ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 396 ขี่ม้าแห่ขบวน
ตอนที่ 396 ขี่ม้าแห่ขบวน
เว่ยหานรู้สึกว่าบะหมี่เครื่องผัดที่คุณหนูลั่วทำอร่อยกว่าบะหมี่ที่อาซิ่วทำมาก แทบจะต้องเดินจับกำแพงออกมาจากหอสุราเลยทีเดียว
ม้าขาวกระปรี้กระเปร่าตัวหนึ่งผูกติดกับต้นพุทราข้างนอก เมื่อเห็นเจ้าของมาก็ส่งเสียงอย่างกระตือรือร้น
เว่ยหานหันกลับไปมองลั่วเซิง “คุณหนูลั่ว ข้าไปแล้วนะ”
“ท่านอ๋องเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”
“ขอบใจ” ชายหนุ่มมองเด็กสาวที่หยุดอยู่ไม่ไกลอย่างลึกซึ้ง
นางยังคงสวมชุดกระโปรงสีพื้นแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้วเลย
แต่เว่ยหานรู้แก่ใจดีว่าเขาเปลี่ยนไปมาก
หัวใจของเขามีหญิงสาวคนหนึ่งเพิ่มเข้ามา
มองดูใบหน้าที่สงบของเด็กสาว เขาก็โพล่งพูดออกมาว่า “ออกเดินทางวันนี้ เกรงว่าจะไม่ได้เจอคุณหนูลั่วอีกนาน”
ลั่วเซิงชะงัก
ประโยคนี้ฟังแล้วคุ้นหู เมื่อครู่นี้เหมือนกับว่าไคหยางจะอ๋องพูดไปแล้ว
ไม่สิ เมื่อครู่นี้เขาพูดว่าเกรงว่าจะไม่ได้กินอาหารของหอสุราอีกนาน
ขณะที่กำลังชะงักนั่นเอง มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ลูบศีรษะนางเบาๆ
“ข้าจะรีบกลับมา” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มดังขึ้นข้างใบหู
ลั่วเซิงเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง
เมื่อครู่นี้ไคหยางอ๋อง… ลูบศีรษะนาง?
เว่ยหานเพิ่งตั้งสติได้จากอารมณ์ชั่ววูบ
แย่แล้ว เหมือนกับว่าเมื่อครู่นี้เขาจะอดใจให้ลูบศีรษะคุณหนูลั่วไม่ได้
“คุณหนูลั่ว ขอตัวก่อน” เว่ยหานรีบเดินไปข้างต้นพุทรา แก้เชือกที่มัดไว้และพลิกตัวขึ้นหลังม้า คนและม้าวิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วยความรวดเร็ว
ลั่วเซิง “…”
ไคหยางอ๋องลูบศีรษะนางแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว?
ครานี้เอง ลั่วเซิงไม่รู้ว่าควรโมโหหรือขบขันดี
หากจะบอกว่าชายคนนี้ปฏิบัติต่อนางอย่างแตกต่าง นางคิดว่าแม้ตนเองจะคิดไปเองก็น่าจะมีบ้าง
แต่การปฏิบัติอย่างแตกต่างของไคหยางอ๋องต่อตนเอง บางทีอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่คือ… สหายร่วมโต๊ะ?
“ข้าเห็นแล้ว” เสียงเยือกเย็นของเด็กหนุ่มดังขึ้น
ลั่วเซิงหันไปมอง เห็นลั่วเฉินยืนอยู่ไม่ไกล
“เหตุใดจึงมาเวลานี้เล่า หนีเรียนมาหรือ” ลั่วเซิงขมวดคิ้ว
วัยของลั่วเฉิน ย่อมต้องตั้งใจเรียนหนังสือ
แม่ทัพใหญ่ลั่วตั้งใจจัดเรือนเรือนหนึ่งให้เป็นที่เรียนหนังสือและเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่งมาสอนลั่วเฉิน
ลั่วเซิงเคยคิดจะส่งเสี่ยวชีไปเรียนด้วย แต่คิดได้ว่าเสี่ยวชีรู้อักษรไม่มาก นางจึงล้มเลิกความคิดเงียบๆ
หากส่งเสี่ยวชีไปแล้วทำให้อาจารย์โมโหจนกลับไปจะกลายเป็นปัญหาเอาได้
“ไม่ได้หนีเรียน วันนี้วันหยุด” ลั่วเฉินหน้าบูดบึ้ง ไม่พอใจที่ลั่วเซิงเปลี่ยนเรื่อง “เมื่อครู่นี้ไคหยางอ๋องลูบศีรษะของท่านพี่”
ไม่แปลกที่เด็กหนุ่มมีน้ำเสียงกล่าวโทษเช่นนี้
เมื่อก่อนลั่วเซิงอาศัยฐานะของพี่สาวลูบศีรษะเขาไปไม่น้อย สุดท้ายเล่า กลับปล่อยให้ไคหยางอ๋องลูบศีรษะตนเองเฉยๆ!
ลั่วเฉินยิ่งคิด หน้าก็ยิ่งบูดบึ้ง
ลั่วเซิงยกมือขึ้นอย่างสงบแล้วลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “ในเมื่อเป็นวันหยุด รีบเข้าไปกินบะหมี่เครื่องผัดเถอะ”
บะหมี่เครื่องผัด?
เมื่อลั่วเฉินตั้งสติได้ก็พบว่าตนเองยืนอยู่ในห้องโถงแล้ว
เขาหันกลับไปมองประตูหอสุราอย่างโมโห
ลั่วเซิงใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำชัดๆ!
จากนั้น เด็กหนุ่มก็ได้กลิ่นหอมของบะหมี่เครื่องผัด…
ลั่วเซิงยังคงยืนอยู่ข้างนอกหอสุรา
พฤติกรรมก่อนไคหยางอ๋องออกเดินทางแม้จะทำให้นางตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้นางยังยืนเหม่ออยู่ข้างนอกจนถึงตอนนี้
ที่นางเข้าไปช้า เพราะไม่อยากคุยเรื่องที่นางถูกลูบศีรษะกับน้องชายที่อยู่ในวัยต่อต้าน
จะว่าไปแล้วเรียนก็ควรตั้งใจเรียน เหตุใดจึงมีวันหยุดด้วยนะ
แล้วก็ไคหยางอ๋อง วันนี้ได้คืบจะเอาศอกครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นทีเขากลับมาเมื่อไรต้องพิจารณายกเลิกอาหารแถมให้แล้ว
ลั่วเซิงดึงใบต้นพุทราใบหนึ่งลงมาแล้วโยนไปตามสายลมก่อนจะเดินสาวเท้าไปทางประตูหอสุรา
ต้นพุทราที่ถูกม้าสีขาวตัวนั้นเล็มไปไม่น้อยสั่นไหวเบาๆ ทำให้มันดูน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก
เว่ยหานที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าบนหลังม้าใจเต้นไม่หยุด รู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
พฤติกรรมที่ทำกับคุณหนูลั่วตอนที่อำลาล่วงเกินอีกฝ่ายไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคุณหนูลั่วจะโมโหหรือไม่
แต่ว่า… เขากลับรู้สึกมีความสุข…
ช่างเถอะ อย่างมากตอนเขากลับมาจะเอาของขวัญมาให้คุณหนูลั่วถือเป็นการไถ่โทษ หากคุณหนูลั่วยังไม่หายโกรธจะยกเลิกอาหารแถมเขาก็ยอม
ขณะที่เว่ยหานคิดเช่นนี้ก็อดเหลียวหลังไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ยังไม่ทันเดินทางไกลก็รู้สึกคิดถึงบ้านแล้ว
เมื่อคิดถึง ‘กลับบ้าน’ สองคำนี้ เว่ยหานก็พบว่าสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจของเขาไม่ใช่จวนไคหยางอ๋อง แต่คือมีหอสุรา
มีหอสุราไม่เพียงแต่มีอาหารที่ทำให้เขาหลงใหล ยังมีคนที่ทำให้เขาคะนึงหา
ที่ที่มีความพะวงถึงจะเรียกว่าบ้าน
การออกเดินทางไกลของเว่ยหานนอกจากจะทำให้โต๊ะข้างหน้าต่างของหอสุราว่างลงแล้ว ราวกับว่าจะไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก
ลูกอิงเถากลายเป็นสีแดงสด ใบกล้วยเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การสอบหน้าพระที่นั่งที่ทุกคนตั้งตารอก็มาถึงแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับความทรมานในการสอบระดับฮุ่ยซื่อที่ต้องสอบต่อเนื่องเก้าวันในห้องสอบที่จะลุกยืนตัวตรงก็ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสอบหน้าพระที่นั่งสบายกว่ามาก
ผู้สอบรู้แล้วว่าตนเองสอบเป็นอย่างไร เพียงแต่ว่าอันดับค่อนข้างผันผวนจากที่คาดหวังไว้
การสอบหน้าพระที่นั่งมีข้อดีข้อหนึ่งคือจะไม่มีผู้สอบตก
แน่นอนว่าผู้ที่สอบได้สามอันดับแรกแตกต่างกับผู้สอบติดจิ้นซื่อราวฟ้ากับดิน แล้วผู้ที่สอบได้รั้งท้ายยังจะเพ้อฝันว่าจะได้อันดับหนึ่งในการสอบหน้าพระที่นั่งหรือ
จิ๊ ล้างหน้าแล้วตื่นเถอะ
ผู้สอบที่เหมาะสมที่จะได้อันดับหนึ่งต้องเป็นผู้ที่ได้ที่หนึ่งจากการสอบระดับฮุ่ยซื่อที่ผ่านมาอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งนั่นก็คือฮุ่ยหยวนซูเย่า
และซูเย่าก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เป็นอันดับหนึ่งของการสอบจอหงวนรุ่นนี้
แม่ทัพใหญ่ลั่วดีใจมาก
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะซูเย่า บัณฑิตจอหงวนเกี่ยวอะไรกับเขาเล่า
ที่แม่ทัพใหญ่ลั่วดีใจ เป็นเพราะคุณชายใหญ่เซิ่งและคุณชายรองเซิ่งต่างหากเล่า
สองพี่น้องได้อันดับที่สอง เป็นจิ้นซื่อ[1]
ผู้ที่โชคดีที่สุดในนี้คือคุณชายรองเซิ่ง รั้งท้ายอันดับที่สอง อีกเพียงเล็กน้อยก็จะตกลงไปอันดับสาม กลายเป็นถงจิ้นซื่อแล้ว
ต้องรู้ว่าคำว่าใกล้เคียงถงจิ้นซื่อคือหรูฟูเหริน[2]
แค่คิดถึงความต่ำต้อยของหรูฟูเหรินก็สามารถเข้าใจถึงความคับข้องใจของถงจิ้นซื่อได้แล้ว
เหล่าสามัญชนในเมืองหลวงดีใจยิ่งกว่า
พวกเขาตั้งตารอมานานเช่นนี้เพราะอะไรเล่า แน่นอนว่าเพื่อดูขบวนแห่จอหงวนอย่างไรเล่า
นั่นคืองานยิ่งใหญ่ที่สามปีมีหนเชียวนะ
ด้วยเหตุนี้ ถนนในเมืองหลวงจึงถูกทิ้งร้างในวันนั้น ปืนใหญ่ดังสนั่น และสถานที่ที่ขบวนแห่จอหงวนต้องเดินผ่านก็เต็มไปด้วยผู้คน
มองดูทิศทางของฝูงชน หงโต้วอดใจรอไม่ไหวแล้ว “คุณหนู ท่านไม่ไปดูขบวนแห่จอหงวนหรือเจ้าคะ”
โค่วเอ๋อร์ไม่เข้าใจ “หงโต้ว เจ้าไม่ชอบคุณชายซูนั่นไม่ใช่หรือ จะไปดูเขาทำไมกัน”
หงโต้วกลอกตา “เจ้ารู้อะไร ข้าไปดูซูเย่าที่ไหนกัน ข้าไปดูความคึกคักของขบวนจอหงวนต่างหาก”
ลั่วเซิงเอ่ยแทรกสาวใช้สองคนที่กำลังทะเลาะกัน “พอแล้ว พวกเจ้าไปเที่ยวเถิด ถึงอย่างไรหอสุราก็เปิดตอนกลางคืน”
“คุณหนูไม่ไปหรือเจ้าคะ” หงโต้วมิอาจปิดบังความผิดหวัง
หากเป็นเมื่อก่อน คุณหนูต้องไปแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะฉุดผู้ชายกลับมาด้วย
ผู้ชายอย่างซูเย่าน่ะถึงให้เปล่าก็ไม่เอาแน่นอน แต่ก็ยังมีอันดับสองอันดับสามมิใช่หรือ
“พวกเจ้าไปเถอะ”
เพิ่งไล่สาวใช้สองคนไป ลั่วเฉินและเสี่ยวชีก็เดินมา
“ท่านพี่ ข้าและเสี่ยวชีอยากออกไปดูด้วย” ลั่วเฉินเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
อันที่จริงเขาไม่สนใจ แต่เขาทนดูท่าทีเงอะงะของเสี่ยวชีที่อยากออกไปดูแทบแย่แต่ไม่กล้าขอลั่วเซิงไม่ได้
“ไปเถอะ” ลั่วเซิงย่อมไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน
ชอบความสนุกสนานเป็นนิสัยของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว
สวี่ซีที่ไม่รู้ว่ายืนที่ประตูลานข้างหลังตั้งแต่เมื่อใดถามขึ้นว่า “ข้าขอไปได้หรือไม่”
[1] จิ้นซื่อ บัณฑิตชั้นสูง
[2] หรูฟูเหริน หมายถึง อนุภรรยา