ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 382 เทศกาลโคมไฟ
ตอนที่ 382 เทศกาลโคมไฟ
ปีใหม่มาถึงอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องพูดถึงการเยี่ยมญาติและพบปะเพื่อนฝูง เพียงพริบตาก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว
เทศกาลโคมไฟที่มีปีละหนเป็นเทศกาลที่ทุกคนร่วมเฉลิมฉลอง ทานบัวลอย ชมโคมไฟและดอกไม้ไฟ
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองลูกๆ ของตนด้วยความทุกข์ใจ
เทศกาลโคมไฟเชียวนะ เป็นวันที่หนุ่มสาวสามารถนัดพบกันได้อย่างเปิดเผย เหตุใดบุตรสาวทั้งสี่จึงไม่มีทีท่าจะออกไปเดินเล่นเลยนะ
แบบนี้ไม่ได้การแน่!
แม่ทัพใหญ่ลั่วถือทองใบถุงหนึ่ง หว่านล้อมบุตรสาวคนโตลั่วอิงว่า “อิงเอ๋อร์ เจ้าเอาแต่ปักดอกไม้ในเรือนทั้งวันระวังสายตาจะเสีย ให้น้องๆ ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้า ไปชมโคมไฟและซื้อของที่เด็กผู้หญิงชอบกันดีหรือไม่”
ลั่วอิงส่ายศีรษะปฏิเสธ “ลูกชอบอยู่เงียบๆ ไม่ออกไปร่วมสนุกแล้ว”
แค่คิดถึงเทศกาลโคมไฟที่ผู้คนต้องเดินเบียดเสียดกันก็ขนลุกแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองไปที่บุตรสาวคนรองลั่วฉิง
ลั่วฉิงมีท่าทีด้านชา “ลูกพิการ อยู่ในจวนดีกว่าเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองบุตรสาวคนรองแล้วถอนหายใจในใจ
จะว่าไปแล้วเขารู้สึกโมโหในความโง่เขลาของบุตรสาวคนรอง แต่บัดนี้นางกลายเป็นเช่นนี้แล้วจะพูดอะไรได้เล่า
“อย่าคิดมากเลย บาดเจ็บได้หนึ่งร้อยวัน[1] บำรุงสักเล็กน้อยเดี๋ยวก็หาย”
ลั่วฉิงขนตาสั่นเล็กน้อย กล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า “ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง ลูกจะรักษาตัวดีๆ เจ้าค่ะ”
นางจะรอให้ท่านพ่อหาผิงลี่ให้เจอ จะได้ถามเขาด้วยตนเองว่าเพราะเหตุใด
เพราะเหตุใดจึงต้องผลักนางลงจากม้าอย่างไร้ความปรานีเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องเหยียบย่ำความจริงใจของนาง
แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้ว่าลั่วฉิงกำลังคิดอะไร เขาคิดในใจว่ากลับไปต้องกำชับคนในจวนห้ามบอกข่าวการตายของผิงลี่ให้บุตรสาวคนรองรู้เด็ดขาด
ความเกลียดชังยังเป็นวิธีการหนึ่งในการประคองชีวิตของคนๆ หนึ่งด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าให้บุตรสาวคนรองออกไปชมโคมไฟนั้นไม่สามารถเป็นจริงได้แล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองไปที่ลั่วเซิงด้วยแววตาคาดหวัง “เซิงเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นเถอะ ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าล้วนไปกันหมด”
“ลูกไม่ค่อยมีเรื่องคุยกับลูกพี่ลูกน้องเจ้าค่ะ”
“เอ่อ เช่นนั้นก็พาน้องสี่และเฉินเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นก็ได้ ไม่แน่ว่าจะเห็นสิ่งที่ตนเองชอบแล้วซื้อกลับมา”
เขายอมให้เซิงเอ๋อร์ออกไปซื้อผู้ชายกลับมาเสียยังดีกว่าอุดอู้ในจวนไม่ออกจากห้อง
“ในจวนไม่ขาดอะไรเจ้าค่ะ” ลั่วเซิงปฏิเสธข้อเสนอของแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างไม่เกรงใจ
แม่ทัพใหญ่ลั่วสูดหายใจเข้าลึก ถามด้วยความหวังสุดท้ายว่า “เซิงเอ๋อร์ ไม่มีคนชวนเจ้าออกไปหรือ”
ไคหยางอ๋องเจ้าหมอนั่นตายไปแล้วหรือไร
ลั่วเซิงคิดถึงคำชวนอันแห้งเหือดของใครบางคนก่อนปีใหม่ นางก็ส่ายศีรษะเงียบๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วด่าไคหยางอ๋องในใจแล้วโยนถุงใส่ทองใบให้ลั่วเย่ว์ “ออกไปเที่ยว!”
ลั่วเย่ว์เห็นว่าพี่ๆ ไม่ไปเลย ตนเองไปก็ไม่สนุก นางพูดด้วยความลังเลว่า “แต่ว่า…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหน้าขรึม “แต่ว่าอะไร หญิงสาวคนหนึ่งไม่ออกไปเที่ยวงานโคมไฟ อยู่จวนทำอะไร”
บุตรสาวคนโตเพิ่งถอนหมั้น บุตรสาวคนรองเจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ ส่วนเซิงเอ๋อร์… เซิงเอ๋อร์เขาบังคับอะไรไม่ได้อยู่แล้ว กับบุตรสาวคนเล็กเขาก็บังคับไม่ได้หรือ
แม่ทัพใหญ่ลั่วแสดงความน่าเกรงขามของบิดาออกมามองลั่วเย่ว์
ลั่วเย่ว์ถือถุงเงินที่มีน้ำหนักไว้ ได้แต่พยักหน้า
ท่านพ่อแปลกจริงๆ เลย มีท่านพ่อบังคับลูกออกไปเที่ยวที่ไหนกัน
แม่ทัพใหญ่ลั่วโล่งอก
ในที่สุดก็ต้อนไปได้หนึ่งคน ต่อไปจะได้เป็นพ่อตาหรือไม่อยู่ที่บุตรสาวคนเล็กแล้ว
ส่วนอีกสามคนที่เหลือ เขาหวังเพียงว่าพวกนางจะไม่ทำให้ตนเองทุกข์ใจตายก็พอ
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว โคมไฟข้างนอกสว่างไสวเหมือนกลางวัน คนมืดฟ้ามัวดิน
ลั่วเย่ว์ตามคุณชายสามเซิ่งออกไป
หงโต้วถามลั่วเซิงตาปริบๆ “คุณหนู ท่านไม่ออกไปจริงๆ หรือ งานโคมไฟมีหนุ่มรูปงามมากมายเลยนะเจ้าคะ”
“อยากออกไปเที่ยวหรือ”
หงโต้วพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “อยากเจ้าค่ะ”
ออกไปเที่ยวสนุกจะตาย เมื่อก่อนคุณหนูพาพวกนางออกไปเที่ยวทุกครั้งที่ว่าง อย่าให้พูดเลยว่าน่าเกรงขามแค่ไหน
จะว่าไปแล้วคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นมากจริงๆ ดีที่มีอาหารเลิศรสปลอบประโลม ถือว่าชดเชยความเสียใจได้
“ไปเที่ยวเถอะ พกเงินไปให้มาก”
หงโต้วตาลุกวาว “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
“โค่วเอ๋อร์ไปด้วยกันเถอะ”
โค่วเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อย “ข้าน้อยและหงโต้วไม่อยู่ก็ไม่มีใครรับใช้คุณหนู แบบนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงยิ้ม “มีสาวใช้มากมายอยู่นี่ กลัวว่าจะไม่มีใครรับใช้ข้าหรือ พวกเจ้าออกไปเที่ยวเถอะ เมื่อถึงวันสิบแปดหอสุราก็จะเปิดแล้ว”
หงโต้วสบตาโค่วเอ๋อร์ รู้สึกระแวดระวัง
เจ้าอันธพาลน้อยที่พร้อมแทนที่พวกนางมีมากเกินไป พวกนางจะเที่ยวแค่วันนี้ ไม่มากไปกว่านี้แล้ว
สาวใช้สองคนออกไปด้วยกัน ลั่วเซิงสุ่มเลือกหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่านฆ่าเวลา
หอสุราปิดหลายวันเช่นนี้ เมื่อถึงวันที่สิบแปด หอสุราเปิด คนของเซียวกุ้ยเฟยคงมาอีก
ฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนปีที่สิบแปดของปีหย่งอันบางทีอาจจะคึกคักมาก
พระจันทร์อันสุกใสดั่งแผ่นเงินแขวนอยู่บนท้องฟ้า
ทุกครัวเรือนแขวนโคมไฟไว้ที่หน้าประตู โคมไฟบนถนนไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้สว่างราวกับตอนกลางวัน
เว่ยหานเดินออกจากจวนไคหยางอ๋อง เดินชมโคมไฟไปอย่างไร้จุดหมาย
ข้างหน้ามีคนมากมาย คึกคักอย่างยิ่ง
เว่ยหานชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ทำท่าจะเดินไปบริเวณที่สงบ
สือเยี่ยนเป็นคนฉลาดคล่องแคล่ว เขารีบพูดว่า “นายท่าน ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดทางนั้นจึงคักคัก”
เว่ยหานมองเขา
“ทางนั้นทายปริศนาโคมไฟกันอยู่น่ะขอรับ เมื่อครู่นี้ข้าน้อยวิ่งไปดูมาแล้ว คุณชายซูท่านนั้นไขปริศนาโคมไฟที่ยังไม่มีใครไขได้สองข้อของเมื่อปีที่แล้ว ผ่านคืนนี้ไปคงมีชื่อเสียงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง”
เทศกาลโคมไฟเป็นกิจกรรมที่ราชสำนักสนับสนุนให้จัดอยู่แล้ว การทายปริศนาโคมไฟยิ่งเป็นกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ พ่อค้าไม่เพียงแต่ทำเงินจากการทายปริศนาโคมไฟเท่านั้น แต่ครอบครัวที่ร่ำรวยยังร่วมสนุกไขปริศนาโคมไฟเพื่อการเริ่มต้นที่ดีของทั้งปี
ราชสำนักจะเตรียมปริศนาโคมไว้สามข้ออย่างพิถีพิถันทุกปี ผู้ที่ไขปริศนาได้จะกลายเป็นผู้โด่งดังอย่างไม่ต้องสงสัยและนี่ก็กลายเป็นงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้มีความสามารถที่จะแข่งขันกัน
ปริศนาโคมไฟสามข้อของเทศกาลโคมไฟเมื่อปีที่แล้วออกโดยนักปราชญ์หวังเม่า ทำให้ผู้คนที่มีความสามารถมากมายต้องตะลึง มีเพียงข้อหนึ่งที่หลินซูไขได้
ปีนี้ปริศนาโคมไฟสามข้อที่ราชสำนักออกใหม่ สองข้อที่ยังไม่ถูกไขเมื่อปีที่แล้วยังอยู่ในนี้
เว่ยหานก้าวเท้าเดินเข้าไป เพิ่งเข้าไปใกล้ก็ได้ยินผู้คนกำลังพูดคุยถึงเรื่องที่ซูเย่าไขปริศนาโคมไฟได้อย่างกระตือรือร้น
“นั่นคือคุณชายตระกูลไหนกัน ไม่เคยได้ยินเลย”
“ข้าได้ยินมีคนเรียกเขาว่าคุณชายซู”
“เห็นเด็กหนุ่มที่อวบอ้วนข้างๆ คุณชายซูคนนั้นหรือไม่ นั่นคือลูกพี่ลูกน้องของคุณหนูลั่ว ข้าเคยเห็นในหอสุรา เห็นเขาค่อนข้างสนิทกับคุณชายซู ข้าเดาว่าคุณชายซูน่าจะเป็นผู้มีความสามารถจากทางใต้ที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง”
“หากเป็นเช่นนี้ คุณชายซูต้องสอบชุนเหวยผ่านแน่ๆ เห็นทีผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในเมืองหลวงคงต้องเปลี่ยนคนแล้ว”
…
เว่ยหานเหลือบมองชายหนุ่มสง่างามราวหมู่ดาราร่วมสรรเสริญดวงเดือน สายตาหยุดอยู่ด้านข้าง
เขาเห็นหงโต้วและโค่วเอ๋อร์
จังหวะนั้นเอง ความสุขก็ล้นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างควบคุมมิได้ ราวกับดอกไม้ไฟส่องสว่างในหัวใจ
ที่แท้คุณหนูลั่วมาแล้ว!
เว่ยหานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เดินสาวเท้าเข้าไป
สือเยี่ยนเห็นหงโต้วและโค่วเอ๋อร์ พึมพำข้างหลังเว่ยหานว่า “เอ๋ คุณหนูลั่วพาหงโต้วและโค่วเอ๋อร์ออกมาชมโคมไฟไม่เห็นบอกสักคำเลย”
มุมปากที่ยกขึ้นของเว่ยหานแข็งทื่อ ฝีเท้าช้าลง
ก่อนหน้านี้เขาชวนคุณหนูลั่วออกมาเที่ยวเทศกาลโคมไฟ คุณหนูลั่วก็บอกแล้วว่าไม่มา แต่ตอนนี้กลับมาเที่ยวเอง
หากเป็นเช่นนี้ เหมือนกับว่าจะไม่น่าดีใจเท่าไร…
[1] บาดเจ็บได้หนึ่งร้อยวัน หมายถึง อาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูกมักจะดีขึ้นในหนึ่งร้อยวัน หรือราวสามเดือน