ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 338 กลับศาลาว่าการ
ตอนที่ 338 กลับศาลาว่าการ
รองเจ้ากรมเถาคิดว่าตนเองได้ยินผิด
หอคณิกาชาย?
พูดคำพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร!
ความเดือดดาลปรากฏขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว รองเจ้ากรมเถาพูดปากสั่นว่า “แม่ทัพใหญ่ ขอร้องท่านอภัยให้ข้าครั้งนี้ด้วยเถอะ ต่อไปท่านจะให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำเช่นนั้น ข้าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วขยับขาของตนด้วยความรังเกียจ
เจ้าคนน่าขยะแขยงนี่ คิดจะถือโอกาสเช็ดน้ำมูกที่กางเกงเขารึ
“รองเจ้ากรมเถาอายุยังไม่มาก คงไม่ได้หูหนวกไปหรอก ข้าบอกแล้วว่าแค่เจ้าส่งบุตรชายเจ้าไปที่หอคณิกาชายแล้วข้าจะให้อภัยเจ้า”
“แม่ทัพใหญ่ ความผิดพลาดทั้งหมดเป็นเพราะข้าเอง ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ แต่อย่าพูดเล่นแบบนี้เลย” รองเจ้ากรมเถาคุกเข่าเดินเข้าไป
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มหยัน “รองเจ้ากรมเถาคิดว่าข้าพูดเล่นหรือ”
เมื่อเผชิญกับสายตาที่เยือกเย็นของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ความสิ้นหวังในใจของรองเจ้ากรมเถาก็บังเกิด “แม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยยอมรับการลงโทษทุกอย่างของท่าน แต่จะส่งบุตรชายไปหอคณิกาชายไม่ได้เด็ดขาดนะ ท่านเองก็เป็นผู้ประเสริฐ…”
จะยื่นเงื่อนไขเหลวไหลและน่าบัดซบเช่นนี้ได้อย่างไร!
แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดหน้านิ่งว่า “รองเจ้ากรมเถายกยอข้าเกินไปแล้ว ข้าเรียนหนังสือทีไรก็ง่วงนอน ในทางกลับกันรองเจ้ากรมเถาเจ้าก็ตรากตรำเรียนหนังสือมาอย่างหนัก วิถีของผู้ประเสริฐก็ร่ำเรียนมาไม่น้อย มีหน้ามาฉวยโอกาสให้ลูกสาวข้าไปเป็นอนุลูกชายเจ้าตอนที่ข้าลำบากได้อย่างไร”
ตราบเท่าที่ยังเป็นมนุษย์ ถอนหมั้นยังไม่พอหรือ
เมื่อใดก็ตามที่คิดถึงตนเองที่ต้องอยู่ร่วมกับครอบครัวที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ เขาก็แทบอยากจะกินเนื้อของอีกฝ่าย
รองเจ้ากรมเถาชะงัก จากนั้นก็ร้องห่มร้องไห้ “บุตรชายข้ายังเป็นเด็กรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หูเบา ล้วนเป็นเพราะได้ยินคำพูดเหลวไหลของภรรยาข้าจึงทำผิดพลั้ง…”
หากจำเป็นต้องเสียสละคนหนึ่ง เขาทำได้เพียงรักษาบุตรชายไว้
นั่นคือบุตรชายคนโตในสายเลือดของเขาเชียวนะ!
ส่วนภรรยา… เมื่อคิดถึงเถาฮูหยิน รองเจ้ากรมเถาก็โมโหจนปวดฟัน
หากภรรยาไม่ได้พูดจาไร้สาระต่อหน้าบุตรชาย บุตรชายจะไปพูดจาโง่เขลาต่อหน้าคุณหนูลั่วจนถูกคุณหนูลั่วตบตีถึงจวนได้อย่างไร หลังจากแม่ทัพใหญ่ลั่วพลิกสถานการณ์ได้แล้วก็คงไม่คิดกำจัดให้สิ้นซากอย่างการยื่นเงื่อนไขให้ส่งบุตรชายไปหอคณิกาชายซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้เช่นนี้หรอก
จวนเถาเป็นศิษย์สืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม หากส่งบุตรชายไปหอคณิกาชายจริงๆ นอกจากเขาต้องสูญเสียตำแหน่งทางราชการแล้ว ตระกูลเถาก็อย่าคิดจะเงยหน้าได้อีกตลอดชีวิต
คุณหนูลั่วมาหาเรื่องถึงหน้าประตูอย่างเปิดเผยทำเอาจวนเถาอับอายขายหน้า ครานั้นเขาก็โมโหฮูหยินสารเลวนั่นมากพอแล้ว เพียงแค่ไม่อยากให้ผู้คนหัวเราะเยาะจวนเถาอีกจึงอดกลั้นไว้
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาคิดว่าจวนลั่วไม่มีโอกาสพลิกตัวได้อีก จะขัดเคืองไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ใครจะไปคิดว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วจะออกมาเร็วเช่นนี้!
ครานี้เอง รองเจ้ากรมเถาเหลือเพียงความเสียใจอย่างสุดซึ้งและความเคียดแค้นต่อเถาฮูหยินเต็มอก
“หมายความว่าเป็นความผิดของภรรยาเจ้าหรือ”
“สตรีรู้เท่าไม่ถึงการณ์…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มหยัน “รองเจ้ากรมเถา หากเจ้ายอมรับผิดแต่คนเดียวข้าอาจจะมองเจ้าดีกว่านี้ ตอนที่ถอนหมั้นเจ้าให้ภรรยาออกหน้า พอเกิดเรื่องก็ผลักภรรยาออกมาอย่างไร้ความปรานี คนอย่างเจ้าเหลวแหลกยิ่งกว่าดินโคลน โคลนยังเลี้ยงคางคกได้ แต่เจ้าน่ะมีไว้ทำอะไร”
“แม่ทัพใหญ่…” รองเจ้ากรมเถาเรียกด้วยความสิ้นหวัง
“ไสหัวออกไปซะ อย่าทำให้จวนลั่วของข้าต้องโสมม!”
รองเจ้ากรมเถาไหนเลยจะยอมไป แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อคนใช้จำนวนหนึ่งเข้ามาลากเขาออกไปราวกับลากหมูตาย
“ใครก็ได้ ถูพื้นให้ข้าสามรอบ” แม่ทัพใหญ่ลั่วสั่งเสร็จก็เดินไปหาลั่วเซิง
ลั่วเซิงประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านพ่อมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
เขาแค่คิดถึงเรื่องที่เซิงเอ๋อร์พาอิงเอ๋อร์ไปประจันหน้าที่จวนเถา นางทำได้ดี จึงอยากมาชื่นชมบุตรสาว เหตุใดจึงรู้สึกว่าในคำพูดของเซิงเอ๋อร์เจือความรังเกียจเล็กน้อยนะ
เขาต้องรู้สึกไปเองแน่ๆ
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มพูดว่า “เมื่อครู่นี้รองเจ้ากรมเถาเพิ่งมาขอร้องให้ข้าอภัยให้ แต่ถูกข้าไล่ออกไปแล้ว”
“ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องของจวนเถาถือว่าจบลงแล้ว ต่อไปเจ้าหว่านล้อมพี่ใหญ่เจ้าบ่อยๆ ด้วย อย่าให้นางคิดถึงแต่เรื่องเหล่านี้”
“ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอมเบาๆ “โดยเฉพาะเรื่องที่บอกว่าไม่อยากแต่งงาน”
ลั่วเซิงพยักหน้า ถามอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ท่านพ่อไม่ไปศาลาว่าการหรือ”
พระราชวังส่งของบำรุงห่อเล็กห่อใหญ่มา ความใส่ใจที่มีต่อเขาเขาก็เห็นแล้ว ถึงเวลาไปศาลาว่าการแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วตาเป็นประกายเย็นชา “ไป ต้องไปแล้วล่ะ”
เมื่อออกจากประตูจวนลั่ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ขึ้นคร่อมม้า ควบม้าทะยานไปศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลิน
บนถนนยังมีร่องรอยของหิมะที่สะสม ม้าดีสีดำกลับวิ่งอย่างมั่นคง ทิ้งเสียงกีบเท้าม้าไว้บนถนน
เมื่อถึงหน้าประตูใหญ่ศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลิน แม่ทัพใหญ่ลั่วก็กระโดดลงจากม้า เดินสาวเท้าเข้าไปข้างใน
ทหารเฝ้าประตูตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว!”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินผ่านทหารที่ทำความเคารพเขาอย่างมุ่งมั่น เห็นกลุ่มคนที่มีผิงลี่เป็นคนนำเดินมาต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
“ท่านพ่อ” ผิงลี่คุกเข่าข้างหนึ่งลง ทำความเคารพ
หลังจากกินข้าวเที่ยงที่จวนลั่วเสร็จแล้วท่านพ่อก็ให้เขากลับศาลาว่าการ เขาคิดว่าวันนี้ท่านพ่อจะไม่มาแล้วเสียอีก
องครักษ์จิ่นหลินที่ตามผิงลี่มาต้อนรับแม่ทัพใหญ่ลั่วพากันคุกเข่า พูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีต้อนรับแม่ทัพใหญ่กลับมา”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหลุบตาลงกวาดมองผิงลี่ พูดเสียงราบเรียบว่า “ลุกขึ้นเถิด”
ผิงลี่เห็นภาพเหล่านี้ก็รู้สึกซับซ้อนอย่างมิอาจบรรยายได้
หลายปีมานี้เขาช่วยท่านพ่อดูแลองครักษ์จิ่นหลิน เขาเป็นคนแรกที่สมควรได้รับหน้าที่นี้ในบรรดาบุตรบุญธรรมทั้งห้าของพ่อบุญธรรม
แต่ไม่ว่าเขาจะสร้างชื่อเสียงสูงส่งเพียงใด พ่อบุญธรรมก็เป็นแผ่นฟ้าขององครักษ์จิ่นหลินตลอดไป สูงส่ง ไม่สั่นคลอน
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินเข้าไปข้างใน
การตกแต่งห้องประชุมยังคงเป็นที่คุ้นเคย ผู้ที่ยืนข้างหน้ายังคงเป็นใบหน้าคุ้นเคย แม้แต่ท่าทีสุภาพนอบน้อมของเขาก็ยังเป็นที่คุ้นเคย
ทุกอย่างดูแล้วไม่ต่างจากอดีตเลย
แต่ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วนั่งลงบนที่นั่งประธาน เบาะนั่งนุ่มๆ ที่วางปูบนเก้าอี้ก็ทำให้รู้สึกสบายใจและคุ้นเคยเช่นกัน
“ท่านพ่อบุญธรรม ดื่มชาขอรับ” ผิงลี่รับจอกชามาจากองครักษ์จิ่นหลินที่ยกน้ำชามายื่นให้แม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยตนเอง
แม่ทัพใหญ่ลั่วรับจอกชามา เขาถือไว้ในมือไม่ได้ดื่ม น้ำเสียงราวกับคุยอย่างเป็นกันเองว่า “ผิงลี่ ช่วงที่ข้าไม่อยู่ศาลาว่าการเป็นอย่างไรบ้าง”
“เพราะบุญบารมีของท่านพ่อบุญธรรม ศาลาว่าการปกติดีขอรับ” ผิงลี่ท่าทางสุภาพ รายงานทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กที่เกิดขึ้นกับองครักษ์จิ่นหลินช่วงนี้ให้แม่ทัพใหญ่ลั่วฟัง
แม่ทัพใหญ่ลั่วฟังพลางพยักหน้า เมื่อผิงลี่รายงานจบแล้วก็ยิ้มให้ “เห็นทีไม่มีข้าเจ้าก็ดูแลจัดการได้ดี รับหน้าที่ได้แล้ว”
รอยยิ้มนี้ทำให้ผิงลี่ขนหัวลุก เขาคุกเข่าลงทันที “ลูกมิบังอาจ ที่ลูกเติบโตได้ดีล้วนเป็นเพราะท่านพ่อบุญธรรมที่อบรมสั่งสอน องครักษ์จิ่นหลินยิ่งขาดท่านพ่อไม่ได้”
“เอะอะก็คุกเข่าทำไม” แม่ทัพใหญ่ลั่วยกจอกชาเข้ามาใกล้ปากแล้วดม แต่เขากลับไม่แตะน้ำชาที่มีกลิ่นหอมเลยสักคำ
ผิงลี่ไม่ได้ลุกขึ้น
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากลุกขึ้น แต่แม้ท่านพ่อพูดจาเกรงอกเกรงใจ แต่กลับไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้น
พ่อบุญธรรมรู้สึกไม่พอใจที่เขาสามารถควบคุมองครักษ์ได้อย่างเต็มที่ในระหว่างที่เขาอยู่ในคุก คิดว่าต้องกดอำนาจของเขาลงงั้นหรือ
ขณะที่ผิงลี่กำลังคิดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เขามองไปทางประตูโดยสัญชาติญาณ เห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา
ผิงลี่หน้าเปลี่ยนสีทันที