ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 330 สัญชาติญาณของสาวใช้ใหญ่
ตอนที่ 330 สัญชาติญาณของสาวใช้ใหญ่
มองดูสาวใช้ที่ดวงตาเป็นประกายและแก้มขึ้นสีแดง ลั่วเซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นังหนูนี่ดีใจอะไรนะ
โค่วเอ๋อร์ถามแทนลั่วเซิง “ไคหยางอ๋องเป็นแขกประจำไม่ใช่หรือ เจ้าดีใจอะไรกัน”
หงโต้วกะพริบตาปริบ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ขณะที่กำลังพูด เว่ยหานก็มาถึงหน้าประตู
สือเยี่ยนรีบเข้าไปรับเสื้อคลุมที่เขาถอดลงมา
เสื้อคลุมสีดำมีหิมะติดอยู่ไม่น้อย สือเยี่ยนสะบัดหิมะออก ยิ้มพูดว่า “นายท่าน ในที่สุดท่านก็มาเสียที”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เว่ยหานถาม
สือเยี่ยนคิดถึงท่านหญิงน้อยที่ถูกตบและคิดถึงจวนรองเจ้ากรมเถาที่ต้องเสียเงินชดใช้และทำให้ตนเองอับอาย เขาก็ฉีกยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกขอรับ”
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ คุณหนูลั่วรับมือได้สบายๆ
เว่ยหานเดินผ่านสือเยี่ยนไปยังตู้คิดเงิน
สือเยี่ยนมองแผ่นหลังที่สูงใหญ่และสง่างามนั่น เผยรอยยิ้มพึงพอใจ
นายท่านยิ่งอยู่ยิ่งใจสู้แล้ว เดินตรงไปหาคุณหนูลั่วโดยไม่พูดไร้สาระกับเขาอีก
การช่วยเหลือในยามลำบากถึงจะเป็นวิธีที่ทำให้สตรีหวั่นไหวง่ายที่สุด ไม่เห็นที่เขาให้เงินเพียงเล็กน้อยแก่หญิงสาวงดงามที่ขายตัวเพื่อฝังศพบิดาเหล่านั้นหรือ พวกนางร้องโวยวายจะติดตามเขาเสียให้ได้
น่าเสียดายที่หญิงสาวที่เชิญมาเป็นสาวใช้ในจวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ต่อมาท่านแม่ก็ไล่ตีเขาไปทั่วสนามด้วยไม้ปัดขนไก่ เขาจึงไม่ค่อยกล้าทำความดีสะสมกุศลอีก
“ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือ”
เว่ยหานพยักหน้า “อืม กลับมาแล้ว”
ผู้ดูแลหญิงที่เพิ่งเดินเข้ามาจากข้างหลังชะงักฝีเท้าลง
นั่นคือเก้าอี้ของนาง นางแค่ลุกไปเข้าห้องส้วมก็ถูกแย่งไปแล้ว
เว่ยหานยืนนิ่ง ริมฝีปากที่ราวกับถูกพายุหิมะทำให้แข็งเริ่มอบอุ่นและโค้งขึ้น “หิมะตกแล้ว เราไปดูต้นพลับในสวนกันเถอะ”
เสื้อคลุมสีดำที่สือเยี่ยนถือไว้ในมือเกือบจะร่วงลงบนพื้น
ดูต้นพลับ?
ดูต้นพลับที่โล่งเตียนหรือ
สิ่งที่องครักษ์น้อยคาดไม่ถึงคือเด็กสาวข้างโต๊ะคิดเงินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว นางตอบตกลงแล้วเดินไปทางประตูที่ผ่านไปยังสวนด้านหลัง
เว่ยหานเดินตามไป
จนเมื่อทั้งสองหายไปหลังม่านประตู สือเยี่ยนก็เพิ่งเรียกสติคืนกลับมาได้ นายท่านและคุณหนูลั่วไม่ได้สวมเสื้อคลุม!
เขาก้มหน้ามองเสื้อคลุมหนาๆ ลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ตามไป
หากนายท่านและคุณหนูลั่วคุยกันอย่างเปิดอกใต้ต้นไม้เล่า เขาเข้าไปเวลานี้จะดูไม่รู้งานเกินไป
ต้นพลับต้นสูงใหญ่ในสวนยืนต้านทานพายุหิมะเงียบๆ กลายเป็นต้นไม้งดงาม
ลมหนาวปะทะหน้า
เว่ยหานตั้งสติจากอาการดีอกดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง เขาเตือนว่า “คุณหนูลั่วไม่ได้สวมเสื้อคลุม”
ลั่วเซิงชี้ไปที่ประตูห้องที่เปิดแง้มไว้ “เข้าไปคุยในห้องกันเถอะเจ้าค่ะ”
นางไม่อยากทนหนาวใต้ต้นพลับหรอกนะ เข้าไปนั่งบนเก้าอี้พิงพนักนุ่มๆ ในห้องและถือชาอุ่นๆ คุยกันสบายๆ ดีกว่า
ทั้งสองไม่ได้หยุดฝีเท้าลง ต้นพลับที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่มุมหนึ่งไม่มีใครดูแม้แต่คนเดียว
ในห้องอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ต้นแขกเทวดาที่วางข้างหน้าต่างกำลังบานสะพรั่ง
กาน้ำทองแดงวางอยู่บนเตาเล็กๆ ที่มุมหนึ่ง
ลั่วเซิงยื่นมือไปจับ มือใหญ่ข้างหนึ่งกลับยกกาน้ำขึ้นก่อน
“ข้าเอง” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มดังขึ้น
ลั่วเซิงหยุดลง มองเขาถือกาน้ำทองแดงไปข้างโต๊ะแล้วรินน้ำชาให้สองจอกอย่างคล่องแคล่ว
ชาเป็นชาชั้นดี กลิ่นหอมของชาอบอวลไปทั่วห้อง
นางเห็นริมฝีปากที่แห้งเล็กน้อยและดวงตาสีดำสุกใสของชายหนุ่มผ่านไอร้อน
“ท่านอ๋องออกไปลำบากแล้ว”
“ลำบากน่ะไม่ลำบากหรอก แค่กินไม่ค่อยได้”
ลั่วเซิงเงียบ
นางไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดไคหยางอ๋องจึงสามารถใช้คำพูดที่ฟังดูเหมือนกับคำออดอ้อนได้จริงจังเช่นนี้…
จะคิดเล็กคิดน้อยน่ะไม่ได้ ถึงอย่างไรที่คนเขาออกไปครานี้ก็เพราะช่วยนาง
ลั่วเซิงยิ้มๆ พูดว่า “ท่านอ๋องดื่มน้ำชาก่อน เนื้อแพะตุ๋นไว้หนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว หอมและนุ่มลิ้น ประเดี๋ยวโรยต้นหอมเล็กน้อยก็ยกขึ้นโต๊ะได้แล้ว ยังมีน้ำแกงเนื้อแพะที่ต้มไว้ร้อนๆ ทานสักถ้วยตอนหิมะตกอร่อยที่สุด”
“ข้ารู้” เว่ยหานยิ้ม รู้สึกมีความสุขที่ใจตรงกัน
เขาคิดถึงน้ำแกงเนื้อแพะตั้งแต่ระหว่างทางกลับเมืองหลวงแล้ว คุณหนูลั่วรู้ใจเขาที่สุด
ขณะที่คิดเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็แจ่มชัดกว่าเดิม
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาดื่มน้ำแกงหรือกินเนื้อแพะ คุณหนูลั่วกำลังร้อนใจ
เว่ยหานกระดกชาหมดจอก เอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ข้าไปเจอองครักษ์คนนั้นแล้ว”
ลั่วเซิงจับจอกชาในมือแน่น ความร้อนของชาส่งผ่านปลายนิ้วที่เย็นเยียบ ทำให้ปลายนิ้วของนางอุ่นขึ้น
“เขาตกลงแล้วหรือ”
เว่ยหานพยักหน้า “อืม เขาตกลงแล้ว อีกไม่กี่วันน่าจะมีข่าวดี”
“ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”
“แค่เรื่องเล็กน้อย” เว่ยหานพูดเสร็จก็กระดกชาอีกหนึ่งจอก หยิบบางอย่างจากอ้อมอกออกมาให้ลั่วเซิง
ดูจากรูปร่างและวิธีการห่อที่คุ้นเคย ลั่วเซิงกระตุกมุมปากเบาๆ “นี่คือ…”
“ของขวัญสำหรับคุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงยื่นมือไปรับ แกะผ้าห่อออกภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของอีกฝ่าย
เป็นไปตามคาด ในนั้นคือสูตรอาหารเล่มหนึ่ง
ลั่วเซิงเงียบครู่หนึ่ง ยิ้มให้ชายตรงหน้าที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอคำเชยชม “ขอบคุณของขวัญของท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
“ขอแค่คุณหนูลั่วชอบก็พอ”
ลั่วเซิงวางของขวัญชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้รับมาไว้ข้างๆ จากนั้นก็ถามรายละเอียดอีกสองสามเรื่อง ก่อนจะยิ้มพูดว่า “ท่านอ๋องหิวแล้วหรือไม่ ไปกินหม้อไฟเนื้อแพะที่ห้องโถงเถอะ”
เว่ยหานลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว
ลั่วเซิงมองออก แต่นางก็ชินไปนานแล้ว
ทั้งสองเดินออกจากห้อง
ในห้องโถง สือเยี่ยนที่ดูสงบแต่ความจริงแล้วเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเดินเล่นไปถึงประตูที่ผ่านไปยังสวนข้างหลัง
เขาไม่ได้ชอบยุ่งเรื่องผู้อื่น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีแขก อยู่ว่างๆ แบบนี้ สู้เข้าไปดูนายท่านและคุณหนูลั่วหน่อยดีกว่าว่าหนาวหรือไม่ หากหนาวจนแข็งไปแล้วจะทำอย่างไรเล่า
องครักษ์น้อยยื่นนิ้วมือสองนิ้วออกไปจับมุมม่านผ้าฝ้ายขึ้น เขามองออกไปด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจ ทันทีที่เห็นก็ตกใจ
คนเล่า
ไหนว่าไปดูต้นพลับอย่างไรเล่า
เว่ยหานเดินออกมาจากในห้องพร้อมลั่วเซิง
สือเยี่ยน “…”
“สือซานหั่ว ดูอะไรอยู่น่ะ” มือข้างหนึ่งแตะบนไหล่สือเยี่ยน
สือเยี่ยนหันขวับ เห็นว่าเป็นหงโต้วก็โล่งอก พูดจริงจังว่า “ข้าดูต้นพลับอยู่น่ะ”
“ต้นพลับมีอะไรน่าดูกัน สู้แทะเมล็ดแตงโมก็ไม่ได้” หงโต้วควักเมล็ดแตงโมที่ผัดจนหอมออกมาจากกระเป๋า “กินหรือไม่”
“กิน” สือเยี่ยนหยิบเมล็ดแตงโมทันที
เขาต้องกินเมล็ดแตงโมสงบอารมณ์ที่ซับซ้อนเสียหน่อย
ลั่วเซิงเดินเข้ามาก่อน สั่งหงโต้วว่า “ยกหม้อไฟเนื้อแพะหม้อหนึ่งและน้ำแกงเนื้อแพะให้ท่านอ๋อง”
เว่ยหานที่ช่วยเปิดม่านประตูให้ลั่วเซิงอยู่รั้งท้าย สั่งว่า “เพิ่มหมัวหมัวอีกสองลูก”
เมื่อเห็นทุกคนมองมา เว่ยหานก็อธิบายอย่างสงบว่า “หมัวหมัวกินกับน้ำแกงเนื้อแพะกำลังดี”
“ท่านอ๋องจะกินกระเทียมดองด้วยหรือไม่เจ้าคะ” หงโต้วโพล่งถามขึ้น
เว่ยหานตอบสั้นกระชับ “อืม”
โค่วเอ๋อร์ฉวยโอกาสดึงหงโต้วไว้เมื่อเว่ยหานเดินไปนั่งลงที่ข้างหน้าต่าง นางถามเสียงเบาว่า “หงโต้ว เหตุใดวันนี้เจ้าดูผิดปกติไป”
กระตือรือร้นเช่นนี้ต้องการอะไรกันแน่
หงโต้วกะพริบตาสองสามที “ข้าก็ไม่รู้”
นางแค่รู้สึกว่าหากไคหยางอ๋องกินมากหน่อย คุณหนูจะอารมณ์ดี
อย่าถามเหตุผล ถามไปก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นสัญชาติญาณของสาวใช้ใหญ่อันดับหนึ่งกระมัง