ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 388 ประกาศผลสอบ
ตอนที่ 388 ประกาศผลสอบ
ในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ ทุกอย่างฟื้นคืนชีพ ต้นไม้อายุยืนต้นหนึ่งริมถนนแตกหน่อใหม่
ทว่าเมื่อเดินในตรอกด้านหลังที่ยาวและแคบของจวนฉางชุนโหวยังคงสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น
มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ในตรอกลึกเข้าไป ประตูปิดแน่น ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ซึ่งก็คือที่อยู่อาศัยของหยางซื่อ ภรรยาที่ถูกหย่าร้างของฉางชุนโหว
บ่าวเฒ่าเฝ้าประตูรู้สึกเบื่อ นางจึงนำเก้าอี้ตัวน้อยของนางไปนั่งตากแดดแทะเมล็ดแตงโมที่ลานบ้าน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
บ่าวเฒ่าเฝ้าประตูเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ
ท่านโหวใจแข็ง ตั้งแต่ที่หย่ากับโหวฮูหยินแล้ว เขาก็ไม่เคยมาเลยสักครั้ง
คุณหนูรองและคุณชายสองท่านเคยมาครั้งหนึ่ง นางมิกล้าปิดบัง รายงานท่านโหวผ่านคนที่มาส่งเงินใช้จ่ายรายเดือน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครมาอีกเลย
เวลานี้ใครมาเคาะประตูกัน
บ่าวเฝ้าประตูวางตระกร้าเมล็ดแตงโมลงข้างๆ แล้วเดินไปแง้มประตู
“ใครหรือ”
เมื่อเห็นคนที่ยืนหน้าประตูชัด บ่าวเฝ้าประตูก็ตกใจ “สะใภ้สี่ เหตุใดเจ้าจึงมาเวลานี้เล่า”
สะใภ้สี่ก็คือคนที่มาส่งเงินค่าใช้จ่ายทุกเดือนนั่นเอง
สะใภ้สี่ยิ้มๆ “เริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ ถึงเวลาตัดเย็บเสื้อผ้าแล้ว ผู้ดูแลให้ข้าส่งเงินอีกจำนวนหนึ่งมาให้”
บ่าวเฝ้าประตูได้ยินดังนั้นก็เชิญสะใภ้สี่เข้าไปอย่างยินดี
“แหม กินเมล็ดแตงโมอยู่หรือ” มองดูเปลือกเมล็ดแตงโมเต็มพื้น สะใภ้สี่ก็บุ้ยปากเล็กน้อย
บ่าวเฝ้าประตูถือตระกร้าไม้ไผ่ที่ใส่เมล็ดแตงโมขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างจับแขนของสะใภ้สี่ “ไปกันเถอะ เราเข้าไปคุยในห้อง”
เฝ้าหญิงหม้ายแบบนี้ แม้แต่กินเมล็ดแตงโมยังต้องโดดเดี่ยว ทำเอาบ่าวเฝ้าประตูจะลงแดงอยู่แล้ว ทุกครั้งที่สะใภ้สี่มานางจะดึงอีกฝ่ายเข้าไปพูดคุยด้วยครึ่งค่อนวัน
สะใภ้สี่เดินตามบ่าวเฝ้าประตูเข้าไปในห้องส่วนตัว คุยไปสักพักก็หยิบถุงเงินยื่นให้
บ่าวเฝ้าประตูรีบรับไว้
เงินเหล่านี้ล้วนอยู่กับนาง จะให้ท่านนั้นใช้เท่าไร นางย่อมเป็นคนตัดสิน
สะใภ้สี่นำเงินมาให้นางต่างหาก
บ่าวเฝ้าประตูจับเมล็ดแตงโมกำหนึ่งยัดเข้าไปในมือของสะใภ้สี่ “กินเมล็ดแตงโม เมล็ดแตงโมที่เพิ่งผัดสุกกำลังหอม”
สะใภ้สี่วางเมล็ดแตงโมลง หยิบบางอย่างออกมาจากหน้าอกและยื่นไปให้
“นี่คือ?”
สะใภ้สี่มองไปที่ห้องที่หยางซื่ออยู่ พูดเสียงเบาว่า “ไท่ไท่ทานอาหารชั้นเลิศจนชินแล้ว ข้าวต้มและเครื่องเคียงเล็กๆ น้อยๆ เกรงว่าจะไม่ชิน ข้าจึงเอาเครื่องปรุงมาให้”
บ่าวเฝ้าประตูชะงัก มองถุงผ้าที่สะใภ้สี่ยื่นมาให้ไม่กล้าเปิด “สะใภ้สี่ นะ นี่คงไม่ใช่…”
นี่คงไม่ใช่ยาพิษหรอกนะ
สะใภ้สี่แบมือออก เงินตำลึงทองร่วงลงใส่มือของบ่าวเฝ้าประตู
ฝ่ามือของบ่าวเฝ้าประตูรู้สึกราวกับถูกไฟเผา แสบร้อนอย่างยิ่ง
แน่นอนว่า เงินตำลึงทองไม่มีทางถูกโยนออกไป
“ไม่ใช่สิ่งที่คร่าชีวิตคน ก็แค่สิ่งที่ทำให้ผู้ที่กินบ่อยๆ เลอะเลือนเล็กน้อย” สะใภ้สี่บีบมือของบ่าวเฝ้าประตูเบาๆ พูดเสียงเบาว่า “ไท่ไท่และท่านโหวเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีเช่นนี้ ท่านโหวกลัวว่าไท่ไท่จะทนต่อคำวิพากวิจารณ์เรื่องถูกหย่าไม่ได้ ก็เลย…”
คำพูดที่เหลือสะใภ้สี่ไม่ได้พูด บ่าวเฝ้าประตูกลับเข้าใจดี
เป็นเรื่องปกติมากที่ท่านโหวจะมีความกังวลเช่นนี้ ตอนนี้แค่เห็นสายตาของท่านนั้นก็รู้สึกน่ากลัว หากวันใดคุณหนูและคุณชายมา จะพูดจาเพ้อเจ้อเอา
“ไม่ทำให้ตายจริงๆ หรือ”
สะใภ้สี่ยิ้มๆ “เรามีความสัมพันธ์เช่นไรกัน ข้าจะโกหกเจ้าหรือ อีกอย่างถึงอย่างไรไท่ไท่ก็ยังเป็นมารดาแท้ๆ ของคุณหนูและคุณชาย ท่านโหวจะเอาชีวิตของไท่ไท่ได้อย่างไรกัน”
บ่าวเฝ้าประตูกำเงินตำลึงทองที่มีน้ำหนักในมือแน่นแล้วพยักหน้า
ไม่ต้องฆ่าคนก็พอ สถานการณ์ตอนนี้ของท่านนั้น เลอะเลือนหน่อยอาจจะดี ถือว่านางทำความดีด้วยซ้ำ
สะใภ้สี่เห็นว่าสำเร็จแล้วก็อยู่ที่นั่นอีกครู่หนึ่งก่อนจะจากไป
สะใภ้สี่เดินในตรอกซอยที่ยาวและมืดสลัว นางกดบริเวณหน้าอกเบาๆ
บริเวณหน้าอกของนางซ่อนตั๋วเงินปึกหนึ่งไว้
ห้าร้อยตำลึงเต็มๆ!
เงินนี้ย่อมไม่ใช่ท่านโหวเป็นคนให้ แต่คือคุณหนูใหญ่
สะใภ้สี่ยังจำความตะลึงบนใบหน้าตอนที่คุณหนูใหญ่นำเงินปึกนั้นและของเหล่านั้นให้นางได้ดี
ทั้งตะลึงกับพฤติกรรมของคุณหนูใหญ่และยังตะลึงกับเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ คุณหนูใหญ่หามาจากไหนกัน
แต่ว่าใครจะเป็นปรปักษ์กับเงินเล่า นี่มันเงินห้าร้อยตำลึงเชียวนะ!
สิ่งที่ให้นางทำก็แค่ส่งของให้บ่าวเฝ้าประตูที่เฝ้าหยางซื่อในนามของท่านโหวเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้สะใภ้สี่เอนเอียงไปหาสวี่ฟางยังเป็นเพราะความขาดแคลนชักหน้าไม่ถึงหลังของจวนโหวในช่วงปีใหม่
ที่ผ่านมาปีใหม่ยังได้เงินรางวัลบ้าง ปีนี้รอมาหนึ่งปีแล้ว แม้แต่เงินเดือนก็ไม่ได้จ่ายตามเวลา
จวนโหวเช่นนี้จะไม่ทำให้คนกังวลกับอนาคตตนเองหรือ
แต่คุณหนูใหญ่รับปากไว้แล้วว่าจะให้นางเป็นสาวใช้ข้างกายเมื่อออกเรือน
สะใภ้สี่ยกมือขึ้นลูบดอกไม้ผ้าไหมข้างขมับนาง
จวนแม่ทัพดีกว่าจวนโหวมาก ได้เป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่ย่อมเป็นงานที่ดี
ถอยหลังหนึ่งหมื่นก้าว แม้คุณหนูใหญ่จะโกหกนาง ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงก็อยู่กับนางแล้ว
ในเรือนที่เงียบสงบ ดอกมะลิบริเวณมุมห้องบานแล้ว
สวี่ฟางยืนข้างหน้าต่างชมดอกไม้ เมื่อได้ยินเสียงก็หันไป
“คุณหนู สะใภ้สี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” หงเย่ว์เดินมา ปิดหน้าต่างเสร็จแล้วรายงาน
สวี่ฟางพยักหน้าเบาๆ “ลำบากเจ้าแล้ว”
นางไม่ได้ถามว่าสำเร็จหรือไม่
มีเงินจะปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งให้ก็ยังได้ เงินห้าร้อยตำลึงที่ให้ไป มีหรือจะไม่สำเร็จ
“คุณหนู หากสะใภ้สี่เชื่อถือไม่ได้เล่า…”
สวี่ฟางยิ้ม “นางจะเปิดโปงข้าให้ท่านพ่อทราบหรือ เช่นนั้นนางจะได้ประโยชน์อะไร”
จวนโหวสูญเสียเงินหนึ่งหมื่นตำลึงไปเมื่อปีใหม่ หลายเดือนก่อนก็สูญเสียเงินอีกห้าพันตำลึงเพื่อรับน้องชายกลับมาจากจวนแม่ทัพใหญ่ เสียเงินหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงไปแล้ว ทำเอาปีใหม่นี้แทบจะฉลองกันไม่ได้ ได้แต่ดูแลรายจ่ายให้รัดกุม ชะลอการจ่ายเงินเดือนให้ทุกคนออกไป
อนาคตแบบนี้ สะใภ้สี่ยังจะคาดหวังเงินรางวัลจากการเปิดโปงนางกับท่านพ่อหรือ
คุณหนูลั่วพูดถูก เมื่อจะเล่นลูกไม้แล้วจะถอยไม่ได้ เรื่องของตนเองสุดท้ายก็ต้องพึ่งพาตนเอง
หยางซื่อแค่ถูกหย่าจะพอแค่นี้ได้อย่างไร สิ่งที่นางและท่านพ่อทำต่อท่านแม่ต้องประกาศให้โลกรับรู้จึงจะสามารถปลอบประโลมวิญญาณของท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์ได้
สวี่ฟางคิดถึงสิ่งที่ลั่วเซิงพูดก็ตื่นเต้น
จะรอจนถึงวันนั้นได้จริงๆ หรือ
ก่อนที่จะเจอคุณหนูลั่ว นางไม่อาจจินตนาการได้เลย
นางอาศัยอยู่กับความหวาดกลัวมาตั้งแต่เล็ก แม้แต่การเติบโตอย่างปลอดภัยยังกลายเป็นเพียงความคาดหวัง ท่านพ่อและแม่เลี้ยงเหมือนกับภูเขาชั่วร้ายสองลูกที่กดทับหัวใจ ทำให้นางไม่รู้ว่าต้องย้ายออกอย่างไร
แต่เมื่อได้เจอคุณหนูลั่ว นางเพิ่งพบว่าเรื่องบางเรื่องไม่ได้ยากเช่นนั้น คนบางคนแม้จะชั่วร้ายก็ไม่ได้มีความสามารถเช่นนั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นในตรอกหลังจวนฉางชุนโหวเหมือนกับก้อนกรวดเล็กๆ ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ หลังจากเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย มันก็หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เมืองหลวงทั้งหมดยังคงจมอยู่กับความตื่นเต้นของการสอบชุนเหวย
ไม่นานก็ถึงวันประกาศผลสอบ
ขณะที่เจ้าหน้าที่กรมพิธีการส่งไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อประกาศข่าวดี เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ที่หลายคนจับตามองนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคุณชายซูแห่งจินซาที่เปล่งประกายเจิดจ้าในช่วงเทศกาลโคมไฟ
นอกจากนี้ ยังมีพี่น้องคู่หนึ่งที่ทุกคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ นั่นก็คือคุณชายใหญ่เซิ่งและคุณชายรองเซิ่ง
ถึงแม้อันดับของทั้งสองจะไม่สูงมากนัก แต่ก็มีชื่ออยู่ในนั้น เมื่อผ่านการสอบหน้าพระที่นั่งไปแล้วก็จะเป็นจิ้นซื่อแล้ว
จิ้นซื่อสองคนเพียงพอที่จะนำความรุ่งโรจน์แก่ครอบครัว
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือสองพี่น้องยังหนุ่ม ยังไม่แต่งงานเลย
ว่ากันว่าพี่น้องตระกูลเซิ่งเป็นหลานชายของแม่ทัพใหญ่ลั่ว…