ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 341 ไม่เปิดร้าน
ตอนที่ 341 ไม่เปิดร้าน
ประตูหอสุราปิดแน่น มีแสงสลัวๆ ลอดผ่านหน้าต่าง เหมือนกับอารมณ์เศร้าหมองของคนที่มาดื่มแต่ถูกปฏิเสธ
แม้แต่ธงหอสุราสีเขียวก็เย็นจนแข็ง ดูเป็นอิสระน้อยลงเมื่อสายลมพัดผ่าน
เว่ยหานยืนที่เดิมไม่ขยับ
ตามหลักแล้วหอสุราไม่เปิดก็ควรกลับไป จะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนกับธงหอสุราที่โดดเดี่ยวอ้างว้างนั่นไม่ได้ แต่เว่ยหานกลับมองประตูใหญ่ของหอสุราที่ปิดแน่นบานนั้นเงียบๆ รู้ซึ้งถึงคำว่าเสียใจเป็นครั้งแรก
แม่ทัพใหญ่ลั่วออกจากเรือนจำแล้ว คุณหนูลั่วต้องดีใจมากแน่ๆ
เมื่อคุณหนูลั่วดีใจ หอสุราก็จะต้องตระเตรียมอาหารมื้อใหญ่สองสามอย่างเพื่อรับแขก หรือกระทั่งออกอาหารใหม่
แต่หอสุรากลับไม่เปิด
เว่ยหานจับกระเป๋าเงินที่แขวนบริเวณเอว
ในกระเป๋ามีตั๋วเงินปึกหนึ่งนอนแน่นิ่ง วันนี้เขาเตรียมไว้สำหรับจ่ายล่วงหน้า
วันนี้แขกที่มาดื่มสุราต้องล้นหลามแน่ๆ คุณหนูลั่วกลับปิดร้าน
ไม่สมควร ทั้งๆ ที่คุณหนูลั่วชอบเงินทองเช่นนั้น
เว่ยหานไม่ยอมแพ้ เขาเดินไปถึงประตูใหญ่
เมื่อเข้าใกล้ กลิ่นหอมของสุราจางๆ แตะจมูก
เว่ยหานสูดดมเบาๆ แล้วหันหลังจะจากไป
ครานี้เอง ประตูใหญ่หอสุราก็ดังเอี๊ยดอ๊าด มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง “ท่านอ๋องมาดื่มสุราหรือเจ้าคะ”
เว่ยหานหันหลังกลับไป พยักหน้าให้ผู้ดูแลหญิงที่ยืนอยู่ด้านในเล็กน้อย
ผู้ดูแลหญิงยิ้มพูดว่า “วันนี้หอสุราของเราปิด แม่ครัวไปทำอาหารที่จวนแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้วเจ้าค่ะ”
จวนแม่ทัพใหญ่?
ทำอาหาร?
เว่ยหานเม้มปากเป็นเส้นตรง
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้กินอาหารเย็นหรือ
จะบอกว่าไม่พอใจก็เหมือนกับว่าจะไร้เหตุผล แต่ความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่พอใจจริงๆ…
ท่านอ๋องที่ไม่สบอารมณ์นักพยักหน้าอย่างเย็นชาให้ผู้ดูแลหญิง “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่”
เมื่อเห็นเว่ยหานหันหลังทำท่าจะจากไป ผู้ดูแลหญิงก็รีบพูดว่า “ท่านอ๋องช้าก่อนเจ้าค่ะ”
เว่ยหานหยุดลง มองผู้ดูแลหญิง
ผู้ดูแลหญิงรีบเดินเข้าไปในห้องโถง ไม่นานก็ถือกล่องอาหารสีดำออกมาและยื่นให้ “เถ้าแก่ของเราบอกว่าหากคืนนี้ท่านอ๋องมาดื่มสุรา ให้เอากล่องอาหารกล่องนี้ให้ท่านเจ้าค่ะ”
ในค่ำคืนที่อากาศแจ่มใส มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นอย่างมิอาจควบคุมได้ เขายื่นมือไปรับกล่องอาหารมา
เมื่อกล่องอาหารหนักๆ อยู่ในมือ รอยยิ้มที่มุมปากก็ชัดเจนกว่าเดิม
“ฝากขอบคุณเถ้าแก่ของพวกเจ้าด้วย” เว่ยหานพูดทิ้งท้าย ถือกล่องอาหารออกจากหอสุรา
ระหว่างทางก็เจอคนรู้จัก
“ท่านอ๋องไปดื่มสุราที่หอสุรามาหรือ เหตุใดออกมาเร็วนักเล่าขอรับ” เสนาบดีจ้าวสวมเสื้อนวมสองชั้นดูแล้วค่อนข้างอ้วนกลม มือทั้งคู่ซุกอยู่ในแขนเสื้อยิ้มถาม
เสนาบดีจ้าวดูอารมณ์ดีไม่น้อย
ในที่สุดแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ออกมาแล้ว เขาจะได้ไปกินข้าวที่หอสุราได้เสียที
ช่วงนี้เงินส่วนตัวมีแต่เข้าไม่มีออก ไม่ชินเลยจริงๆ ต้องเอาออกมาใช้ถึงจะสบายใจ
แต่ว่ายังคงเป็นไคหยางอ๋องที่ขยันไปมีหอสุรา เห็นทีวันนี้คงไปเป็นคนแรกอีกแล้ว
เมื่อเหลือบเห็นกล่องอาหารที่เว่ยหานถือไว้ในมือ เสนาบดีจ้าวก็กระจ่าง “ท่านอ๋องซื้อกลับไปกินหรือ”
เว่ยหานคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเขาพูดถูกจึงพยักหน้า
“ซื้อกลับไปก็สะดวกดีเหมือนกัน แต่ว่าอากาศหนาวเช่นนี้กินในห้องโถงน่าจะมีความสุขมากกว่า” เสนาบดีจ้าวกำหมัดประสานมือให้เว่ยหานแล้วเร่งฝีเท้าไปทางหอสุรา
คำพูดที่เดิมทีเว่ยหานจะบอกถูกกลืนลงไปเงียบๆ
เสนาบดีจ้าวอายุปูนนี้แล้ว เดินออกกำลังกายหน่อยก็ดีเหมือนกัน
เสนาบดีจ้าวเร่งเดินทางไปหอสุราอย่างมีความสุข เมื่อเห็นประตูใหญ่ที่ปิดแน่นก็ตะลึงงัน
วันนี้ไม่เปิดหรือ
เดี๋ยวสิ ไม่เปิดแล้วกล่องอาหารในมือไคหยางอ๋องมาจากไหน
ทันทีที่เสนาบดีจ้าวคิดได้ก็โมโห เขาเดินขึ้นไปเตรียมจะเคาะประตู
มือยังไม่ทันเคาะลงไป ประตูก็เปิดออกกะทันหัน
ผู้ดูแลหญิงถือป้ายประกาศที่เขียนเสร็จเดินออกมา เห็นเสนาบดีจ้าวที่ยืนอยู่ข้างนอกก็รีบทักทาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสนาบดีจ้าวชี้ไปข้างใน
ปกติห้องโถงหอสุราสว่างไสวราวกับกลางวัน แต่วันนี้ประหยัดเทียนไขจริงๆ
“วันนี้หอสุราของเราไม่เปิดเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงติดป้ายประกาศบนประตูใหญ่อย่างคล่องแคล่ว
เสนาบดีจ้าวอ่าน บนนั้นเขียนไว้สี่คำว่า ‘ร้านปิดหนึ่งวัน’
ครานี้เอง เสนาบดีจ้าวก็หดหู่ใจราวกับธงหอสุราที่เย็นจนแข็งนั่น
“พรุ่งนี้จะมีอาหารใหม่ เชิญท่านมาใหม่พรุ่งนี้นะเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงย่อเข่าให้เล็กน้อยและยิ้มอย่างอบอุ่น
นางไม่กล้าเฉยเมยต่อเขา นางรู้สึกว่าเสนาบดีเฒ่าท่านนี้อยากจะฉีกประกาศของนางที่เพิ่งติดลงมาตลอดเวลา
ไม่ได้หรอกนะ บิดาของเถ้าแก่เพิ่งออกจากคุก จากประสบการณ์การเป็นผู้ดูแลมาหลายปี คืนนี้ต้องมีแขกหลั่งไหลมามากมายแน่นอน หากไม่ติดประกาศแจ้งไว้ ประตูคงถูกเคาะจนพังแน่
เสนาบดีจ้าวพยักหน้าด้วยใบหน้าบูดบึ้ง หันหลังเดินไปสองก้าวจู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา “วันนี้ไม่เปิดร้านแล้วซื้อกลับได้หรือไม่”
ผู้ดูแลหญิงกะพริบตาสองสามที “ซื้อกลับหรือ ซื้ออะไรกลับเจ้าคะ”
เสนาบดีจ้าวมองผู้ดูแลหญิงอย่างสงสัย เรื่องไคหยางอ๋องมีกล่องอาหารถูกกลืนลงไปเงียบๆ
หากเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วผู้ดูแลบอกว่าไคหยางอ๋องซื้อกลับได้ เขาไม่ได้ เช่นนั้นเขาคงเสียหน้าแย่
เสนาบดีเฒ่าจากไปด้วยความผิดหวัง ระหว่างทางเจอเสนาบดีเฉียนสหายเก่า เจอหลินจี้จิ่วที่พาหลานมาแล้วจะได้สิทธิ์ลดครึ่งราคาและยังเจอผู้คนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักมากมาย
เสนาบดีจ้าวไม่ได้บอกเรื่องหอสุราปิดเลย
แค่กๆ อากาศเย็นแบบนี้ เดินออกกำลังกายหน่อยก็ดี
บัดนี้ในห้องอาหารของจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วมีกลิ่นหอมเย้ายวนจนผู้คนน้ำลายไหล ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข
ไม่สิ นอกจากคนๆ หนึ่ง นั่นก็คือลั่วฉิง
ทันทีที่เห็นอวิ๋นต้ง นางก็เริ่มไม่สบายใจ เหตุใดพี่ใหญ่ไม่ได้มานะ
หลังจากที่ท่านพ่อออกมาแล้ว ทั้งครอบครัวกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา แม้แต่พี่ห้าก็มาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่พี่ใหญ่จะไม่มา
ทว่าสถานการณ์แบบนี้นางถามไม่ออก ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
เพราะว่ามีเรื่องในใจ อาหารที่เอร็ดอร่อยเข้าปากก็กลายเป็นอาหารไร้รสชาติ
แม่ทัพใหญ่ลั่วสังเกตเห็นความผิดปกติของลั่วฉิงอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่เพราะเขาอ่อนไหวต่อความในใจของเหล่าลูกสาว แต่เพราะอาหารเลิศรสมากมายตรงหน้ากลับไม่จับตะเกียบเลย ดูผิดปกติเกินไป ต้องมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นแน่ๆ
“ฉิงเอ๋อร์”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ท่านพ่อเรียกลูกมีอะไรหรือ”
“ทำไมจึงไม่เจริญอาหารเลยเล่า”
เมื่อรู้สึกถึงสายตามากมายมองมา ลั่วฉิงก็หน้าแดงเล็กน้อย “ลูกรู้สึกไม่ค่อยสบาย กินไม่ค่อยลงเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นให้หมอมาดูเถอะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดทิ้งท้าย เห็นอวิ๋นต้งคีบลิ้นเป็ด เขาก็รีบคีบตาม
เมื่อก่อนดูไม่ออกเลยว่าเจ้าหมอนี่จะกินเยอะเช่นนี้ พูดน้อยแต่กินอย่างเดียว
เมื่อเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วเบี่ยงเบนความสนใจไป ลั่วฉิงก็โล่งอก จากนั้นในดวงตาก็ปรากฏความกังวล
ลั่วอิงสังเกตเห็นก็ลอบถอนหายใจ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงตัดสินใจถามว่า “ท่านพ่อ เหตุใดพี่ใหญ่ไม่ได้มากินข้าวด้วยล่ะเจ้าคะ”
ดูสภาพน้องรองแล้ว หากไม่ถามให้ชัดเจน นางคงนอนไม่หลับ ถามให้น้องรองหน่อยแล้วกัน
ทันทีที่คำถามนี้ดังขึ้น ตะเกียบที่อวิ๋นต้งยื่นออกไปก็ชะงัก
แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาคีบลิ้นเป็ดขึ้นมากิน จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “ต่อไปไม่ต้องเรียกพี่ใหญ่ผิงลี่อีกแล้ว ข้าไม่มีลูกบุญธรรมเช่นเขา”
ลั่วฉิงหน้าซีด ตะเกียบเกือบจะร่วงลงมา
ในที่สุดความไม่สบายใจก็เอาชนะความเขินอาย นางอดถามไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ พี่ใหญ่เป็นอะไรไปเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คนเนรคุณที่จิตใจใฝ่สูงไม่คู่ควรเป็นพี่ใหญ่ของพวกเจ้า”