ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 359 ไล่ออกจากตระกูล
ตอนที่ 359 ไล่ออกจากตระกูล
สวี่ฟางสมองดังวิ้งๆ สีเลือดบนใบหน้าเลือนหายไปในเสี้ยววินาที
ไล่น้องชายออกจากจวนหรือ
ในโลกที่ระบบศักดินาอยู่เหนือกฎหมาย คนที่สูญเสียการคุ้มครองจากตระกูลไปจะน่าเวทนาเพียงใด ไม่ต้องพูดก็รู้แล้ว
สมองสวี่ฟางขาวโพลน ดวงหน้าซีดเผือดเอ่ยลาลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว ที่บ้านข้ามีธุระนิดหน่อย คงต้องกลับก่อนแล้ว…”
แววตาลั่วเซิงมีความชื่นชม
มองคนผู้หนึ่งเป็นอย่างไร ให้มองในยามวิกฤต
ในเวลาเช่นนี้ สวี่ฟางยังจำได้ว่าต้องบอกลานาง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่สามารถสงบอารมณ์ได้
ลั่วเซิงเดินไปข้างกายสวี่ฟาง เอ่ยเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่สวี่ การจัดการกับคนที่ไร้หนทางให้ถอย มีเพียงแต่ต้องสู้จนตัวตาย ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด”
การจัดการกับคนที่ไร้หนทางให้ถอย มีเพียงแต่ต้องสู้จนตัวตาย คนผู้นั้นอาจจะก้าวไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ ตัดสินใจสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จก็ได้
สวี่ฟางมองนางอึ้งๆ
ลั่วเซิงเอ่ยเบาๆ สองสามประโยคแล้วเปิดทางให้ “ในเมื่อที่บ้านคุณหนูใหญ่สวี่มีธุระ เช่นนั้นก็รีบกลับไปเถอะ”
สวี่ฟางเดินตามคนที่มารายงานข่าวไปอย่างเร่งรีบ
โค่วเอ๋อร์เร่งฝีเท้าเข้ามา เขยิบเข้าไปข้างหูลั่วเซิงแล้วเอ่ยสองสามประโยค
“ตามไปจริงๆ หรือ หยางซื่อโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ” ลั่วเซิงโค้งริมฝีปากยิ้มเยาะ “ไป ไปดูเรื่องสนุกกัน”
คุณหนูลั่วอยากไปดูเรื่องสนุก ต้องมีเหตุผลด้วยหรือ ย่อมอยากไปก็ไป บอกว่าจะไปก็ไปเลย
หิมะที่ยังตกอยู่ถูกลมม้วนเข้าไปในสาบเสื้อผู้คน
สวี่ฟางเร่งรีบกลับจวนฉางชุนโหว ระหว่างทางข้ารับใช้ก็ทอดสายตาประหลาดมองมา
นางเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร
เมื่อน้องชายถูกลบชื่อออกจากตระกูล นางซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่คนหนึ่งก็ยิ่งกลายเป็นคนไม่มีที่พึ่งพิง
แต่ตอนนี้นางกำลังวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องโถงโดยที่ไม่มีเวลามาสนใจสิ่งเหล่านี้
ภายในห้องโถงอบอุ่นดังฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศกดดันกลับพุ่งเข้าใส่ใบหน้า
สวี่ฟางเห็นเด็กหนุ่มซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นทันที
“น้องชาย…”
ฉางชุนโหวมองบุตรสาวคนโตที่เดินเข้ามาพร้อมไอเย็นด้วยสีหน้าบึ้งตึง พลางตวาดว่า “เจ้ายังรู้จักจะกลับมาอีก!”
“ท่านพ่อ ข้าได้ยินว่าท่านจะไล่น้องชายออกจากตระกูล…”
“ถูกต้อง” ฉางชุนโหวตัดสินใจแล้วก็รู้สึกผ่อนคลาย ดวงหน้าเย็นเยียบ “เจ้าลูกทรพีคนนี้ถึงกับวิ่งแจ้นไปเล่นพนัน แพ้เงินพนันไปห้าพันตำลึงเงิน หากเป็นแบบนี้ต่อไป ช้าเร็วครอบครัวนี้คงถูกเขาผลาญเงินจนหมดสิ้น!”
“ท่านพ่อ น้องชายเลอะเลือนไปชั่วขณะ ท่านให้โอกาสเขาอีกครั้งเถอะนะเจ้าคะ”
ฉางชุนโหวยิ้มเยาะ “เลอะเลือนชั่วขณะหรือ ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าลูกทรพีคนนี้ก่อเรื่องมากี่ครั้งแล้ว เขาจะเลอะเลือนไปถึงเมื่อใด เล่นพนันไม่เหมือนกับเรื่องอื่น ข้าไม่เคยเห็นคนที่หมกมุ่นกับการพนันสามารถเลิกได้สักคน”
สวี่ฟางคุกเข่าดังตึง น้ำตานองหน้า “ท่านพ่อ น้องชายเป็นบุตรชายของท่านพ่อนะเจ้าคะ เขาไม่ใช่คนอื่น…”
ตอนนี้ นางยิ่งตระหนักได้ว่า บุคคลที่เรียกว่า ท่านพ่อผู้นี้ใจดำเพียงใด
คนที่ทำตัวลอยเหนือปัญหาย่อมรู้ว่า คนที่ติดการพนันนั้นเลิกได้ยาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุตรชายตนเอง จะมีสักกี่คนที่ตัดขาดความสัมพันธ์บิดาและบุตรได้อย่างไม่ลังเลเช่นนี้
ว่าแล้วเชียวว่า การระมัดระวังตัวของนางในหลายปีมานี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากยังไร้เดียงสา นึกว่าเขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรสาว เกรงว่าคงต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงนานแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับคำวิงวอนของสวี่ฟาง ฉางชุนโหวกลับไม่สะทกสะท้าน เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ไล่เจ้าลูกอกตัญญูคนนี้ออกจากตระกูลก็เพื่อทั้งจวนโหว ข้าเป็นผู้นำครอบครัว ต้องรับผิดชอบทั้งตระกูลสวี่ ไม่สามารถพะเน้าพะนอ ให้ท้ายเจ้าลูกทรพีคนนี้เพียงเพราะเขาเป็นบุตรชายข้า”
“ท่านพ่อ น้องชายอายุแค่สิบห้าปี หากถูกไล่ออกไป ก็ไม่มีหนทางที่จะมีชีวิตรอดแล้วนะเจ้าคะ…”
ฉางชุนโหวตัดบทสวี่ฟางอย่างหงุดหงิด “ฟางเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมอีก ข้าตัดสินใจแล้ว”
สวี่ฟางน้ำตารินไหล มองไปทางสวี่ซี
สวี่ซีคุกเข่านิ่งๆ เหมือนรูปปั้นดินเหนียว
“น้องชาย…เจ้าพูดอะไรหน่อยสิ!”
เมื่อได้ยินวาจาของสวี่ฟาง สวี่ซีก็มองฉางชุนโหวด้วยใบหน้าซีดขาว ซ่อนความหวังเอาไว้ในก้นบึ้งนัยน์ตา
ถึงตอนนี้ เขายังคงไม่เชื่อว่าจะถูกท่านพ่อไล่ออกจากตระกูล
จนกระทั่งได้เห็นฉางชุนโหวเขียนหนังสือขับออกจากตระกูลกับตา ดวงหน้าของเด็กหนุ่มจึงซีดเผือด
สวี่ฟางคลานเข่าไปตรงหน้าฉางชุนโหว วิงวอนขอร้อง “ท่านพ่อ ขอร้องท่านให้โอกาสในการปรับปรุงตัวกับน้องชายอีกครั้งเถอะนะเจ้าคะ”
ฉางชุนโหวเอ่ยเสียงเย็น “หนังสือขับออกจากตระกูลเขียนเรียบร้อยแล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะปรับปรุงอีก!”
สวี่ฟางเงยหน้า กัดฟันเอ่ย “ท่านพ่อ หากท่านยืนกรานจะไล่น้องชายออกจากตระกูล เช่นนั้นก็ไล่ลูกออกจากตระกูลไปด้วยกันเลยเจ้าค่ะ”
สวี่ซีหันขวับไปมองสวี่ฟาง แววตาเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึง
เขาไม่เคยคิดเลยว่า สวี่ฟางจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
ตอนเยาว์วัยที่เขารั้งตัวอยู่ในจวนโหวอย่างโดดเดี่ยว พี่ใหญ่สนใจแต่จะวิ่งไปเอาอกเอาใจท่านน้า ตอนนี้นางถึงกับยินยอมถูกไล่ออกจากตระกูลเพื่อเขาหรือ
หากว่าบุตรชายถูกไล่ออกจากตระกูลก็มีแต่จะพบกับความเวทนา เด็กสาวก็แทบจะมีแต่ทางตันเพียงอย่างเดียว
เด็กหนุ่มมองพี่สาวอึ้งๆ จิตใจซับซ้อนอย่างยิ่ง
ฉางชุนโหวจ้องสวี่ฟางด้วยสีหน้าอึมครึม “ฟางเอ๋อร์ เจ้ากำลังขู่ข้าหรือ”
สวี่ฟางโขกศีรษะลงบนพื้นเย็นเยียบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หน้าผากเกลี้ยงเกลาก็แดงเสียแล้ว
“ลูกจะขู่ท่านพ่อได้อย่างไรเจ้าคะ ลูกหักใจมองน้องชายที่อายุยังน้อยถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วปล่อยไปตามยถากรรมไม่ได้ ท่านพ่อได้โปรดไล่ข้าออกจากตระกูลไปพร้อมกันด้วยเถอะเจ้าค่ะ ให้ข้าได้ดูแลน้องชายหลังจากนี้…”
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาดูแล!” สวี่ซีตะโกนตัดบทสวี่ฟาง “เรื่องของข้าไม่เกี่ยวกับท่าน ไม่ต้องให้ท่านมายุ่ง!”
ถึงตอนนี้ สวี่ซีลืมความหวาดกลัวที่จะถูกไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว แต่ถูกความหวาดกลัวที่มากยิ่งกว่ากลบท่วม
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจพี่สาวคนนี้ แต่นี่ก็เป็นพี่สาวเพียงคนเดียวของเขา เขาไม่อยากเห็นนางรนหาที่ตาย
“พอแล้ว ไม่ต้องโวยวายแล้ว! พวกเจ้าประคองคุณหนูใหญ่กลับเรือนไป” ฉางชุนโหวมองบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งอย่างเมินเฉยแล้วสั่งเสียงเย็น
แน่นอนว่า เขาไม่มีทางไล่บุตรสาวคนโตออกจากตระกูลไปด้วยกัน
ความสารเลวของบุตรชายคนโตในวันนี้ล้วนอยู่ในสายตาเพื่อนบ้าน แม้ว่าการตัดสินใจเช่นนี้ของเขาจะไม่มีใครวิจารณ์ในทางลบ แต่หากไล่บุตรสาวคนโตออกไปด้วยกัน ทางจวนหนิงกั๋วกงจะต้องมาถามแน่นอน เป็นการสร้างปัญหาให้มากขึ้นเสียเปล่าๆ
ในไม่ช้าห่อผ้าห่อหนึ่งก็ถูกโยนลงตรงหน้าสวี่ซี
“คุณชายใหญ่ เชิญขอรับ”
สวี่ซีนั่งนิ่งอยู่บนพื้น ไม่แยแสวาจาของข้ารับใช้
ผู้ดูแลส่งสายตา ข้ารับใช้สองคนก็ดึงสวี่ซีขึ้นมาทันทีแล้วหามเขาออกไปข้างนอก
หยางซื่อพยายามกดข่มรอยยิ้มในก้นบึ้งนัยน์ตา สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกังวล “ท่านโหว ให้ซีเอ๋อร์ออกไปทั้งแบบนี้ ในภายภาคหน้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
ฉางชุนโหวดวงหน้าฉาบไปด้วยน้ำค้างแข็ง ไม่มีความลังเล “ปล่อยเขาไป!”
บุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกในจวนอื่นๆ ล้วนมีความหมายไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าความคาดหวังทั้งหมดที่มีต่อบุตรชายคนนี้ได้ถูกการก่อเรื่องในแต่ละครั้งลบหายไปหมดแล้ว
ถึงตอนนี้ เขาหวังเพียงแต่ไม่เคยมีบุตรชายคนนี้ อย่างน้อยก็อย่าให้การมีตัวตนของบุตรชายคนนี้ส่งผลกระทบต่อจวนโหว
สวี่ซีปล่อยให้ข้ารับใช้แบกไปข้างนอก แต่หันหน้าไปมองฉางชุนโหวตลอด
สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ดวงหน้าเฉยชาไปจนถึงไร้เยื่อใย
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า เขาถูกท่านพ่อทอดทิ้งโดยสิ้นเชิง กลายเป็นคนไร้ที่พึ่งพิง
เด็กหนุ่มกลอกนัยน์ตาอย่างเหม่อลอย มองไปทางหยางซื่อที่ยืนเคียงไหล่ฉางชุนโหว
แต่เขาถูกลากออกไปไกลเกินไปแล้ว สีหน้าความรู้สึกของหยางซื่อในสายตาเขาจึงดูเลือนราง
ประตูสีแดงบานใหญ่ของจวนฉางชุนโหวไม่ได้เปิด เปิดแต่ประตูข้าง สวี่ซีถูกผลักออกมาจากประตูข้างทั้งแบบนั้น
คนข้างนอกไม่สังเกตเห็นเลยว่าสวี่ซีถูกไล่ออกมาจึงไม่ได้หยุดเดินดูเรื่องสนุก
สวี่ฟางซึ่งดิ้นรนหลุดจากบ่าวเฒ่าที่ประคองนางกลับเรือน ไล่ตามออกมา “น้องชาย เจ้ารอก่อน…”
ผู้คนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
จวนฉางชุนโหวมีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้วหรือ