ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 342 ล้มเหลว
ตอนที่ 342 ล้มเหลว
แม่ทัพใหญ่ลั่ววางแผนที่จะไม่เอ่ยเรื่องในศาลาว่าการกับบุตรชายและบุตรสาวมากนัก โดยเฉพาะในยามที่เรื่องราวยังไม่เปิดเผยออกมา จึงไม่สะดวกที่จะเล่ารายละเอียดทุกเรื่องให้เข้าใจได้
ลั่วฉิงไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้จึงรอจนงานเลี้ยงแยกย้าย รั้งอยู่เพียงลำพังพลางถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านพ่อ ท่านเข้าใจพี่ใหญ่ผิดหรือไม่เจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเพียงแค่นึกว่าบุตรสาวคนรองกับผิงลี่นั้นมีความรักลึกซึ้งระหว่างพี่ชายและน้องสาวจึงเอ่ยหน้าตึงว่า “ไม่ได้เข้าใจผิด ฉิงเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าสนิทกับผิงลี่ตั้งแต่เด็กจึงไม่อาจยอมรับได้ชั่วขณะ แต่ลูกต้องจำเอาไว้ว่า เขาคือคนที่จะทำร้ายพ่อเจ้า”
สมองลั่วฉิงเกิดเสียงดังเปรี้ยงดังขึ้น ประหนึ่งเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า มีเพียงประโยคเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในนั้น ‘เขาคือคนที่จะทำร้ายพ่อเจ้า…’
เป็นไปได้อย่างไรกัน พี่ใหญ่เป็นบุตรบุญธรรมที่ท่านพ่อให้ความสำคัญมากที่สุดชัดๆ เหตุใดต้องทำร้ายท่านพ่อด้วย
หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากหางตา วาดผ่านแก้มซีดเผือดของเด็กสาว
แม่ทัพใหญ่ลั่วเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ “กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”
ลั่วฉิงยืนนิ่งไม่ขยับ “ท่านพ่อ ลูก ลูกอยากเจอพี่ใหญ่…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว “เจอเขาไปทำไม ตอนนี้เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงขององครักษ์จิ่นหลิน เจ้าซึ่งเป็นเด็กสาวคนหนึ่งไม่เหมาะที่จะไป กลับเรือนเถอะ”
ลั่วฉิงคุกเข่าลงตรงหน้าแม่ทัพใหญ่ลั่วดังตึง พลางร้องไห้อ้อนวอน “ท่านพ่อ ลูกขอร้องท่าน ท่านให้ลูกได้พบกับพี่ใหญ่สักครั้งเถอะนะเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้วเป็นปมแน่นขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจขึ้นมาทันควัน “ฉิงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกกับผิงลี่…”
เสียงร่ำไห้ของลั่วฉิงชะงักแล้วตัดสินใจเอ่ย “นานมากแล้วก่อนหน้านี้ ลูกก็วางพี่ใหญ่ไว้ในใจแล้ว…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนทันที
ผิงลี่ เจ้าเดรัจฉานนั่นถึงกับล่อลวงบุตรสาวคนรองของเขาภายใต้จมูกเขาหรือ
นี่มันเป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ หนึ่งถึงสองปีนี้ หรือว่าก่อนหน้านั้นอีก?
เพียงนึกว่า มีความเป็นไปได้มากว่า เจ้าคนเนรคุณนั่นมีเจตนาคิดไม่ซื่อกับบุตรสาวคนรองในตอนที่ยังอายุน้อย แม่ทัพใหญ่ลั่วก็โกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่
นี่ช่างเป็นการวางแผนป้องกันเสียดิบดี แต่ก็ยังพลาด เพราะคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ภายในนั้นยากจะป้องกันโดยแท้!
ไม่ถูกสิ หากบรรดาบุตรสาวถึงวัยแต่งงานแล้วมีคนมาชื่นชม เขาก็ยังคงปลื้มใจมาก แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถอดกลั้นให้บุรุษผู้หนึ่งหมายตาในตัวบุตรสาวของเขาแต่เนิ่นๆ ได้
“เจ้าเดรัจฉานนั่น พ่อจะไปฆ่าเขา!” แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินโกรธหน้าเขียวไปข้างนอก
ลั่วฉิงพุ่งเข้าไปกอดขาแม่ทัพใหญ่ลั่วเอาไว้ “ท่านพ่อ หากว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้ท่านต้องการชีวิตของพี่ใหญ่ ลูกก็มีแต่ต้องตายแล้ว…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหยุดเดิน มองบุตรสาวที่ร่ำไห้อยู่ข้างเท้าด้วยสีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
เนิ่นนานหลังจากนั้น เขาก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ รอพรุ่งนี้ให้พี่ห้าของเจ้าพาเจ้าไปพบเจ้าเดรัจฉานนั่นสักครั้ง และจะไม่มีครั้งต่อไป หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้คิดเหลวไหลอีก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วโบกมือ เป็นสัญญาณให้ลั่วฉิงออกไป
ลั่วฉิงเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น พร้อมกับถอยออกไปเงียบๆ
เมื่อเงียบสงบลง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็คลึงหว่างคิ้ว รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง
ในเรื่องชายแต่งเข้า หญิงออกเรือนเช่นการแต่งงานนี้ ทำไมบรรดาบุตรสาวถึงได้ประสบความยากลำบากขนาดนี้กันนะ
วันนี้ถูกกำหนดให้มีคนมีความสุขและมีคนเป็นทุกข์
เว่ยเชียงได้รับข่าวก็ล้มลงนั่งบนเก้าอี้ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปเนิ่นนาน
ความผิดหวังที่แผนการล้มเหลว ความหวาดกลัวที่อาจจะถูกเปิดเผย เหมือนหินยักษ์แต่ละก้อนที่กดทับเสียจนเขาสงบสติอารมณ์ไม่ได้
เนิ่นนานหลังจากนั้น เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “นายอำเภอหลิวชิงถูกนำตัวไปแล้วหรือ”
ขุนนางรับคำ
“ทางด้านผิงลี่ล่ะ”
“ทางนั้นมีข่าวส่งมาว่า ผิงลี่ถูกแม่ทัพใหญ่ลั่วควบคุมตัวเอาไว้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเชียงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา “เช่นนั้นก็สละส่วนน้อย เพื่อรักษาส่วนมากเถอะ”
ขุนนางพยักหน้าเข้าใจแล้วถอยออกไปเงียบๆ
เว่ยเชียงนั่งเหม่ออยู่นาน ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากตำหนักประชุมไป
สายลมนอกตำหนักหนาวเสียดแทงกระดูก พัดพาให้หัวใจคนหนาวเหน็บ
เขาชะงักเท้า ทอดสายตามองไปยังทิศทางหนึ่ง
ข้ามผ่านประตูวังหลายบาน นั่นก็คือสถานที่ซึ่งถนนชิงซิ่งตั้งอยู่
เขานึกว่าจะได้สมปรารถนาในไม่ช้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับมาตกม้าตายเอาเสียได้…
ขอแค่ลั่วฉือไม่ล้ม เขาก็ไม่สามารถผูกสัมพันธ์กับคุณหนูลั่วได้
หรือว่ามีแต่ต้องนั่งในตำแหน่งนั้นเท่านั้นถึงจะสามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้
นึกถึงจักรพรรดิหย่งอันที่พระพลานามัยแข็งแรง ก้นบึ้งนัยน์ตาของเว่ยเชียงก็เต็มไปด้วยความลึกล้ำ
เขาต้องรออีกนานแค่ไหน
หนึ่งปี สามปี หรือว่าต้องรอถึงสิบปี
กระทั่งหากรอคอยแล้วไม่มีวันมาถึงเล่า…
เขารอนานเกินไปแล้ว ทุกช่วงเวลาที่เฝ้ารอล้วนทรมานยิ่ง
“องค์รัชทายาท ด้านนอกอากาศหนาวนะพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเหรินเตือนเบาๆ
เว่ยเชียงพลันหันไปทางโต้วเหริน
“องค์รัชทายาท?”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า รู้สึกว่าแม่ครัวผู้นั้นของคุณหนูลั่วเหมือนกับ…ซิ่วเย่ว์ สาวใช้ของลั่วเอ๋อร์อยู่บ้าง?” เมื่อเอ่ยถึงคนที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจผู้นั้น เว่ยเชียงก็รู้สึกว่าปลายลิ้นขมปร่า
ความไม่ยินยอมและความทรมานเหล่านั้นล้วนเกิดขึ้นในคืนวันนั้นเมื่อสิบสองปีก่อน
โต้วเหรินตอบเสียงเบา “กระหม่อมมีความรู้สึกเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เว่ยเชียงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปยังทิศทางถนนชิงซิ่ง “รอจนข่าวคราวระยะนี้ผ่านไป ก็ไปเดินแถวมีหอสุราบ่อยๆ แล้วหาโอกาสยืนยันว่าใช่นางหรือไม่”
หากแม่ครัวผู้นั้นคือซิ่วเย่ว์ เรื่องที่บุตรสาวแก้วตาดวงใจของผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินรับกากเดนจวนเจิ้นหนานอ๋องเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะมีความเห็นว่าอย่างไรบ้าง
ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่ลั่วสามารถหนีพ้นจากหล่มโคลนอย่างจวนเจิ้นหนานอ๋องนี้ไปได้ หากว่ามีความเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องอีกครั้ง ด้วยความขี้สงสัยของเสด็จพ่อ ยังจะวางใจให้แม่ทัพใหญ่ลั่วอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินนี้ได้อีกหรือ
ผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินที่สูญเสียความไว้วางใจจากเสด็จพ่อจะมีจุดจบเช่นไรนั้น ไม่ต้องเอ่ยออกมาก็ชัดเจนมาก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแววตารอคอยของเว่ยเชียงโต้วเหรินก็รับคำเบาๆ
เขาเติบโตขึ้นมากับองค์รัชทายาท แทบทุกครั้งที่องค์รัชทายาทพบหน้ากับท่านหญิงชิงหยางล้วนมีเขาอยู่ด้วย
หากว่าแม่ครัวอาซิ่วของมีหอสุราคือ ซิ่วเย่ว์สาวใช้ของท่านหญิงชิงหยาง เขาก็มีความมั่นใจว่าจะจำนางได้
เว่ยเชียงหัวเราะไร้เสียง ยกเท้าเดินไปหลังตำหนัก
วันรุ่งขึ้น หิมะตกอีกแล้ว
ท้องฟ้าขมุกขมัว เกล็ดหิมะซึ่งเหมือนขนห่านโปรยปรายไม่หยุด ทำให้คนมากมายสูญเสียความกล้าที่จะออกไปข้างนอก
รองเจ้ากรมเถากลับจำเป็นต้องฝ่าหิมะออกไป เพื่อนำหนังสือลาออกที่เขียนเรียบร้อยแล้วยื่นขึ้นไป
หลังจากแม่ทัพใหญ่ลั่วผ่านปีใหม่นี้ไปได้อย่างสบายอกสบายใจจะต้องเอาเขามาลับดาบอย่างแน่นอน เขาควรพาคนในครอบครัวออกจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความขัดแย้งนี้โดยเร็ว
เมื่อเผชิญกับหนังสือลาออกของขุนนาง ว่ากันตามเหตุผล ผู้ครองแคว้นก็ควรจะกล่าวรั้งเอาไว้หลายครั้งด้วยความเกรงใจ แต่จักรพรรดิหย่งอันกลับทำเพียงพยักพระพักตร์
ทั้งราชสำนักพลันมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมา ยืนยันการพลิกสถานการณ์ของแม่ทัพใหญ่ลั่วให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อคืนล้มเหลว ดูท่าคืนนี้ยังต้องไปที่มีหอสุราอีก
ผู้ที่ฝ่าลมหิมะออกมาข้างนอกยังมีคุณหนูรองลั่วฉิงซึ่งนั่งอยู่ในเกี้ยวหลังเล็กสีเขียว
ผู้ที่เดินอยู่ข้างเกี้ยวก็คืออวิ๋นต้ง
เกี้ยวเข้าประตูหลังของศาลาว่าการองครักษ์จิ่นหลินไปอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งถึงสถานที่ซึ่งใช้คุมขังผิงลี่ถึงได้หยุดลง
“คุณหนูรอง ถึงแล้ว“ อวิ๋นต้งเอ่ย
ม่านบนเกี้ยวถูกเลิกขึ้น ลั่วฉิงค้อมกายก้าวออกมา
ผ่านไปแค่คืนเดียว แต่เด็กสาวกลับดูอิดโรยกว่าเดิมมาก สีหน้าก็ขาวเสียยิ่งกว่าหิมะที่โปรยปราย
“คุณหนูรองตามข้ามา“
นางไม่ได้ตอบ เพียงแค่หลุบตา เดินตามหลังอวิ๋นต้ง
เมื่อเข้าไปในคุกใต้ดินมืดสลัว ความหนาวเหน็บก็มากกว่าเดิม
ลั่วฉิงกระชับผ้าคลุมโดยไม่รู้ตัว สองขาคล้ายกับมีตะกั่วถ่วงเอาไว้ ก้าวเท้าไม่ออกอยู่บ้าง
“นายท่านห้า“
”เปิดประตู“
ประตูเปิดออก อวิ๋นต้งเอ่ยเตือนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “คุณหนูรองเข้าไปเถอะ อย่าอยู่ข้างในนานเกินไปนัก”
ลั่วฉิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วเดินเข้าไป
นางเพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน ลั่วเซิงก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าอวิ๋นต้ง
“พี่รองข้าเข้าไปแล้วหรือ“