด้วย โดยให้เจี้ยงเสวี่ยที่มีฝีมือโดดเด่นกว่าใครและซิ่วเย่ว์ที่มีฝีมือการทำอาหารอยู่รับใช้เสด็จแม่แทนนาง
คืนนี้ในสิบสองปีที่แล้ว เว่ยเชียงเปิดผ้าคลุมผ้าเจ้าสาวของนางออกแล้วไปลานกว้างเพื่อดื่มสุราคารวะ นางนั่งลงข้างเตียงนอนเงียบๆ รอเจ้าบ่าวกลับมา
เทียนมงคลเฟิ่งหวงที่หนาเท่าแขนเด็กน้อยกำลังลุกโชนด้วยความสุข เปลวแสงเทียนของเทียนเฉลิมฉลองระเบิดเป็นครั้งคราว
แต่ที่นางรออยู่ไม่ใช่เว่ยเชียง แต่เป็นเจี้ยงเสวี่ยที่เลือดอาบไปทั้งร่าง
เจี้ยงเสวี่ยที่เติบโตมากับนางตั้งแต่ยังเด็ก ได้รับการยกย่องจากอาจารย์สอนหมัดมวยว่ามีความสามารถโดดเด่นบุกเข้ามาในห้องหอและยืนอยู่ตรงหน้านาง ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายบอกข่าวร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋องแก่นาง
หลังจากลั่วเซิงตื่นขึ้นมาที่จินซาความทรงจำมากมายในหนึ่งวันนอกจากเศร้าโศกแล้วก็ยังรู้สึกโชคดี
นางรู้สึกซาบซึ้งเจี้ยงเสวี่ย
หากไม่มีเจี้ยงเสวี่ยที่สู้ตายมาบอกข่าว นางก็จะเหมือนกับคู่บ่าวสาวคู่อื่นเข้าห้องหอกับสามี กลายเป็นคนโง่ที่ไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปจนตาย
เจี้ยงเสวี่ยที่แจ้งข่าวตายแล้ว ซูเฟิงกับเฉาฮวาที่มาด้วยกันตอนแต่งเข้าจวนอ๋องผิงหนานก็ไม่น่าจะยังมีชีวิตอยู่ คิดไม่ถึงว่าซิ่วเย่ว์ที่จวนเจิ้นหนานอ๋องกลับยังมีชีวิตอยู่!
ปลายนิ้วของลั่วเซิงสั่นเล็กน้อย ใช้แรงกายทั้งหมดจึงจะสามารถยับยั้งความวู่วามที่อยากจะเข้าไปเผยตัวตนกับซิ่วเย่ว์ที่อยู่ตรงหน้าได้
สำหรับนางแล้วเพียงแค่หลับตาแล้วค่อยลืมตาอีกครั้ง แต่สำหรับซิ่วเย่ว์นั้นผ่านมาแล้วสิบสองปี กระทั่งนางยังเปลี่ยนร่างกายไปแล้ว
อย่างน้อยตอนนี้นางก็ไม่สามารถใช้สถานะของท่านหญิงไปพบหน้าซิ่วเย่ว์ได้
เสียงครวญครางในสายลมเริ่มโศกเศร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงพึมพำพวกนั้นลอยเข้าหูของลั่วเซิงทุกคำ
“เจี้ยงเสวี่ย เจ้ามันเป็นฆาตกร เหตุใดเจ้าต้องไปบอกข่าวแก่ท่านหญิง ทั้งๆ ที่ท่านหญิงไม่ต้องตาย…ฮือๆ ๆ ตำหนิเจ้าไม่ได้ ข้ารู้ท่านหญิงถึงต้องตายก็ไม่ยอมอยู่ที่จวนผิงหนานอ๋อง…”
ลั่วเซิงฟังเสียงร้องกระท่อนกระแท่นของซิ่วเย่ว์อย่างเงียบๆ หางตาค่อยๆ ชื้นขึ้น
สาวใช้ทั้งสี่ปรนนิบัติรับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก พวกนางทั้งหมดรู้จักนางเป็นอย่างดี ฉะนั้น เจี้ยงเสวี่ยทั้งที่รู้ว่าตนจะต้องตายก็ยังรีบมาบอกข่าวนาง ซิ่วเย่ว์มีความคับข้องใจมากมายแต่ก็ระบายออกมาไม่ได้
พวกนางเข้าใจดี ในสถานการณ์เช่นนั้นสำหรับนางแล้วตายไปยังดีกว่ามีชีวิตมากนัก
ตนเคยสั่งสอนพวกนางว่าอย่าคิดว่าตนเองเก่งกาจแล้วตัดสินใจแทนผู้อื่น พวกนางทำได้แล้ว
ลมแรงกระโชกแรง กระดาษกองที่เผาอยู่ไหม้อย่างรวดเร็ว ซิ่วเย่ว์นำกระดาษเงินเป็นตั้งใส่ลงไปในเปลวไฟ
“เจี้ยงเสวี่ย ซูเฟิง เฉาฮวา พวกเจ้าอยู่ข้างล่างปรนนิบัติรับใช้ท่านหญิงดีๆ นะ ทำหน้าที่แทนข้าไปก่อนชั่วคราว รอจนข้าสืบพบข่าวคราวของท่านอ๋องน้อยแล้วก็จะไปหาพวกเจ้า…ฮือๆ ๆ ท่านหญิงลำบากมามากแล้ว ข้าต้องมีข่าวดีถึงจะไปพบนางได้…”
ลั่วเซิงที่หลบอยู่หลังต้นไม่ไม่อาจหายใจได้อีกต่อไป
นางได้ยินอะไรนะ
ท่านอ๋องน้อย นางได้ยินไม่ผิด ซิ่วเย่ว์บอกว่าเป็นท่านอ๋องน้อย!
หรือว่าน้องชายแท้ๆ ของนางยังมีชีวิตอยู่เช่นนั้นหรือ
เป็นไปไม่ได้ น้องชายคนเล็กคือบุตรชายเพียงคนเดียวของเสด็จพ่อ จวนเจิ้นหนานอ๋องประสบเคราะห์กรรมล้างตระกูลขึ้นเช่นนี้แล้ว จะปล่อยเขารอดไปได้อย่างไร
ลั่วเซิงมีความคิดมากมายวนเวียนในหัว สุดท้ายความคิดเหล่านี้ก็รวมเป็นหนึ่ง นางต้องรู้จักกับซิ่วเย่ว์!
เพียงแค่รู้จักซิ่วเย่ว์นางถึงจะคลายความสงสัยนี้ได้
ลั่วเซิงเพียงแค่นึกถึงความเป็นไปได้ที่น้องชายยังมีชีวิตอยู่ก็ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว
น้องชายคนเล็กคือลูกหลงของท่านพ่อกับท่านแม่ เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วันก็เผชิญกับเหตุการณ์อันโหดร้ายเช่นนี้
น้องชายของนางยังไม่ทันได้ตั้งชื่อจริงเลยด้วยซ้ำ ตั้งเพียงชื่อเล่นว่าเป่าเอ๋อร์
พระจันทร์บนท้องฟ้าหลบเร้นเข้ากลางเมฆ ซิ่วเย่ว์หมอบลงบนพื้นร้องไห้จนหลงลืมวันเวลา
สายลมพัดผมของลั่วเซิง นางยืนอยู่หลังต้นไม้ไม่ขยับ
ภายในใจขมขื่น ต้องร้องไห้ถึงจะรู้สึกดีขึ้น
นางต้องรอจนกว่าซิ่วเย่ว์ร้องไห้จนพอถึงจะไปได้
ส่วนนาง นางในตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ร้องไห้แล้วก็ไม่มีสิทธิ์สบายใจ
กระดาษเงินที่เผาจนเป็นขี้เถ้าเหล่านั้นถูกลมหมุนพัดกระจายไป เสียงร้องไห้ค่อยๆ จางลง
ลั่วเซิงเพิ่งจะก้าวเท้าออกมา ทั้งร่างกลับตึงเครียดขึ้นมา
นอกจากนางกับซิ่วเย่ว์แล้ว มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ชายหนุ่มชุดดำร่างสูงใหญ่ มองเห็นไม่ชัดเพราะหันหลังอยู่ แต่นางกลับมั่นใจว่าบุคคลนี้มีฝีมือโดดเด่น
คนผู้นี้เป็นใครกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะตามซิ่วเย่ว์มา
ความคิดของลั่วเซิงหมุนวนเร็วจี๋ เห็นชายชุดดำเข้าไปใกล้ซิ่วเย่ว์อย่างเงียบเชียบและใช้สันมือสับลงไปที่หลังต้นคอของซิ่วเย่ว์
ช่วงเวลานี้ ลั่วเซิงไม่คิดมากอีก ยกก้อนหินทุบลงไปที่หลังศีรษะชายคนนั้นทันที
ชั่วประกายไฟแลบ ชายหนุ่มที่ถูกหินทุบที่ศีรษะก็ล้มลง ซิ่วเย่ว์ที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หันกลับมาทันที ปิดปากถอยหลังกลับอย่างต่อเนื่อง
ลั่วเซิงหรี่ตา รู้สึกว่าโชคดีไม่น้อย
ตามสัญชาตญาณของนาง หากไม่ใช่ชิงลงมือกับชายหนุ่มชุดดำที่จะลงมือกับซิ่วเย่ว์ก่อน คนที่ล้มลงจะเป็นใครก็พูดยากแล้ว
ลั่วเซิงก้มลงไปช่วยประคองซิ่วเย่ว์แล้วถือโอกาสสำรวจใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นด้วย