ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 376 ไร้เสียง
ตอนที่ 376 ไร้เสียง
สวี่ฟางเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วแล้วถามลั่วเซิงว่า “คุณหนูลั่ว หลังจากนี้ต้องการให้ข้าทำอะไรบ้าง”
“เหมือนเดิม กระโดดออกมาจากกองไฟก่อนค่อยว่ากัน”
สวี่ฟางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ “ข้าไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “แน่นอนว่ามีสิ่งที่เจ้าต้องทำ แต่ก่อนอื่นต้องดูแลตนเองให้ดี”
เดิมสวี่ฟางอยากจะพูดว่าข้าไม่เป็นไร แต่เมื่อคิดถึงคำพูดเมื่อวันก่อนของเด็กสาว นางก็กลืนคำพูดลงไปเงียบๆ
ก่อนที่มารดาจะจากไป สิ่งที่นางวางใจไม่ลงมากที่สุดน่าจะเป็นนาง
คุณหนูลั่วพูดถูก มารดาอยู่บนสวรรค์ต้องเป็นห่วงนางแน่ๆ
นางต้องมีชีวิตอยู่อย่างดี ให้ท่านแม่สบายใจ
“จะอยู่กินข้าวหรือไม่” ลั่วเซิงถาม
สวี่ฟางส่ายศีรษะ “เวลาแบบนี้อย่าเลยดีกว่า ไว้วันอื่น… ข้าจะมาหาคุณหนูลั่วเพื่อดื่มสุราบ่อยๆ คุณหนูลั่วอย่ารำคาญข้าก็พอ”
“ไม่หรอก หอสุรายินดีต้อนรับคุณหนูใหญ่สวี่เสมอ”
เว่ยหานเดินเข้ามาในห้องโถง บังเอิญได้ยินคำพูดนี้เต็มสองหู
จะมาหาคุณหนูลั่วดื่มสุราบ่อยๆ หรือ
เขามองสวี่ฟาง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
คุณหนูใหญ่สวี่ท่านนี้สนิทสนมกับคุณหนูลั่วเช่นนี้เลยหรือ จนสามารถมาดื่มสุรากับคุณหนูลั่วได้บ่อยๆ
เขาคิดถึงวันนั้นที่ได้ดื่มสุราใต้ต้นพลับกับคุณหนูลั่ว เขารู้สึกมีความสุขอยู่นานหลังจากกลับจวน
สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องยากนัก แต่สำหรับผู้อื่นแล้วกลับเป็นเรื่องง่าย?
การค้นพบนี้ทำให้เว่ยหานรู้สึกพูดไม่ออก
เขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
สวี่ฟางเห็นว่าเว่ยหานมาแล้วก็รีบคารวะ “คารวะท่านอ๋องเจ้าค่ะ”
เว่ยหานพยักหน้าเบาๆ “มิต้องมากพิธี”
สวี่ฟางลุกขึ้น กล่าวลาลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว เช่นนั้นข้ากลับไปก่อนแล้ว”
“ถนนลื่น คุณหนูใหญ่สวี่ระวังด้วย”
หลังจากมองส่งสวี่ฟางจากไปแล้ว ลั่วเซิงจึงมองไปที่เว่ยหาน “วันนี้ท่านอ๋องมาเร็วเสียจริง”
เว่ยหานสีหน้าจริงจัง “ไม่เร็วแล้ว”
คนอื่นมาเร็วกว่าเขาแล้วมิใช่หรือ
ลั่วเซิงไม่รู้จะพูดอะไรดี
นางแค่ทักทายตามมารยาท ไคหยางอ๋องกลับตอบจริงจังเช่นนี้ จะให้นางพูดอะไรเล่า
เว่ยหานเดินเข้าไปพลางเชื้อเชิญว่า “ไปดูต้นพลับด้วยกันเถอะ”
ลั่วเซิงเลิกคิ้ว
มีธุระจะคุยด้วยหรือ
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินไปข้างหลังด้วยกัน
สือเยี่ยนเช็ดโต๊ะพลางส่ายศีรษะ
ต้นพลับถูกหลอกใช้ทุกวันแบบนี้ ช่างน่าสงสารจริงๆ
ทั้งสองที่เข้าไปในสวนด้านหลังแล้วย่อมมิได้หยุดลง พวกเขาเข้าไปในห้องทันที
สวี่ซีเห็นเข้าพอดี ขวานที่ชูขึ้นค้างกลางอากาศ
ชายร่างกำยำถลึงตา “แอบอู้อีกแล้ว!”
สวี่ซีชี้ไปที่ประตูห้อง “ท่านอ๋อง… คุณหนูลั่ว…”
ชายร่างกำยำยิ้มอย่างได้ใจ “ท่านอ๋องสนิทกับเถ้าแก่ของเราน่ะ หากเจ้าไม่ตั้งใจฝึกฝนอีกข้าจะให้ท่านอ๋องมาจัดการเจ้า”
สวี่ซีกระตุกมุมปาก
ประเด็นอยู่ที่ความสนิทสนมหรือ ไม่ใช่ว่าหนุ่มโสดสาวโสดไม่ควรอยู่ด้วยกันสองต่อสองหรือ
เมื่อคิดถึงคนเหล่านั้นที่คุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ขวานในมือของเด็กหนุ่มจึงผ่าลงมาอย่างแรง
เข้าใจแล้ว คนในหอสุราแห่งนี้ป่วยกันหมด เขาต้องตั้งใจฝึกฝนดีๆ เพื่อหลุดพ้นจากควาทุกข์นี้โดยเร็วที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อเขาจากไปจะต้องพาแม่ครัวไปด้วย
ในห้องอบอุ่น ลั่วเซิงรินน้ำชาให้เว่ยหาน
เว่ยหานสัมผัสจอกชาอุ่นๆ กล่าวขอบคุณ
“จะรวบตัวแล้วหรือ” ลั่วเซิงถาม
เว่ยหานพยักหน้า “อืม วันนี้จะเข้ารวบตัว ข้ามาบอกคุณหนูลั่วก่อน”
“ขอบคุณท่านอ๋องที่ลำบากมา”
“คุณหนูลั่วเกรงใจแล้ว ข้าได้รับบัญชาให้ตามสืบเรื่องนี้อยู่แล้ว”
ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามว่า “ครานั้นที่อยู่ในจวนร้างของเจิ้นหนานอ๋อง ท่านอ๋องก็ได้รับบัญชาให้ตามสืบเช่นกันหรือ”
เว่ยหานชะงัก มองลั่วเซิงนิ่ง
เขาคิดว่าการพบกันครานั้นเป็นเรื่องที่คุณหนูลั่วไม่อยากพูดถึงเสียอีก
มีอะไรเปลี่ยนไปหรือ
เว่ยหานไม่ได้ปล่อยให้ลั่วเซิงรอนานก็พยักหน้า “ใช่”
ลั่วเซิงถามท่ามกลางกลิ่นหอมของชา “เรื่องสิบสองปีที่แล้ว เหตุใดยังต้องสืบอีก”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เว่ยหานก็กล่าว “คงเป็นเพราะฝ่าบาททรงไม่วางใจในเรื่องที่แม่ทัพใหญ่ลั่วรับผิดชอบเมื่อสิบสองปีก่อนจึงให้ข้าตรวจสอบอีกครั้ง”
จักรพรรดิทรงแคลงใจ ขุนนางร่วงหล่นได้ทุกเมื่อ
หลายปีมานี้ ขุนนางใดๆ ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าปลอดภัยเพราะไม่มีสิ่งคุกคาม แต่เมื่อจักรพรรดิทรงไว้วางใจ สิ่งเหล่านั้นจะถูกเมินเฉยแม้ว่าจะถูกจับตัวไปถึงหน้าพระพักตร์จักรพรรดิก็ตาม
“ใช่แล้ว” เว่ยหานมองเด็กสาวตรงหน้าพลางกล่าว
คุณหนูลั่วเป็นคนหลักแหลมจริงๆ
ลั่วเซิงสบตากับชายที่นั่งตรงหน้า ในที่สุดก็ถามคำถามนั้นออกมา “ข้ารู้สึกประหลาดใจ เหตุใดฝ่าบาทจึงมิได้ประหารบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋อง”
แม้นางจะรู้ว่าเด็กคนนั้นคือเป่าเอ๋อร์ตัวปลอม แต่เป็นตัวจริงในสายตาคนอื่น
การที่ฝ่าบาทรักษาชีวิตของบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหนานอ๋องไว้ ทำให้นางคาดเดาไปต่างๆ นานา
นางไม่ได้รับคำตอบจากแม่ทัพใหญ่ลั่ว เช่นนั้นก็ลองถามคนตรงหน้าดู
บางทีอาจจะได้คำตอบ
ในห้องเงียบงัน
เสียงผ่าฟืนอันหนักอึ้งดังเข้ามาเป็นจังหวะ รบกวนจิตใจผู้คน
ตอนที่ลั่วเซิงคิดว่าจะไม่ได้คำตอบแล้ว เว่ยหานก็เอ่ยปาก “ข้าเดาว่าฝ่าบาททรงมีความคิดจะเปลี่ยนรัชทายาทแล้ว”
ลั่วเซิงกะพริบตาสองสามที
เว่ยหานพูดด้วยรอยยิ้มไม่แยแสว่า “อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเกิดความคิดขึ้น ฝ่าบาททรงเป็นผู้รอบคอบ แม้สุดท้ายจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ก็จะเตรียมการล่วงหน้าเพื่อความคิดเพียงเล็กน้อยนี้”
เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อจวนเจิ้นหนานอ๋องหรือ
คำถามนี้ลั่วเซิงไม่ได้พูดออกมา
ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยืนฝ่ายตรงข้ามกับไคหยางอ๋อง แม้ความใกล้ชิดช่วงนี้ทำให้นางรู้สึกบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้ ทว่านางต้องยอมรับว่าไคหยางอ๋องเป็นคนดีมาก
“ท่านอ๋องคิดอย่างไรกับรัชทายาทเจ้าคะ”
เว่ยหานน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่ชอบ”
ลั่วเซิงขยับปาก อยากจะหัวเราะ
คำตอบเช่นนี้ ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ
และนี่ก็ทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย นางถือกาน้ำชาขึ้นมาเติมชาให้อีกฝ่าย
สายตาของเว่ยหานหยุดอยู่ที่มือที่ขาวบริสุทธิ์ข้างนั้น จนลืมเคลื่อนสายตาออก
มือที่ดูอ่อนโยนและบอบบางคู่หนึ่ง กลับสามารถทำอาหารอร่อยเช่นนั้นได้และยังสั่งสอนคนได้ ช่างมหัศจรรย์จริงๆ
จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากจะจับมือข้างนั้น
“ท่านอ๋อง” ลั่วเซิงเรียก
เว่ยหานสะดุ้งตั้งสติได้ มองนางด้วยความไร้เดียงสา
“จะรวบตัวแล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องไปคุมหรือ”
“มิต้อง”
“ยังเช้าอยู่ เช่นนั้นเราไปดูต้นพลับกันเถอะเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงวางจอกชาลงและลุกขึ้น
ธุระสำคัญคุยเสร็จแล้ว หากจะนั่งแบบนี้ต่อไปคงรู้สึกอึดอัด
เว่ยหานวางจอกชาลงอย่างเสียดาย
แทนที่จะไปดูต้นพลับที่ไร้ใบและน่าเกลียดนั่น เขาชอบนั่งดื่มชากับคุณหนูลั่วที่นี่มากกว่า
เสียงผ่าฟืนในลานหยุดลงแล้ว สวี่ซีไปดื่มน้ำที่ห้องครัวกับชายร่างกำยำ
ต้นพลับที่ปกคลุมด้วยชุดสีเงินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ผู้คนได้เชยชม
นกกระจอกสองตัวเกาะบนกิ่งไม้ จิกกันไปมาอย่างสนิทสนม จู่ๆ ตัวหนึ่งก็กางปีกบินออกไป อีกตัวหนึ่งรีบตามไปทันที
กิ่งไม้เขย่าไปมา ทำให้หิมะร่วงลงไป
เว่ยหานรีบยื่นมือไปบังศีรษะลั่วเซิงไว้
ลั่วเซิงเงยหน้ามอง ยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ แค่หิมะเล็กน้อย”
คนที่บังหิมะให้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองนางเงียบๆ