ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 351 ปิดคดี
แม่ทัพใหญ่ลั่วกินอาหารมื้อหนึ่งอย่างไม่พึงพอใจ อย่างไรเสีย แม้ว่าอาหารที่ยกมาบนโต๊ะล้วนอร่อย แต่อาหารที่ไม่ได้กินต่างหากที่อร่อยที่สุด
เว่ยหานเองก็กินอาหารอย่างไม่สงบสุขเช่นกัน
คุณหนูลั่วบอกว่า หอสุราหยุดพักกิจการถึงเทศกาลโคมไฟก็ผ่านไปอย่างทรมานแล้ว หากว่ายังหยุดพักกิจการล่วงหน้า เช่นนั้นคงไม่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้แล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วเช็ดปาก ลุกขึ้นยืน “เซิงเอ๋อร์ กลับจวนกับพ่อเถอะ”
ลั่วเซิงพยักหน้าตกลง รับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะที่โค่วเอ๋อร์ยื่นมาสวมให้เรียบร้อย
“ท่านอ๋องค่อยๆ ทานนะขอรับ” แม่ทัพใหญ่ลั่วทักทายด้วยความเกรงใจ ในใจก็คิดอย่างไม่สบอารมณ์ ‘ไคหยางอ๋องช่างกินจุเสียจริง’
เว่ยหานเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ข้ากินเสร็จแล้ว”
ทั้งสามคนเดินเรียงกันออกจากประตูใหญ่ของหอสุราไป
ลมหนาวซึ่งมีเกล็ดหิมะปะปนปะทะเข้าสู่ใบหน้า ม้วนหอบปลายผมและชายอาภรณ์ให้เลิกขึ้นอย่างไร้ความปรานี
ร่มสีเขียวคันหนึ่งกางออก ปกคลุมอยู่เหนือศีรษะลั่วเซิง
เว่ยหานต้านทานสายตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยไอสังหารของแม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยสีหน้าสบายใจ “คุณหนูลั่วใช้ร่มคันนี้เถอะ ร่มนี้คันใหญ่”
เหตุผลเรียบง่ายขนาดนี้ ลั่วเซิงยังจะพูดอะไรได้ จึงรับร่มมาแล้วเอ่ยขอบคุณอย่างเกรงใจ
แม่ทัพใหญ่ลั่วยังไม่ทันได้เอ่ยปากว่า “ข้ามีร่ม” ก็ทำได้แค่กลืนลงไปเงียบๆ
ระหว่างทางกลับจวน แม่ทัพใหญ่ลั่วอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีก สุดท้ายก็อดไม่ไหว ถามว่า “เซิงเอ๋อร์ เจ้ากับไคหยางอ๋อง…”
สรุปว่ามีความคืบหน้ากันไปถึงขั้นไหนแล้วหรือ
ไคหยางอ๋องฐานะสูงส่งมาก ตอนนี้จึงไม่มีหนทางที่จะทำอะไรเจ้าหนุ่มนี่ได้ นอกจากเจ้าเด็กนี่จะกลายเป็นลูกเขยเขา เขาถึงจะสามารถคิดบัญชีย้อนหลังได้
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวอย่างกระตือรือร้น ในใจมีเพียงความคิดเดียว ‘เซิงเอ๋อร์ เจ้าต้องมุมานะล่ะ!’
เมื่อเห็นท่าทางของแม่ทัพใหญ่ลั่ว คล้ายจะสงสัยในความสัมพันธ์ของนางกับไคหยางอ๋อง
ทว่า…เมื่อท่านพ่อเกิดความสงสัยแบบนี้ขึ้นมาแล้ว ไม่นึกโกรธหรือไร
นางถึงขั้นมองออกถึงประกายรอคอยหลายส่วน
แบบนี้ ลั่วเซิงกลับเดาความหมายที่แม่ทัพใหญ่ลั่วถามไม่ออกเสียแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองซ้ายขวา
องครักษ์ที่ติดตามมาล้วนเดินอยู่ข้างหลัง ยังมีอีกสองคนที่ยืนถือโคมไฟอยู่ข้างหน้า
พวกนี้ล้วนเป็นคนสนิท ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกได้ยิน
แม่ทัพใหญ่ลั่วกดเสียงลงต่ำ “แค่กๆ พ่อคิดว่าไคหยางอ๋องปฏิบัติต่อเจ้าไม่เลวเลย เขาชอบเจ้าใช่หรือไม่”
หากเป็นหญิงสาวทั่วไป บทสนทนาประเภทนี้ไม่สมควรปรากฏขึ้น แต่เซิงเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน
ภายใต้การจับตามองของแม่ทัพใหญ่ลั่ว สีหน้าลั่วเซิงแทบไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลง นางส่ายหน้า เอ่ยว่า “ไม่เจ้าค่ะ ไคหยางอ๋องเพียงแค่ชอบกินเท่านั้น”
ตอนนี้นางมองออกแล้วว่า แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังเฝ้ารอให้บุตรสาวรีบแต่งออกไป
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้น อย่าสร้างความเข้าใจผิดว่านางวางแผนจะแต่งออกไปเลยดีกว่า
ลั่วเซิงมองแม่ทัพใหญ่ลั่วด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะเจ้าค่ะ ลูกตั้งใจว่าจะไม่แต่งงาน อยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านที่จวนไปตลอดชีวิต”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหายใจติดขัด มุมปากกระตุกอย่างควบคุมไม่อยู่
วันปีใหม่ พูดวาจาชวนหมดกำลังใจอะไรเช่นนี้ให้เขาตกใจกัน!
“เซิงเอ๋อร์…” แม้ว่าจะไม่ยินยอมอย่างยิ่ง แต่แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยังคงชมเชยเว่ยหานอยู่ดี “ความจริงแล้วไคหยางอ๋องก็ไม่เลวเลย หากเขาจริงใจกับเจ้าก็ลองพิจารณาดูสักหน่อย…”
หลายปีมานี้ แม้ว่ามีแม่สื่อมาหาที่จวน แต่เพียงแค่เรื่องที่ไคหยางอ๋องกินอาหารคนเดียวในคืนวันนี้ ตอนที่พิจารณาตัวเลือกผู้ที่จะเป็นบุตรเขย เขาก็ไม่มีทางมองเจ้าเด็กนั่นสักแวบเดียว
ลั่วเซิงขมวดคิ้ว “ลูกรู้สึกว่าตอนนี้ก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างข้างบนยังมีพี่ใหญ่กับพี่รอง ลูกไม่รีบร้อน”
นึกถึงบุตรสาวคนโตกับบุตรสาวคนรอง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็หายใจติดขัด ถึงขั้นรู้สึกเจ็บปวดราวกับหัวใจถูกบีบเล็กน้อย
ตอนนี้บุตรสาวสองคนนี้ทำให้เขากังวลใจยิ่งกว่าเซิงเอ๋อร์เสียอีก
แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ขัดมโนธรรมในใจเอ่ยชมไคหยางอ๋องอีก เอ่ยเสียงเข้มว่า “เรื่องของผิงลี่ พ่อกำชับคนในจวนทั้งบนและล่างแล้วว่า อย่าให้พี่รองของเจ้ารู้เรื่องชั่วคราว”
ลั่วเซิงพยักหน้า เป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว
เมื่อเห็นว่าถึงประตูจวนลั่ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “เซิงเอ๋อร์ ปิดหอสุราให้เร็วหน่อย แล้วตั้งใจฉลองปีใหม่เถอะ”
ในเมื่อเซิงเอ๋อร์ไม่มีความคิดจะแต่งงานชั่วคราว เช่นนั้นไคหยางอ๋องจะยังมีประโยชน์อะไร ปิดหอสุราเร็วหน่อย จะได้ทำให้เขากินไม่ได้
เหอะ กินอาหารคนเดียว
เรื่องของแม่ทัพใหญ่ลั่วในครั้งนี้มีบทสรุปแล้ว
นายอำเภอหลิวชิงยอมรับสารภาพว่า ได้รับการบงการจากผิงลี่ บุตรชายบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ลั่ว และนักฆ่าที่ลอบสังหารนายอำเภอหลิวชิงก็สารภาพว่า ผิงลี่จ่ายเงินให้เขาฆ่าปิดปากนายอำเภอหลิวชิง
ผิงลี่ตายไปแล้ว ส่วนเหตุผลที่ทำเช่นนี้ก็ทำได้แค่อาศัยการคาดเดา สาเหตุนั้นก็เดาได้ไม่ยาก แน่นอนว่าเพื่อจะกลายเป็นผู้นำองครักษ์จิ่นหลิน ไม่ยินยอมจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแม่ทัพใหญ่ลั่วไปตลอด
และสิ่งที่ทำให้ผู้คนหวั่นกลัวก็คือ กลุ่มนักฆ่าลึกลับนั่น เมื่อเห็นว่าเรื่องราวถูกเปิดเผยออกมาก็ถึงกับฆ่าปิดปากผิงลี่ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิงลี่สารภาพข้อมูลของกลุ่มนักฆ่าออกมา
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งบนและล่างราชสำนัก มีคนไม่น้อยที่นึกหวาดผวา
ถึงกับมีสิ่งที่ดำรงอยู่โดยไม่ถูกควบคุมจากราชสำนัก ขอแค่ให้เงิน คิดจะฆ่าใครก็ฆ่าได้
ซี๊ด…เมื่อก่อนที่ผิงหนานอ๋องประสบกับการลอบสังหารบนถนนชิงซิ่งก็คือคนของกลุ่มนักฆ่านี้ทำสินะ
ในใจขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยคน คดีที่ผิงหนานอ๋องประสบกับการลอบสังหารซึ่งยังปิดไม่ได้ก็นับว่ามีคำตอบแล้ว
ในศาลาว่าการกรมยุติธรรม หลินเถิงมีสีหน้าจริงจัง “ข้าน้อยรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องเดียวกันขอรับ”
เสนาบดีจ้าวเกือบจะกระเด้งตัวขึ้นมา “ทำไมถึงไม่ใช่เรื่องเดียวกัน มันคือเรื่องเดียวกัน รีบปิดคดีเสีย!”
ปิดคดีแล้ว จะได้ฉลองปีใหม่อย่างมีความสุข
ได้ยินมาว่า ตอนปีใหม่ มีหอสุราจะหยุดพักกิจการ เดิมอารมณ์ก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หลินเถิง เจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่ยังจะดื้อดึงอีก…
“มีหลักฐานไหม” เสนาบดีจ้าวเอ่ยตัดบทหลินเถิง
หลินเถิงเงียบ
“มีคนที่สงสัยหรือไม่”
หลินเถิงยังคงเงียบ
เสนาบดีจ้าวสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีหลักฐาน ไม่มีผู้ต้องสงสัย เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า รีบปิดคดีเสีย ฉวยโอกาสที่มีหอสุรายังไม่หยุดพักกิจการ ไปร่ำสุราไป”
หลินเถิงลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
หลักฐานไม่มี หากจะกล่าวถึงผู้ต้องสงสัย…
ความจริงแล้วก็ไม่มีสิ่งให้อ้างอิง เพียงแต่เขามักจะอดนึกถึงงูเขียวที่หยิบออกมาจากโพรงต้นไม้ตัวนั้นแล้วนึกเชื่อมโยงถึงคนคนหนึ่งไม่ได้
ไม่คิดแล้ว ในเมื่อใต้เท้ายืนกรานว่าจะปิดคดี เช่นนั้นก็เอาตามนี้ไปก่อนชั่วคราวแล้วกัน
จักรพรรดิหย่งอันพลิกอ่านบันทึกคดีแล้วเรียกตัวแม่ทัพใหญ่ลั่วเข้าวังมาตำหนิ
“เจ้าดูแลควบคุมองครักษ์จิ่นหลินมานานหลายปีขนาดนี้ ผิงลี่ผู้นั้นยังเป็นคนที่เจ้าเลี้ยงมาเองจนเติบใหญ่ ถึงกับถูกเล่นงานง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมีสีหน้าละอายใจ “กระหม่อมไร้ความสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิหย่งอันโบกมือรำคาญ “ถอยออกไปเถอะ หลังจากนี้หากทำให้บรรยากาศสังคมเต็มไปด้วยเหตุร้ายอีก จะเปลี่ยนผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินเป็นคนอื่นมาทำแทน”
แม่ทัพใหญ่ลั่วทูลลาด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อเดินออกมาจากประตูวังที่สูงและหนักอึ้ง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ
ครั้งนี้ นับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายเช่นกัน
ผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินที่สามารถทำงานส่วนใหญ่ขององครักษ์จิ่นหลินได้อย่างราบรื่น แต่บางครั้งก็ประมาทเลินเล่อผู้หนึ่ง คิดว่าจะสามารถปลอบขวัญพระทัยที่ขี้ระแวงของฝ่าบาทได้มากกว่า
การสะดุดล้มในครั้งนี้ ถือว่าลุกขึ้นมาได้แล้ว
และเรื่องในครั้งนี้ ยังทิ้งความหวั่นวิตกไว้ให้ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยคนด้วย
ความจริงถูกเปิดเผยออกมาแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับไม่มีราชโองการให้จัดการบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องให้ตาย แต่กักบริเวณบุตรชายเจิ้นหนานอ๋องแทน
สิบสองปีก่อน จวนเจิ้นหนานอ๋องมีโทษซ่องสุมกำลังคนก่อการกบฏจึงถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล ตอนนี้เหตุใดฝ่าบาทถึงได้เก็บชีวิตบุตรชายของเจิ้นหนานอ๋องเอาไว้กัน