ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 355 หวาน
ตอนที่ 355 หวาน
สวี่ฟางได้สติคืนมาก็ตามไปข้างหน้าสองก้าว แต่ไหนเลยจะตามทัน เห็นเพียงเงาร่างของสวี่ซีเลือนหายไปจากหัวมุมทั้งแบบนั้น
ลมหนาวพัดใส่ร่างนางอย่างไร้ความปรานี พัดเสื้อคลุมขนหาว[1]กลางเก่ากลางใหม่เสียจนลอยขึ้นจนเห็นรูปร่างผอมบางของนาง
สวี่ฟางไม่ได้มีรูปร่างอ่อนแอและผอมบาง ในทางตรงกันข้ามกลับสดใสและเปิดเผย แต่หลายวันมานี้ผอมลงไปมาก ดูแล้วบอบบางเหมือนเพียงลมพัดก็ปลิวได้
บนถนนมีคนเดินน้อยมาก สวี่ฟางมองทางด้านหน้าที่ว่างเปล่าแล้วก็รู้สึกหนาวลึกไปถึงกระดูก
นางกระชับเสื้อคลุมที่ปลิวไปตามสายลมอย่างรู้สึกไม่มีที่ให้ไปชั่วขณะ
สาวใช้ที่ยืนอยู่ห่างๆ เขยิบเข้ามาเพราะการโต้เถียงกันของสองพี่น้อง เกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวัง “คุณหนู กลับห้องเถอะเจ้าค่ะ ข้างนอกหนาวเกินไปแล้ว”
สวี่ฟางถอนสายตากลับมา แล้วมองไปยังประตูสีแดงบานใหญ่ของจวนฉางชุนโหวซึ่งปิดสนิทที่อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง
สิงโตหินที่นั่งอยู่หน้าประตูใหญ่เย็นเยียบและนิ่งเงียบ เหมือนกับอารมณ์ของนางในตอนนี้พอดี
บ้านแห่งนี้ นางไม่อยากเลยอยู่สักนาทีเดียว
ไม่สิ นับตั้งแต่มารดาจากไป นางก็ไม่มีบ้านอีกแล้ว
นางนึกว่า นางยังมีน้องชายให้พึ่งพากันเพื่อความอยู่รอดได้ แต่หากน้องชายเป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะกลายเป็นอันธพาลที่ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ถึงตอนนั้น กระทั่งน้องชาย นางก็ไม่มีแล้ว
นางจะยังมีอันใดอีก
สวี่ฟางยกมือสองข้างขึ้นมาปิดดวงหน้า ร่ำไห้เงียบๆ
นางมีแต่ความเกลียดชังเต็มอก แต่กลับมีความสามารถไม่พอ
เด็กสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวใบหน้าซีดขาว ตัวสั่นระริก
สาวใช้อดเกลี้ยกล่อมอีกครั้งไม่ได้ “คุณหนู กลับเถอะเจ้าค่ะ หากท่านไม่สบาย คนที่จะเสียเปรียบก็คือตนเอง…”
สวี่ฟางวางมือลง มองสาวใช้ที่เกลี้ยกล่อมนาง
สวี่ฟางกระตุกมุมปากเล็กน้อย แย้มรอยยิ้มเยาะตนเองออกมา
พูดไปแล้ว หงเย่ว์ สาวใช้คนสนิทของนาง ก็มีท่านน้าฮูหยินหนิงกั๋วกงเป็นผู้มอบให้
พวกแม่เลี้ยงไม่กล้าทำเกินไป เนื่องจากหงเย่ว์มาจากจวนหนิงกั๋วกง กระทั่งสัญญาขายตัวก็ยังอยู่ที่จวนหนิงกั๋วกง
น้องชายโทษเพียงนางประจบท่านน้า แต่กลับไม่รู้เลยว่าตอนที่นางไปจวนหนิงกั๋วกงนั้นถูกคนเรียกอย่างเกรงอกเกรงใจว่าคุณหนูหลานนอก เมื่อกลับมาจวนฉางชุนโหวแล้ว ไม่ได้ถูกลดหักข้าวของและทรมาน กระทั่งสามารถช่วยเหลือน้องชายได้ นั่นแลกเปลี่ยนจากความใกล้ชิดท่านน้า
นอกจากญาติสายเลือดเดียวกัน บนโลกใบนี้ไหนเลยจะมีคนที่ดีต่อผู้อื่นอย่างไม่มีเหตุผลอยู่อีก
มารดามีความสัมพันธ์อันดีกับท่านน้า หลังมารดาจากไป แม้ว่าท่านน้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์นี้ ให้การดูแลพวกเขาที่ยังเด็กอยู่ แต่เมื่อประตูสูงใหญ่ของจวนฉางชุนโหวปิดลง จะสามารถดูแลได้ถึงไหนกัน
หนึ่งวัน สองวัน หนึ่งปี สองปีที่ไม่มีมารดา ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันก็จะค่อยๆ ห่างเหินกันไป
นางหน้าด้านอยู่ข้างกายท่านน้าเป็นเวลานาน แม้ว่ามีความคิดที่จะหยิบยืมอิทธิพลอำนาจเพื่อช่วยเหลือ แต่ความเคารพที่มีต่อท่านน้านั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ได้เสแสร้ง
หัวใจคนเราคือก้อนเนื้อ ท่านน้าถึงเห็นนางเป็นเหมือนบุตรสาวครึ่งหนึ่ง นางถึงได้มีอิสระในการเข้าออกจวนฉางชุนโหว
แต่ในสายตาน้องชาย นางผู้เป็นพี่สาวคนนี้กลายเป็นคนที่เอาตัวรอดไปวันๆ
“คุณหนู…”
สวี่ฟางกะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ไม่อยากกลับ”
หงเย่ว์ได้ยินแล้วก็ปวดใจ
ประโยคไม่อยากกลับประโยคหนึ่ง ไม่มีใครเข้าใจความลำบากใจของคุณหนูไปมากกว่านางแล้ว
นางแข็งใจเกลี้ยกล่อมไม่ลง เอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นบ่าวจะเดินเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ”
“อืม” สวี่ฟางรับคำเบาๆ เดินตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
หิมะเริ่มโปรยปรายอีกแล้ว
ท้องฟ้าขมุกขมัว เกล็ดหิมะพากันร่วงหล่น ทำให้ผู้คนที่เดินถนนพากันเร่งฝีเท้า
อากาศหนาวเย็นจนแทบจะตัวแข็งเช่นนี้ ใครก็ไม่อยากเสียเวลาบนถนน
สวี่ฟางเดินเอื่อยเฉื่อยไปบนถนนชิงซิ่ง รอจนได้สติกลับคืนมาก็ยืนอยู่หน้าประตูมีหอสุราแล้ว
เพิ่งจะผ่านเวลาเที่ยงไป ยังห่างจากเวลาเปิดทำการของมีหอสุราอีกระยะหนึ่ง กระทั่งธงสุราสีเขียวซึ่งปลิวไสวอยู่กลางลมหนาวก็ยังแสดงให้เห็นถึงความหมดอาลัยตายอยากหลายส่วน
หน้าประตูหอสุรากลับครึกครื้น
สาวใช้สวมเสื้อกั๊กตัวยาวสีแดงกำลังตะโกนไปทางประตู “สือซานหั่ว เจ้ามัวโอ้เอ้อยู่ข้างในทำไม รีบออกมาจับนกกระจอกเร็วเข้า”
ไม่นานนัก ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากข้างใน ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มเกียจคร้าน “หิมะเพิ่งตก นกกระจอกล้วนไปแอบหมดแล้ว เข้าไปกินมันเทศเผาข้างในร้านเถอะ”
จับนกกระจอกอะไรกัน จับแล้วก็ไม่ได้กิน
นึกถึงครั้งที่แล้วที่ดีอกดีใจที่จับนกกระจอกได้พวงหนึ่ง ทั้งหมดล้วนลงไปอยู่ในท้องของนายท่านแล้ว ก็ช่างเถอะ เขายังถูกหงโต้วถือพลองไล่สังหารจนต้องวิ่งรอบลานบ้านไปหลายสิบรอบจึงรู้สึกว่าการจับนกกระจอกเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
มีเวลาว่างมาทำเรื่องนี้ นั่งกินมันเทศเผาในห้องโถงใหญ่ที่อบอุ่นไม่อร่อยกว่าหรือ
หงโต้วได้ยินคำว่ามันเทศเผาก็โยนความคิดที่จะจับนกกระจอกทิ้งไปทันที “อาซิ่วปิ้งมันเผาหรือ”
สือเยี่ยนรีบพยักหน้า “คุณหนูลั่วกับอาซิ่วปิ้งด้วยกัน อยู่ในห้องโถงใหญ่น่ะ”
หงโต้วนัยน์ตาเปล่งประกาย ก้าวเท้าจะวิ่งไปข้างใน
ตอนนี้เองสือเยี่ยนก็มองเห็นสวี่ฟางซึ่งยืนเงียบๆ อยู่ไม่ไกลจึงดึงหงโต้วเอาไว้ตามจิตใต้สำนึก
“ทำอะไรน่ะ” หงโต้วถลึงตามองสือเยี่ยนอย่างไม่เข้าใจ
สือเยี่ยนบุ้ยปากไปทางสวี่ฟาง
หงโต้วหันหน้ากลับมา กะพริบตาปริบๆ “คุณหนูใหญ่สวี่?”
นางค่อนข้างมีความทรงจำลึกซึ้งต่อคุณหนูใหญ่สวี่
ช่วงเวลาที่เกิดเรื่องขึ้นแม่ทัพใหญ่ มีหอสุราหนาวเย็นเงียบสงัด แม้ว่าคุณหนูใหญ่สวี่จะไม่เคยมาร่ำสุรา แต่กลับใช้ให้สาวใช้มาส่งดอกไม้ผ้าซึ่งใช้ประดับศีรษะกล่องหนึ่ง
นางจำได้ชัดเจน ดอกไม้ผ้าซึ่งใช้ประดับศีรษะนั่นดูแล้วเหมือนจริง กระทั่งมีกลิ่นหอมด้วย
คุณหนูบอกว่าเป็นเพราะพรมน้ำหอม ยังบอกอีกว่าคุณหนูใหญ่สวี่เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องคนหนึ่ง
แบบนี้ล่ะก็ ให้คุณหนูใหญ่สวี่เป็นผู้ติดตามคุณหนูของพวกนางก็ยังพอไหว
หงโต้วพลันมีใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณหนูใหญ่สวี่มาร่ำสุราหรือเจ้าคะ”
สวี่ฟางเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ส่ายหน้าอย่างยากลำบาก “ไม่ดื่มสุรา”
นางไหนเลยจะมีอารมณ์มาร่ำสุรา
หงโต้วเอียงคอพิจารณามองสวี่ฟางแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “คุณหนูใหญ่สวี่อารมณ์ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
สวี่ฟางขยับริมฝีปาก คิดจะปฏิเสธถามจิตใต้สำนึก
หงโต้วหัวเราะเหอะๆ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ต้องดื่มสุราเจ้าค่ะ ไม่ได้พูดกันว่า อาศัยสุราดับทุกข์…”
สือเยี่ยนที่อยู่อีกด้านรีบหยุดนาง เตือนเสียงเบาว่า “ผิดแล้ว!”
พวกเขาซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทติดตามข้างกายนายท่าน เพราะมุ่งความสนใจไปที่การร่ำเรียนวิทยายุทธ์จึงเรียนหนังสือน้อยมาก คิดไม่ถึงว่าพี่หงโต้วจะมีความรู้น้อยยิ่งกว่า
“อ้อ เหล้าสามารถคลายความทุกข์ใจได้!” หงโต้วเค้นรอยหยักในสมอง สุดท้ายก็นึกถึงคำที่ถูกต้องได้
“ขอบคุณนะ ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” สวี่ฟางยิ้ม หมุนตัวจะจากไป
จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงเลอะเลือนจนเดินมาถึงที่นี่ได้
“คุณหนูใหญ่สวี่หรือ” เสียงใสประหนึ่งสายน้ำของเด็กสาวดังลอยมาจากด้านหลัง
สวี่ฟางชะงักเท้า หมุนตัวกลับมา
เด็กสาวในชุดสีพื้นทั้งร่างยืนอยู่นอกประตู กำลังมองนางด้วยท่าทางสงบนิ่ง
“คุณหนูลั่ว…” สวี่ฟางอ้าปาก ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงก้าวเท้าไม่ออก
ลั่วเซิงเดินเข้ามา จับมือสวี่ฟางไว้
อาจจะเพราะอยู่ข้างนอกนานเกินไป มือข้างนั้นจึงเย็นเยือก เย็นเสียกว่าเกล็ดหิมะที่โปรยปรายอยู่เสียอีก
ลั่วเซิงถอนหายใจในใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เข้าไปเถอะ มีมันเทศเผากิน”
สวี่ฟางกัดริมฝีปาก ถามเสียงเบา “มันเทศเผาหวานหรือไม่”
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้ม “หวานมาก คุณหนูใหญ่สวี่ชิมดูก็รู้แล้ว”
สวี่ฟางยืนนิ่งแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
สองคนจับมือกันเดินเข้าไปในหอสุรา
ในห้องโถงใหญ่ ข้างเตาอบที่ไม่รู้ว่าย้ายมาจากที่ใดมีผู้คนล้อมอยู่เต็ม อากาศล้วนมีกลิ่นหอมหวานของมันเทศเผา
หงโต้วเร่งไม่หยุด “อาซิ่ว เสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว” ซิ่วเย่ว์เหลือบตาขึ้นก็เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือสวี่ฟาง
[1] หาวจื่อ 貉子 คือ แร็คคูน