ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 33 เจ้าเป็นใคร
ตอนที่ 33 เจ้าเป็นใคร
ชายหนุ่มดูอ่อนเยาว์และหล่อเหลา สีผิวซีดขาว คิ้วคมเข้ม
รูปร่างดูดี แต่กลับเป็นขโมยไปเสียได้
ลั่วเซิงขมวดคิ้วกำลังจะดึงสายตากลับมา อีกฝ่ายพลันลืมตาขึ้นทันที
ดวงตาราวกับแต้มสี เข้มจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ช่วงเวลานี้ ขนอ่อนบนผิวหนังของลั่วเซิงก็ลุกซู่ขึ้นมา
ทว่า นางเป็นคนที่ยิ่งประหม่าก็ยิ่งแสดงความสามารถออกมาได้ดีเป็นพิเศษ ความกลัวไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางการเคลื่อนไหวของนาง แต่ยังทำให้นางยกแขนเสื้อเร็วราวกับสายฟ้า ผงพริกไทยที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็กระจายออกไป
เสียงโอดโอยที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังออกมา
พอลั่วเซิงได้ยินก็วางใจ แต่เห็นซิ่วเย่ว์ถอยเท้ากลับไปเรื่อยๆ ลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนกแล้ววิ่งหนีไป
ลั่วเซิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ขยับขาแล้ววิ่งตามไป
แน่นอนว่านางไม่อาจปล่อยซิ่วเย่ว์หนีไปเช่นนี้ได้
ผู้คนมากมาย นางสามารถอยู่ในเมืองหนานหยางได้เพียงชั่วคราว หากเกิดคืนนี้คลาดกับซิ่วเย่ว์จะตามหาอีกเกรงว่าความหวังจะเลือนลางแล้ว
แต่นางกลับไม่อาจตะโกนเรียกซิ่วเย่ว์ เพื่อป้องกันไม่ให้ชายชุดดำผู้นั้นจำเสียงได้
ซิ่วเย่ว์วิ่งเร็วมาก เพียงชั่วขณะก็วิ่งมาถึงเชิงกำแพงแล้ว เงาร่างเล็กก็หายไป
ลั่วเซิงตามไปติดๆ ดึงหญ้าป่าที่สูงถึงครึ่งตัวคนออก นึกไม่ถึงว่าจะเจอรู
มิน่าซิ่วเย่ว์ถึงได้แอบเข้ามาในจวนอ๋องอย่างเงียบๆ ได้
ลั่วเซิงก้มลงมุดออกจากรูกำแพง ความรู้สึกที่เฉียบคมบอกนางว่ามีลมแรงกำลังจู่โจมเข้ามา นางจึงรีบหลบเข้าด้านข้าง
ซิ่วเย่ว์ที่มือถือท่อนไม้ตีโดนเพียงความว่างเปล่าจึงโยนท่อนไท้ทิ้งหันหลังกลับแล้ววิ่งหนี
ริมฝีปากลั่วเซิงขยับ ยังคงกลืนเสียงที่จะตะโกนลงไปแล้วเพิ่มความเร็วตามไปแทน
ดึกมากแล้ว นางได้ยินเสียงหายใจที่ค่อยๆ หนักขึ้นและไม่คงที่ของคนตรงหน้า
ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนค่อยๆ ขยับใกล้ขึ้น ในตอนที่มือของลั่วเซิงกำลังจะจับชายเสื้อซิ่วเย่ว์ได้นั้น ซิ่วเย่ว์ก็พุ่งเข้าไปในบ้านชาวบ้านหลังหนึ่งและปิดประตูเรือนอย่างแรง
ลั่วเซิงเอามือข้างหนึ่งยันประตูไม้ไว้ เพื่อกันไม่ให้ประตูเรือนปิดเข้าหากันสนิท
ซิ่วเย่ว์เริ่มทนไม่ไหว เหงื่อหยดใหญ่ไหลลงมาจากหน้าผาก นางเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบาก “เจ้า เหตุใดเจ้าจึงตามข้ามา”
ลั่วเซิงไม่ได้ตอบกลับ ใช้โอกาสตอนที่ซิ่วเย่ว์ถามใช้แรงดันประตูเรือนแล้วแทรกตัวเข้าไปแล้วขัดประตูจากด้านใน
ซิ่วเย่ว์หยิบพลั่วมุมกำแพงขึ้นมาขวางไว้ทางด้านหน้า เอ่ยเตือนด้วยเสียงหนักแน่น “หากเจ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะลงมือแล้วนะ!”
ลั่วเซิงปรับลมหายใจเล็กน้อย หยิบกริชที่เต็มไปด้วยอัญมณีในมือมาเล่น “เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก”
อัญมณีแวววาว กริชแหลมคม หญิงสาวที่ใช้ผ้าคลุมหน้าสีดำปกปิดใบหน้าจนเหลือเพียงแต่ดวงตา ทั้งร่างเผยให้เห็นความผ่อนคลาย
ซิ่วเย่ว์ค่อยๆ สิ้นหวัง มือสั่นจนแทบจะจับพลั่วไม่ได้
ลั่วเซิงมองไปรอบๆ แล้วถามขึ้น “นี่บ้านเจ้าหรือ”
ซิ่วเย่ว์จ้องมองลั่วเซิง ไม่พูดอะไรสักคำ
ลั่วเซิงดมกลิ่น ได้กลิ่นเปรี้ยวของกากถั่วฟุ้งอยู่ในอากาศ
“เจ้าขายเต้าหู้เพื่อหาเลี้ยงชีพหรือ อืม น่าจะเป็นเต้าฮวย…”
ซิ่วเย่ว์อดที่จะถามไม่ได้ “ตกลงเจ้าเป็นใครกันแน่ ตามข้ามามีจุดประสงค์อะไร”
ลั่วเซิงมองซิ่วเย่ว์อย่างลึกซึ้ง
บนศีรษะของซิ่วเย่ว์เองก็มีผ้าคลุมอยู่ เหลือเพียงแค่ดวงตาทั้งสองข้างเช่นเดียวกัน
ดวงตาคู่ที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า
“ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใคร” ลั่วเซิงเอ่ยถาม
ซิ่วเย่ว์ตกตะลึง เมื่อนึกถึงชายชุดดำที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังก็รู้สึกกลัวไปชั่วขณะ
“เขาเพ่งเล็งมาที่เจ้าแล้ว อาจจะได้ยินคำพูดของเจ้าและหาที่นี่เจออย่างรวดเร็ว”
ซิ่วเย่ว์ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ สิ้นหวังทั้งจากภายในและภายนอก
หากเทียบความสิ้นหวังที่ชายชุดดำผู้นั้นนำมาให้นาง สิ่งที่ทำให้นางหมดหวังมากกว่าคือหญิงสาวที่ลึกลับตรงหน้า
อย่างมากชายชุดดำก็อาจจะหาที่นี่เจอ แต่หญิงสาวผู้นี้ตอนนี้ยืนอยู่ในลานกว้างของนางแล้ว!
“คนผู้นั้นเป็นใคร แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร” ซิ่วเย่ว์ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
นางแทบจะคิดไม่ออกว่าคำพูดเหล่านั้น คนอื่นมาได้ยินเข้า ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่อาจฆ่าคนปิดปากได้
นางเป็นคนที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ของท่านหญิงจริงๆ
ลั่วเซิงส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ส่วนข้า…”
นางเดินเข้าไปในบ้าน พูดทิ้งท้ายไว้ “ข้าจะไปทำกับข้าว”
เห็นหลังของลั่วเซิงหายเข้าไปที่ประตูบ้าน ซิ่วเย่ว์ยังไม่มีการตอบสนอง
นางถามอีกฝ่ายว่าเป็นใคร อีกฝ่ายกลับบอกว่าจะไปทำกับข้าว
หญิงสาวลึกลับที่ตามนางมาติดๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นคนบ้า
ซิ่วเย่ว์เดินตามเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความตื่นตระหนก
เตาอยู่ในห้องโถง ลั่วเซิงมองอย่างละเอียด ชี้ไปที่เต้าหู้ก้อนที่วางอยู่ข้างๆ แล้วใช้น้ำเสียงที่คุ้นเคยอย่างมากเอ่ยกับซิ่วเย่ว์ที่เดินตามเข้ามา “ข้าใช้เต้าหู้ทำกับข้าว เจ้ามาจุดไฟ”
กระทั่งซิ่วเย่ว์นั่งยองๆ ที่หน้าเตาแล้วนำฟืนเติมเข้าไปในเตา นางก็ยังคิดไม่ออกว่าเหตุใดตนจึงเริ่มจุดไฟ
บางทีเป็นเพราะท่าทางที่อีกฝ่ายสั่งนางเหมือนท่านหญิงมาก บางที…บางทีอะไร นางก็ไม่สามารถบอกได้
ซิ่วเย่ว์พลางจุดไฟพลางสังเกตการเคลื่อนไหวของลั่วเซิง
ลั่วเซิงดูเหมือนจะลืมการมีอยู่ของคนข้างๆ แล้ว ล้างมือสะอาดแล้วนำเต้าหู้ใส่เกลือ พริกไทยป่น นวดเคล้าส่วนผสมจนเป็นโคลน จนกระทั่งเต้าหู้บดมีความหนืดค่อยใส่ต้นหอมเล็กน้อยแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปั้นเป็นลูกชิ้นรูปทรงเท่าๆ กัน
ซิ่วเย่ว์อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
เหตุใดอีกฝ่ายทำลูกชิ้นเต้าหู้เป็น
ไม่เลว เวลานี้นางดูออกแล้วว่าหญิงสาวลึกลับจะทำก็คือลูกชิ้นเต้าหู้
ลูกชิ้นเต้าหู้ไม่ใช่ของว่างของหนานหยาง แต่เป็นพ่อครัวที่หนีภัยพิบัติมาจากเฉียนเฉิงอาศัยอาหารจานนี้เข้ามาในจวนอ๋องและสอนให้กับท่านหญิง
วันนั้นที่จวนอ๋องล่มสลาย แม่ครัวที่จวนอ๋องเลี้ยงดูก็ไม่รอดเหมือนกัน นางที่หลบหนีมาได้ก็ขายเต้าหู้เพื่อเลี้ยงชีพ แต่กลับไม่กล้าทำลูกชิ้นเต้าหู้จานนี้
นางกลัวว่าคนของจวนอ๋องจะพบเบาะแสและจำกัดเสี้ยนหนามจนหมดสิ้น
แต่หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะทำลูกชิ้นเต้าหู้เป็น!
ลั่วเซิงมองซิ่วเย่ว์พลางเอ่ยเตือนว่า “ไฟแรงหน่อย จะทอดลูกชิ้นเต้าหู้น้ำมันต้องร้อน ไม่เช่นนั้นจะไม่ขึ้นรูป”
“เจ้าค่ะ” ซิ่วเย่ว์ตอบกลับโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ตกตะลึงอีกครั้ง
น้ำมันเดือดขึ้นมาแล้ว ลั่วเซิงนำลูกชิ้นเต้าหู้ลงหม้อ ลูกชิ้นแต่ละลูกขึ้นรูปอย่างรวดเร็วก็ช้อนขึ้นได้ รอน้ำมันเย็นลงถึงร้อนระดับเจ็ดค่อยนำลงหม้อทอดต่ออีกครั้ง จนกระทั่งลูกชิ้นลอยขึ้นบนน้ำมันค่อยช้อนขึ้นมาวางในจาน ลูกชิ้นเต้าหู้ก็ทอดเสร็จเรียบร้อย
แน่นอนว่า สำเร็จหรือไม่ตอนนี้ยังยากจะเอ่ย
ลั่วเซิงใช้ตะเกียบไม้ไผ่คีบลูกชิ้นที่อ้วนกลมเขย่าเบาๆ ข้างในมีเสียงดังออกมาทันที
“สำเร็จแล้ว!” คนที่ตะโกนออกมาก็คือซิ่วเย่ว์
ลูกชิ้นเต้าหู้ที่ยากที่สุดก็อยู่ตรงนี้ ตอนเอาลงหม้อเป็นแค่ลูกชิ้นเนื้ออัดแน่นที่ธรรมดาๆ หลังจากเอาออกจากหม้อกลับกลายเป็นข้างในกลวง ข้างในมีน้ำเต้าหู้ไหลออกมา แล้วเอาไปจุ่มลงในน้ำจิ้มที่ผสมไว้ก่อนแล้ว ร้อนๆ กรอบๆ สามารถกัดลูกชิ้นอ้วนกลมที่มีน้ำเต้าหู้นุ่มเนียนอยู่ด้านใน รสชาติไม่ต้องพูดถึงว่ายอดเยี่ยมเพียงใด
ไม่รอลั่วเซิงพูดซิ่วเย่ว์ก็คีบลูกชิ้นขึ้นมา เปิดผ้าที่ปิดหน้าออกแล้วกัดไปครึ่งหนึ่ง
“เต้าหู้บดน่าจะวางไว้สักหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยปั้นเป็นลูกชิ้นเอาลงหม้อ กินตอนนี้ยังมีกลิ่นด่างค่อนข้างเข้มข้น รสชาติแย่ไปเล็กน้อย” ลั่วเซิงพูดไปก็เอาน้ำจิ้มที่ผสมยื่นไปให้ เอ่ยอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “กินลูกชิ้นเต้าหู้อย่างเดียวไม่มีรสชาติ เจ้าลองจิ้มน้ำจิ้มดู ข้าใส่น้ำส้มสายชูไปหลายหยด คิดว่าเจ้าน่าจะชอบ…”
ซิ่วเย่ว์ไม่ได้ยินคำพูดท่อนหลังของลั่วเซิง ตะเกียบก็คีบลูกชิ้นเต้าหู้อีกครึ่งหนึ่งหล่นไปแล้ว และจ้องลั่วเซิงแล้วถามออกมาว่า “เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่”