ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 414 อารมณ์ดี
ตอนที่ 414 อารมณ์ดี
“ท่านอ๋อง!” ครั้งนี้พระชายาผิงหนานอ๋องไม่ได้เป็นลมตามไปด้วย แต่โผเข้าไปแทน
พระชายาผิงหนานอ๋องตกอยู่ในความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างรุนแรง
บุตรชายคนโตสูญเสียตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ ถูกไล่กลับจวนอ๋อง บุตรชายคนรองชมชอบบุรุษให้ตายก็ไม่ยอมเปลี่ยน หากว่าตอนนี้ท่านอ๋องสิ้นใจ จวนอ๋องก็จบสิ้นแล้วจริงๆ
เว่ยเชียงเห็นผิงหนานอ๋องกระอักเลือดล้มลงไป หลังได้สติขึ้นมาก็เสียใจเล็กน้อย
เขาบุ่มบ่ามไปแล้ว
การถูกไล่กลับจวนผิงหนานอ๋องเช่นนี้ ทั้งตกอับ ทั้งอัปยศอดสู แต่ดีร้ายอย่างไร จวนอ๋องก็ให้สถานที่ให้หลบพักอาศัย
ตอนนี้หากเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อ น้องรองสืบทอดตำแหน่งผิงหนานอ๋อง เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน[1] ไม่สามารถพลิกตัวฟื้นกลับมาได้ตลอดกาล
“พี่ใหญ่พอใจแล้วสินะ” เสียงเย็นเยียบดังขึ้น
เว่ยเชียงมองไปทางเว่ยเฟิงที่หยุดอยู่ข้างกายเขา
เว่ยเฟิงโค้งมุมปาก เร่งฝีเท้าเดินไปข้างกายผิงหนานอ๋อง
ท่านหมอกำลังหิ้วกล่องยาห้อตะบึงมา วุ่นวายอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ใช้เข็มเงินฝังจนผิงหนานอ๋องมีชีวิตต่อไปได้
“พระชายา ท่านอ๋องร่างกายอ่อนแอยิ่ง หลังจากนี้ไม่อาจทนรับความกระทบกระเทือนใจได้อีกเด็ดขาดขอรับ…”
พระชายาผิงหนานอ๋องพยักหน้าเคร่งขรึม รอจนท่านหมอออกไปก็จ้องไปทางสองพี่น้องเว่ยเชียงด้วยสายตาดุดัน “พวกเจ้าทั้งสองคนได้ยินวาจาที่ท่านหมอพูดแล้วใช่ไหม”
ทั้งสองคนพยักหน้าเงียบๆ
“ออกไปเถอะ หลังจากนี้อย่าโผล่มาตรงหน้าบิดาพวกเจ้าอีก”
พระชายาผิงหนานอ๋องเห็นสองพี่น้องเดินออกไปแล้วก็หลับตาลง หยาดน้ำตาอุ่นร้อนรินไหลจากหางตา
หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ เหตุใดตอนนั้นต้องทำทุกวิถีทางใส่ร้ายจวนเจิ้นหนานอ๋องกัน
ถึงตอนท้าย บุตรชายคนโตห่างเหิน บุตรชายคนรองแค้นเคือง แผนการทั้งหมดกลายเป็นการเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์
หรือว่านี่จะเป็นกรรมตามสนอง
พระชายาผิงหนานอ๋องไม่ยินยอมคิดเช่นนั้น ในสมองกลับปรากฏดวงหน้างดงามเย็นชาดวงหนึ่ง
นั่นคือพระชายาเจิ้นหนานอ๋อง บุคคลหนึ่งเดียวในทางใต้ที่นางต้องปลุกพลังใจขึ้นมาประจบเอาใจ
วาจาที่พระชายาเจิ้นหนานอ๋องมักกล่าวก็คือจงพอใจในสิ่งที่ตนมี
สำหรับสิ่งนี้ นางแค่นเสียงดูแคลน
แต่เหตุใดตอนนี้นางถึงคิดคนผู้นั้นกัน
ความเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่งล้วนมีที่มาจากความรู้สึกไม่ยินยอมของคนที่มีฐานะต่ำกว่าในตอนแรกเริ่ม
พระชายาผิงหนานอ๋องปิดหน้าร้องไห้เงียบๆ ด้วยความเจ็บปวด
เว่ยเชียงกับเว่ยเฟิงเดินตามกันออกมาก็เห็นเว่ยเหวินนัยน์ตาแดงก่ำ ยืนอยู่กลางลาน
ทั้งสองคนล้วนไม่มีปฏิกิริยาเท่าใดนัก
เว่ยเฟิงนั้นมีช่องว่างกับน้องสาวแต่แรก ส่วนเว่ยเชียง แม้ว่าจะมีความรักและทะนุถนอมให้กับน้องสาวเพียงคนเดียวหลายส่วน แต่ตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์จะมาแสดงความรักลึกซึ้งระหว่างพี่น้อง
เว่ยเหวินเห็นพี่ชายสองคนเดินผ่านข้างกายไปเงียบๆ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าซีดขาวว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน”
น้ำเสียงเว่ยเชียงเผยถึงความอ่อนล้า “ค่อยคุยกันอีกที”
“เกี่ยวกับคุณหนูลั่ว”
เว่ยเชียงชะงักฝีเท้า มองไปทางเว่ยเหวิน
เด็กสาวรูปร่างบอบบางเม้มปากแน่น เผยความยืนหยัดท่ามกลางความเปราะบาง
แน่นอนว่า สิ่งที่ทำให้เว่ยเชียงเปลี่ยนความคิดไม่ใช่อารมณ์เศร้าหดหู่ของน้องสาว แต่เป็นการที่นางเอ่ยถึงคุณหนูลั่ว
ตอนที่เว่ยเฟิงได้ยินคำว่า “คุณหนูลั่ว” ก็หยุดเดินเช่นกัน
ตอนนี้เขาแทบอยากจะสับคุณหนูลั่วเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น เพื่อระบายความเกลียดชังในจิตใจ
เว่ยเฟิงจ้องแผ่นหลังสองคนนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างยากจะคาดเดา
“อยากพูดอะไร” เว่ยเชียงหยุดเดินแล้วถามเว่ยเหวิน
หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เว่ยเหวินก็เอ่ยเสียงเบา “พี่ใหญ่ ท่านจัดการกับแม่ทัพใหญ่ลั่วเพราะคุณหนูลั่วสินะ?”
เว่ยเชียงมีสีหน้าตะลึง ตื่นตระหนกอย่างยากจะอำพราง
เว่ยเหวินยิ้มเศร้า “ดูท่าข้าจะเดาถูกแล้ว”
เว่ยเชียงพลันมีสีหน้าเย็นชา “อย่าพูดเหลวไหล!”
เว่ยเหวินเห็นพี่ชายโมโหก็ไม่ได้ถอย “ข้าพูดเหลวไหลที่ไหนกัน พี่ใหญ่อย่าลืมเสียล่ะว่า วันนั้นที่คุณหนูลั่วตบข้านอกหอสุรา พี่ใหญ่ไม่เพียงไม่ช่วยข้า ยังจะให้ข้าขอโทษคุณหนูลั่วด้วย ข้าน้อยใจ ทั้งเศร้าใจ ครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เว่ยเหวินก็โค้งมุมปากยิ้มหยันขึ้นเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วล่ะ หากแม่ทัพใหญ่ลั่วล้มลง คุณหนูลั่วก็จะกลายเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ถึงตอนนั้นพี่ใหญ่ก็จะได้โอบกอดสาวงามกลับมาแล้ว…”
“หุบปาก!” เว่ยเชียงถูกเปิดโปงความคิดกะทันหันก็คล้ายกับถูกเปลื้องผ้า ทิ้งไว้กลางถนน ดวงหน้าร้อนวูบวาบย่ำแย่ยิ่ง
เว่ยเหวินเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพี่ชายก็ยิ่งแน่ใจในการคาดเดานี้ พลางพึมพำ “ข้ารู้ ข้ารู้อยู่แล้ว…”
เว่ยเชียงกลับคืนสู่สภาพสงบเยือกเย็นแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าที่เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งอย่าได้คิดเหลวไหล เรื่องไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด”
เขาเอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อ ก้าวเท้ายาวจากไป
เว่ยเหวินยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ความเกลียดชังในก้นบึ้งนัยน์ตาถูกหยาดน้ำตาบดบังทีละเล็ก ทีละน้อย
ความครึกโครมที่เกิดจากการที่องค์รัชทายาทถูกปลดคล้ายจะไม่ส่งผลกระทบต่อหอสุราเลยสักนิดเดียว อารมณ์ของเจ้าของหอสุราจึงแตกต่างไป
เมื่อเห็นมุมปากของลั่วเซิงประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ น้ำตาของซิ่วเย่ว์ก็เอ่อล้นออกจากหน่วยตาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
“คุณหนู ในที่สุดก็รอจนถึงวันนี้จนได้…”
ลั่วเซิงเม้มปากยิ้มบางๆ “ข้าพูดตั้งแต่ต้นแล้วว่า วันเวลายังอีกยาวไกล นี่เพิ่งจะเริ่มต้น”
เพียงแค่คายตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์ออกมานั้นไม่เพียงพอ ชีวิตบนและล่างของจวนเจิ้นหนานอ๋องหลายร้อยคน ไม่ได้ไร้ค่าเช่นนั้น
ท่าทางสบายๆ ของลั่วเซิงกลับทำให้น้ำตาของซิ่วเย่ว์รินไหลมากกว่าเดิม “คุณหนู บ่าวรู้สึกเหมือนกำลังฝัน ทำไม…ถึงได้เร็วขนาดนี้เจ้าคะ…”
นางทำลายโฉมตัวเอง ปกปิดตัวตนและชื่อเสียงเรียงนามสิบกว่าปี รู้สึกว่าการล้มจวนผิงหนานอ๋องกับองค์รัชทายาทที่เป็นดั่งภูเขาใหญ่สองลูกนี้ยากยิ่ง แต่ทางท่านหญิงกลับทำให้เป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว
ลั่วเซิงตบหลังมือซิ่วเย่ว์อย่างปลอบโยนและเอ่ยเบาๆ ประโยคหนึ่งว่า “จิตใจคนเรานั้นเปลี่ยนไปไวนัก”
จิตใจของฮ่องเต้นั้นเปลี่ยนไวยิ่งกว่า
นางก็แค่จับจุดนี้ไว้ได้เท่านั้นเอง
“เอาล่ะ เช็ดน้ำตาเสียเถอะ ถูกคนมองออกถึงเส้นสนกลในแล้วจะแย่”
ซิ่วเย่ว์รีบพยักหน้า หันหลังไปปาดน้ำตา
ลั่วเซิงเดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ต้นพลับกลางลานกว้างอาบแสงตะวันตกดิน ลูกพลับที่ห้อยอยู่บนกิ่งก้านกลมดิก มองดูแล้วชวนให้ผู้คนชื่นชอบ
ทว่าลูกพลับในเวลานี้น่ามองแต่กินไม่ได้ ลั่วเซิงพิจารณามองดูพอเป็นพิธีแล้วก็หมดความสนใจไป ก่อนจะสั่งโค่วเอ๋อร์ให้ยกชากับของว่างมาแล้วนั่งลงข้างโต๊ะหินพลางดื่มชา
ตอนที่เว่ยหานเดินเข้ามาก็เห็นทิวทัศน์เช่นนี้
โต๊ะและม้าหินโบราณเรียบง่ายกับเด็กสาวที่จิบชาพักผ่อน ยังมีกิ่งก้านบนต้นพลับที่ถูกผลพลับกดจนโน้มลงมา
เว่ยหานคิดว่า หากว่านี่คือภาพวาดม้วนหนึ่ง เช่นนั้นเขาจะต้องเก็บรักษา ทะนุถนอมไว้อย่างดี และชื่นชมมันทุกวัน
ลั่วเซิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เหลือบตามองมาแล้วเชื้อเชิญยิ้มๆ “ท่านอ๋องต้องการดื่มชาไหมเจ้าคะ”
เว่ยหานก้าวเท้ายาวเข้ามานั่ง รับถ้วยชาที่เด็กสาวตรงข้ามยื่นมาให้
“คุณหนูลั่วได้ยินข่าวแล้วสินะ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “ได้ยินแล้ว ขอบคุณท่านอ๋องที่ช่วยเหลือ”
“คุณหนูลั่วไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้น เดิมก็เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว” เว่ยหานเอ่ยเช่นนี้ พลางพิจารณามองเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
แววตานางมีรอยยิ้ม ริมฝีปากก็อมยิ้ม
วันนี้คุณหนูลั่วอารมณ์ดียิ่ง
ว่ากันว่า ตอนที่คนอารมณ์ดี หากมีคนเอ่ยร้องขอก็จะรับปากได้ง่ายมาก
ชายหนุ่มที่สีหน้านิ่งเฉย แต่ในใจกลับร้อนผะผ่าวขึ้นมา
เขาจะลองถามคุณหนูลั่วว่า…ยินยอมเป็นพระชายาของเขาดีหรือไม่
ขณะที่ความคิดนี้แวบผ่านไป เด็กสาวตรงข้ามก็ยิ้มสดใส “ท่านอ๋องอยากกินอะไร เพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านอ๋องให้ความช่วยเหลือ วันนี้ข้าจะเข้าครัวเอง”
เขาสั่งอาหารได้ตามใจชอบ คุณหนูลั่วจะเข้าครัวด้วยตัวเองหรือ
ความกล้าที่เว่ยหานเพิ่งจะปลุกขึ้นมาจึงหยุดชะงักไป
[1] สุนัขไร้บ้าน เปรียบเปรยถึงคนที่อยู่ในสภาพไร้ที่พึ่งพิง ไร้คนช่วยเหลือ