ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 400 จุดประสงค์
ตอนที่ 400 จุดประสงค์
จูอู่ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด เขาตะโกนขึ้นทันทีว่า “ช้าก่อน!”
เดิมสือเยี่ยนอยากจะต่อยจูอู่ให้เป็นหัวหมู เพื่อพิสูจน์ข่าวลือที่ไม่รู้ว่าคุณหนูลั่วได้ยินมาจากไหน แต่สุดท้ายก็ยังเชื่อฟังคำพูดของลั่วเซิง เขายั้งมือด้วยความไม่เต็มใจ
จูอู่มองลั่วเซิง ถามเสียงเยือกเย็นว่า “คุณหนูลั่วอยากคุยอะไรหรือ”
ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “คุยกันในลานบ้านไม่เหมาะสม เข้าไปคุยในห้องหนังสือเถอะ”
จูอู่และลุงซิ่งได้ยินคำว่า ‘ห้องหนังสือ’ แล้วสีหน้าก็บิดเบี้ยว
ตอนนี้ได้ยินคำว่า ‘ห้องหนังสือ’ ไม่ได้เลยจริงๆ!
ทว่าเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า เขาจึงทำได้เพียงยอมคุย
“เชิญคุณหนูลั่วขอรับ” จูอู่ผายมือออกด้วยสีหน้านิ่งขรึม
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย พูดกับสองพี่น้องสือเยี่ยนว่า “พวกเจ้าเฝ้าที่นี่ให้ดี”
“คุณหนูลั่ว แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ” สือเยี่ยนหรี่ตามองจูอู่ ฝืนพูดความจริงออกมาว่า “อีกฝ่ายมีฝีมือไม่ธรรมดา”
ลั่วเซิงยิ้มๆ “ข้ารู้ พวกเจ้าวางใจ ท่านจูไม่ใช่อันธพาลที่รู้จักแก้ไขปัญหาด้วยกำลังเพียงอย่างเดียวเสียหน่อย เขาไม่ทำอะไรข้าหรอก”
สือเยี่ยนไม่หวั่นไหว “กันไว้ดีกว่าแก้”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้ามีเงินมีเวลากินอยู่สุขสบาย รักชีวิตมากเชียวล่ะ” ลั่วเซิงสีหน้าจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านอ๋องให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ให้พวกเจ้าฟังคำสั่งข้ามิใช่หรือ”
สือเยี่ยนทำท่าจะปริปากพูดอะไร แต่ก็เงียบลง
นายท่านเคยพูดเช่นนี้
และยังบอกว่าหากไม่เข้าใจพฤติกรรมของคุณหนูลั่วก็อย่าคิดมาก ทำตามคำสั่งก็พอ
ความหมายก็คือนายท่านคิดว่าพวกเขาฉลาดไม่พอ ลงมือปฏิบัติให้มากและกังวลให้น้อย…
ไม่รู้ว่าหากนายท่านรู้ว่าคุณหนูลั่วเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เขายังจะพูดเช่นนี้หรือไม่
องครักษ์น้อยครุ่นคิดอย่างโกรธเคือง สุดท้ายก็ไม่ได้ตามเข้าไป
ในฐานะที่เป็นองครักษ์ประจำตัวของไคหยางอ๋อง แม้จะมีนิสัยแตกต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายอย่างไร้เงื่อนไข
ในห้องหนังสือ เนื่องจากชั้นวางหนังสือถูกเลื่อนออก หนังสือจำนวนหนึ่งจึงหล่นกระจัดกระจายบนพื้น ดูเลอะเทอะเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่จูอู่และลุงซิ่งได้ยินเสียงเคาะและไล่ตามออกไป พวกเขาย่อมไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้
สายตาของลั่วเซิงหยุดอยู่ที่กำแพงที่ถูกขุดออกแล้วนั่งลงอย่างเปิดเผย พูดด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “ข้ายังกังวลว่าทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียอีก”
ลุงซิ่งนั่งลงด้วยใบหน้านิ่งขรึม
จูอู่ไม่ได้นั่ง สายตาจับจ้องลั่วเซิงนิ่ง “คุณหนูลั่วไม่กลัวว่าพวกเราจะลงมือสังหารท่านหรือ ต้องรู้ว่าแม้พี่น้องสกุลสือจะเก่งกล้า แต่ก็มาช่วยท่านไม่ทันแน่”
มุมปากลั่วเซิงยกขึ้นเล็กน้อย “ท่านจูสู้กับสือเยี่ยนได้สูสีย่อมมีฝีมือเก่งกาจเช่นกัน หากอยากจะทำอะไรข้าย่อมไม่มีปัญหา แต่ว่าหากท่านจูฆ่าข้าจริงๆ ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก”
“ไม่เป็นไร ในเมื่อเรากล้าลงมือ หลังเสร็จเรื่องแล้วย่อมออกจากเมืองหลวง แม้องครักษ์จิ่นหลินจะแข็งแกร่ง แต่ก็อาจจะหาเราสองคนไม่เจอ” จูอู่กล่าวอย่างเย็นชา
เขาย่อมไม่ลงมือโดยที่ไม่ถามอะไร แต่ก็ทนเห็นนังหนูนี่แสดงท่าทีโอหังอวดดีเช่นนี้ไม่ได้ ต้องลองขู่อีกฝ่ายดูก่อน เพื่อดูว่านางมีผู้ใดหนุนหลัง
ลั่วเซิงเอนร่างพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าสบายใจอย่างยิ่ง “ข้ารู้ว่าท่านจูไม่กลัวองครักษ์จิ่นหลิน ผลที่ตามมาที่ข้าพูดถึงมิใช่เรื่องนี้”
“คุณหนูลั่วอย่าอุบไว้เลย”
ลั่วเซิงยื่นมือไปชี้รูบนผนัง “เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินความลับไม่น้อยในนั้น หลังจากออกไปแล้วก็บอกคนข้างกายไว้แล้ว หากท่านจูลงมือสังหารข้า…”
ลั่วเซิงเว้นจังหวะ จากนั้นก็ยิ้ม “อย่างมากครึ่งชั่วยาม ข่าวจวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกกวาดล้างเพราะโทษกบฏ ยังมีองครักษ์จูเชวี่ยที่เป็นอำนาจลึกลับก็จะแพร่สะพัดไปทั่วทุกมุมของเมืองหลวง”
มองดูสีหน้าย่ำแย่ของจูอู่ เด็กสาวก็กะพริบตาสองสามที “เมื่อข่าวแพร่ออกไป ไม่แน่ว่าจะสั่นสะเทือนยิ่งกว่าขบวนแห่จอหงวนอีกนะ”
ผลที่ตามมานี้ร้ายแรงมากจริงๆ ร้ายแรงจนไม่ว่าเขาหรือว่าลุงซิ่งก็ไม่อาจยอมรับได้
“จูอู่ นั่งลง” ในที่สุดลุงซิ่งก็เอ่ยปาก
จูอู่ทำท่าจะพูดอะไรอีก ลุงซิ่งถลึงตามองเขา “ปัญหาที่เจ้าก่อยังไม่พออีกหรือ”
จูอู่หุบปาก
ลั่วเซิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกขบขัน
จูอู่อายุใกล้สามสิบแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลุงซิ่งกลับเหมือนหนุ่มน้อยคนหนึ่ง
“คุณหนูลั่ว บอกจุดประสงค์เจ้ามาเถอะ” ลุงซิ่งเอ่ยอย่างสงบ
หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างไร้ที่มาที่ไปย่อมมีจุดประสงค์แน่นอน
จูอู่เจ้าคนโง่คนนี้ถูกคนอื่นจับตามองตั้งแต่แรกแล้วชัดๆ
เห็นได้ชัดว่าจูอู่ก็คิดถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อคิดถึงพฤติกรรมครานั้นที่ตนเองก้าวเข้ามากับดักโดยอาศัยหอสุราก็รู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาไม่คิดว่าตนเองโง่เช่นนี้…
ถึงครานี้ ลั่วเซิงย่อมไม่เก็บงำไว้ต่อไป นางมองไปที่จูอู่ “ข้าต้องการบัญชีรายชื่อผู้จ้างวานฆ่า”
องครักษ์จูเชวี่ยนางย่อมต้องการเช่นกัน แต่คิดตามหลักความเป็นจริงจะดีกว่า ไม่มีป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ย แม้เป่าเอ๋อร์เองก็ไม่สามารถใช้องครักษ์จูเชวี่ยเป็นของตนเอง ยิ่งมิต้องพูดถึงบุตรสาวของผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินเลย
ส่วนป้ายอาญาสิทธิ์อีกครึ่งหนึ่งจะอยู่ที่ใด… ลั่วเซิงทำได้เพียงคาดเดา
ประการที่หนึ่งคือครานั้นราชสำนักโจมตีจวนเจิ้นหนานอ๋องอย่างกะทันหัน ทำให้ท่านพ่อไม่ทันมอบป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยให้ผู้ใด ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยถูกทำลายไปพร้อมกับจวนเจิ้นหนานอ๋องหรือว่าถูกทิ้งไว้ในจวนเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกทิ้งร้างมาหลายปี
ยังมีความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง คือท่านพ่อมอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้เป่าเอ๋อร์…หรือไม่ก็คนที่ช่วยเป่าเอ๋อร์ไป
ป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ย…จะอยู่ในมือของแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือไม่ หรือว่าเป็นของขวัญติดตัวที่มีความหมายพิเศษกับลั่วเฉิน
เรื่องทั้งหมดนี้ ลั่วเซิงทำได้เพียงค่อยกลับไปตรวจสอบ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือเอาบัญชีรายชื่อมาให้ได้
“ท่านจูให้รายชื่อข้า ข้าก็จะรักษาความลับของทั้งสอง ท่านทั้งสองคิดว่าอย่างไร”
ลุงซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหนูลั่วไม่กลัวว่าต่อไปจะตกอยู่ในการลอบสังหารอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรือ ต้องรู้ว่ามีเพียงคนที่พูดไม่ได้เท่านั้นจึงจะวางใจได้”
จากเรื่องห้องลับ เขาไม่คิดว่าแม่นางน้อยตรงหน้าจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้
ลั่วเซิงยิ้มเย็นชา “ท่านทั้งสองเหตุใดต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วยเล่า ตอนนี้พวกท่านทำอะไรข้าไม่ได้ หรือคิดว่าออกไปแล้วจะกำจัดทั้งข้าและคนที่ข้าบอกไว้ ท่านจูมั่นใจแล้วหรือว่าข้าบอกเรื่องนี้กับผู้ใดไว้ คนน่ะสังหารได้ไม่หมดสิ้นหรอกนะ ปัญหาเองก็ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการสังหารคนเช่นกัน ในทางกลับกัน ปัญหาจะกลายเป็นก้อนหิมะที่ยิ่งกลิ้งยิ่งใหญ่ สุดท้ายต้องรับผลที่ตามมา”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลั่วเซิงก็มองจูอู่อย่างมีความหมาย “อย่างเช่นกลุ่มนักฆ่าของท่านจูที่ถูกรวบตัวไปทั้งหมด ท้ายที่สุดก็สูญเปล่า ยังต้องลำบากท่านลดตัวมาเป็นผู้ดูแลบัญชีให้หอสุราอีก”
จูอู่มุมปากกระตุก พยายามข่มอารมณ์ไม่คัดค้าน
ใครบอกว่าสูญเปล่ากัน หลายปีนี้กลุ่มนักฆ่าหาเงินรางวัลเลี้ยงองครักษ์จูเชวี่ยได้ นังหนูน้อยรู้อะไรกันเล่า!
ลุงซิ่งหันมองขวับ
เขาบอกแล้วว่าไม่ควรยุ่ง เป็นไปตามคาด เจ้าโง่นี่ยังมองไม่ทะลุปรุโปร่งเท่าเด็กสาวคนหนึ่งเลย
“มิหนำซ้ำ…” ลั่วเซิงลากเสียงยาว เอ่ยปากอีกครั้ง
จูอู่และลุงซิ่งมองไปที่นางพร้อมกัน ระวังตัวโดยสัญชาติญาณ
ลั่วเซิงพูดเสียงเบาลง แต่กลับชัดเจนทุกคำ “มิหนำซ้ำข้ายังเคยเห็นคนที่มีป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยด้วย”
ลุงซิ่งเท้ามือลงบนโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองไว้ สายตาเฉียบคม “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”