ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 426 สารภาพรัก
เด็กสาวคว้าแขนเสื้อเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าระบายยิ้ม
เด็กหนุ่มที่สูงกว่าเด็กสาวหนึ่งช่วงศีรษะขาดความดื้อรั้นเอาแต่ใจในอดีตไป มองดูแล้วว่านอนสอนง่ายยิ่ง
เว่ยหานรู้สึกว่า ภาพเหตุการณ์นี้ขัดตาอยู่บ้าง
ระยะนี้เด็กหนุ่มผ่าฟืนคนนี้โตเร็วมาก เกือบจะสูงทันเขาแล้ว
คุณหนูลั่วจับเจ้าเด็กคนนี้ทำไมกัน
เว่ยหานมองไปทางสวี่ฟางด้วยแววตาลึกล้ำขึ้น
เป็นพี่สาวแล้วไม่จัดการหน่อยหรือ
เขากระแอมไอเสียงเบา ก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป
ลั่วเซิงปล่อยแขนเสื้อสวี่ซี ทักทายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เปลี่ยนแปลง “ท่านอ๋องมาแล้ว”
สวี่ฟางรีบดึงสวี่ซีให้ทำความเคารพเว่ยหาน
เว่ยหานนิ่งเงียบแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไม่ต้องมากพิธี ไม่ได้รบกวนการสนทนาของพวกเจ้าใช่ไหม”
สวี่ซีขยับริมฝีปากอย่างทนไม่ไหว
เขาเพิ่งจะคุกเข่าก็ถูกคุณหนูลั่วดึงขึ้นมา ยังไม่รู้เลยว่า ทำไมพี่ใหญ่ถึงให้เขาคุกเข่า ไคหยางอ๋องก็มาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าถูกรบกวนอย่างหนัก…
แววตาสวี่ฟางมีรอยยิ้มเปล่งประกาย “ข้ามาหาน้องชายเจ้าค่ะ ไม่รบกวนท่านอ๋องกับคุณหนูลั่วแล้ว คุณหนูลั่ว ข้าพาสวี่ซีไปดื่มชาที่ห้องโถงใหญ่นะเจ้าคะ”
เมื่อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ สวี่ซีก็กดเสียงลงต่ำ “พี่ใหญ่ ท่านกับคุณหนูลั่วยังคุยกันไม่จบสินะ”
สวี่ฟางมองสวี่ซีแวบหนึ่ง จนปัญญากับความไร้เดียงสาของน้องชายอยู่บ้าง
นางกับสามีรักใคร่กันจึงไม่ใช่เด็กสาวซึ่งสับสนงุนงงในตอนที่ยังไม่ออกเรือนนานแล้ว ไหนเลยจะมองไม่ออกว่า ไคหยางอ๋องไม่ได้รู้สึกธรรมดาๆ ต่อคุณหนูลั่ว
สามารถกล่าวได้ว่า นางมีวันนี้ได้นั้นล้วนอาศัยความช่วยเหลือจากคุณหนูลั่ว ย่อมต้องหวังว่าจะได้เห็นคุณหนูลั่วมีความสุข
หวังเพียงแค่ความรักของคุณหนูลั่วกับไคหยางอ๋องจะผลิดอกออกผลในเร็ววัน
“คุยเล่นน่ะเมื่อไรก็ได้”
สวี่ซีเกาศีรษะ “เช่นนั้นเหตุใดเมื่อครู่นี้ ท่านต้องให้ข้าโขกศีรษะให้คุณหนูลั่วด้วย”
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงกระทืบเท้าแล้ว
ใต้เข่าบุรุษมีทองคำ ไม่มีทางคุกเข่าให้ใครพร่ำเพรื่อแล้วจะโขกศีรษะให้เด็กสาวคนหนึ่งได้อย่างไร
ปีศาจสาวก็ไม่ได้ เขาไม่มีทางยอมสยบ แม้ว่าจะต้องเจอการข่มขู่จากอิทธิพลอำนาจก็ตาม!
แต่เมื่อรู้ว่า พี่สาวคนโตแบกความลับเอาไว้หลายปี เขาก็ทุบต้นพลับด่าตัวเองว่าสารเลวไปไม่รู้กี่ครั้ง
หลังจากนี้เขาจะเชื่อฟังคำของพี่สาวคนโต
“พูดแล้วเรื่องมันยาว” สวี่ฟางเล่าเรื่องเสียงเบา
ในอดีตนางไม่กล้าบอกความลับนี้กับน้องชาย เพราะกลัวว่าน้องชายจะเผยเงื่อนงำด้วยความหุนหันพลันแล่นจนทำร้ายทั้งสองคน
แต่ตอนนี้ น้องชายค่อยๆ รู้ความแล้ว อย่างน้อยใครมีบุญคุณกับพวกเขาพี่น้องก็ควรจะให้น้องชายได้เข้าใจ
สวี่ฟางเล่าจบก็ยิ้มอ่อนโยน “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วสินะว่า คุณหนูลั่วเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจคนหนึ่ง หลังจากนี้ไม่อนุญาตให้เห็นผู้อื่นเป็นปีศาจสาวแล้ว…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ สวี่ซีพลันเด้งตัวลุกขึ้นยืน
สวี่ฟางตกใจ “ทำไมหรือ”
สวี่ซีก้าวเท้าวิ่งไปยังลานด้านหลัง
ตอนนี้เว่ยหานกับลั่วเซิงกำลังชื่นชมต้นพลับซึ่งประดับไปด้วยผลหนักอึ้ง
ชายหนุ่มคล้ายจะกำลังชมต้นพลับ แต่หางตากลับทอดมองอยู่บนร่างของเด็กสาวตลอด
ซวงเจี้ยงแล้ว
ถึงเวลาเก็บลูกพลับแล้ว หากเขาเอ่ยความในใจออกมา…จะสำเร็จหรือไม่
เว่ยหานปลุกความกล้าเงียบๆ ขณะมองไปทางเด็กสาวข้างกาย
เด็กหนุ่มพุ่งเข้ามาเหมือนพายุหมุน หากไม่ใช่ว่าถีบไปฝ่าเท้าหนึ่งได้ทันเวลาก็เกือบจะพุ่งเข้าใส่ร่างลั่วเซิงแล้ว
“ทำไมหรือ” ลั่วเซิงมองสวี่ซีนิ่งๆ
สวี่ซีนัยน์ตาแดงระเรื่อ ยากจะปิดบังความตื้นตันใจ “คุณหนูลั่ว ข้าเข้าใจท่านผิดไปแล้ว ที่แท้ท่านก็ดีต่อข้าขนาดนี้!”
เว่ยหานจ้องเขาเขม็ง
ลั่วเซิงถอนหายใจจนปัญญา “รู้แล้ว กลับห้องโถงใหญ่ไปดื่มชาเป็นเพื่อนพี่สาวเจ้าเถอะ”
แม้ว่าหลานชายคนเล็กจะก้าวหน้า แต่นิสัยตรงไปตรงมานั้นเปลี่ยนไม่ได้
ทว่าจุดนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก เปลี่ยนเป็นสุขุมขึ้นไปตามอายุที่มากขึ้นก็พอแล้ว
เมื่อได้รับวาจานี้จากลั่วเซิง เด็กหนุ่มก็วิ่งไปราวกับสายลมหอบหนึ่ง
เว่ยหานถอนสายตากลับมา พลางเสนอความเห็นนิ่งๆ “คุณหนูลั่ว ข้าว่าสวี่ซีผ่าฟืนได้ชำนาญมากแล้ว หากผ่าฟืนอีกทั้งวันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมาก หากเจ้าไม่คัดค้าน ไม่สู้ให้เขาเข้าไปฝึกในหน่วยองครักษ์ของข้าสักหน่อย”
เด็กหนุ่มผ่าฟืนถึงกับค้นพบความดีของคุณหนูลั่วและยังสามารถอยู่ด้วยกันได้ทั้งเช้าเย็น…เว่ยหานคิดว่าตนเองไม่ใช่คนใจแคบ แต่การค้นพบนี้ทำให้เขาไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนักจริงๆ
ลั่วเซิงหวั่นไหวกับข้อเสนอนี้อยู่บ้าง
ตอนนี้สวี่ซีมีเพียงพละกำลัง หากไปฝึกฝนกับไคหยางอ๋องสักหน่อยก็ไม่แน่ว่าจะสามารถขัดเกลาจนเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จได้
เมื่อเห็นลั่วเซิงครุ่นคิด เว่ยหานก็ไม่ได้รบกวน เพียงแค่ใจลอยมองต้นพลับ
ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้อเสนอของท่านอ๋องไม่เลวจริงๆ แต่ยังต้องถามความคิดของสวี่ซีก่อนค่อยว่ากันอีกที”
เว่ยหานเลิกคิ้วแปลกใจ
คุณหนูลั่วยังต้องถามความคิดของสวี่ซีด้วยหรือ
เอาใจใส่กว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก…
อย่างไรเสีย ในความทรงจำ ตอนคุณหนูลั่วจัดการเด็กหนุ่มผ่าฟืนขึ้นมาก็ไม่ได้ยั้งมือเลยสักนิด
ลั่วเซิงเห็นเว่ยหานเผยสีหน้าตะลึงก็อธิบายพอเป็นพิธี “ให้เขาผ่าฟืนเพราะแต่ก่อนเขาไม่เอาไหนจริงๆ ตอนนี้เขารู้ความแล้ว เส้นทางหลังจากนี้จะเดินไปเช่นไร เดินทางสายไหน ก็ต้องเป็นเขาที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง หรือว่าปรึกษากับพี่สาวคนโต”
ในฐานะน้าเล็ก สิ่งที่สมควรทำ นางก็ทำแล้ว หลังจากนี้ ไม่ว่าจะสวี่ฟางหรือว่าสวี่ซี เส้นทางชีวิต ก็ทำได้แค่ให้พวกเขาเดินกันเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เส้นทางที่นางจะเดินเป็นทางตัน เกี่ยวพันกับพวกเขาให้น้อยหน่อยนั้นเป็นเรื่องดี
“คุณหนูลั่วเป็นห่วงเด็กคนนั้นจริงๆ” เว่ยหานไม่มีทางยอมรับว่า เขาตั้งใจเรียกสวี่ซีเช่นนั้นจริงๆ
ลั่วเซิงแย้มรอยยิ้ม “อย่างไรเสีย ก็เป็นข้าที่ซื้อกลับมา ย่อมต้องรับผิดชอบในตัวเขา”
เว่ยหาน “…”
เว่ยหานค่อยๆ ปรับอารมณ์เงียบๆ พลางเอ่ยยิ้มๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูลั่วก็กลับไปถามเขาเถอะ หากเขายินยอม ก็บอกข้าได้ตลอดเวลา”
“ข้าขอขอบคุณท่านอ๋องแทนเขาก่อน”
เว่ยหานมุ่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หรือว่าถูกคุณหนูลั่วซื้อมาแล้ว จะสามารถถูกคุณหนูลั่วเห็นเป็นคนในครอบครัวตนเอง และได้รับความดูแลและเป็นห่วงมากมายกัน
ครุ่นคิดถึงเด็กหนุ่มผ่าฟืนแล้วคิดถึงห่านต้าไป๋ที่มีคนดูแลโดยเฉพาะแล้ว เว่ยหานก็รู้สึกว่าไม่ได้คิดผิด
การค้นพบนี้ทำให้เขาถอนหายใจเงียบๆ
ฐานะนี้ของเขา…ไม่สะดวกที่จะถูกคุณหนูลั่วซื้อจริงๆ
เว่ยหานสีหน้าจริงจังตามความคิดที่ผุดขึ้นมา
เขาไม่อาจโอบกอดความคิดฉกฉวยจังหวะเอารัดเอาเปรียบเช่นนี้ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่การดูแลและความเป็นห่วงของคุณหนูลั่ว
สิ่งที่เขาต้องการคือ ได้ดูแลและเป็นห่วงคุณหนูลั่วอย่างชอบด้วยเหตุผล
เว่ยหานชัดเจนต่อความในใจ แววตาค่อยๆ แน่วแน่
ต้นพลับเบื้องหน้างอกงามเป็นสีแดงเพลิง เหมือนกับจิตใจอันร้อนแรงของเว่ยหานในตอนนี้
เมื่อก่อนเขาไม่เข้าใจว่า การที่มักจะอยากเจอแม่นางคนหนึ่งนั้นหมายความว่าอะไร ตอนนี้เข้าใจแล้ว
เขาอยากแต่งแม่นางผู้นี้กลับจวน สามารถพบเจอนางได้ตลอดเวลา ไม่ใช่ต้องวิ่งรอกมาถึงหอสุรา ถึงจะได้พบ
ถูกต้อง เมื่อเข้าใจแล้ว แม้ว่าจะเป็นลูกค้าหอสุราที่ได้รับอาหารเพิ่ม สุดท้ายก็เป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่งเท่านั้น
เขาไม่อยากเป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่งของหอสุราแล้ว
ต้นพลับคล้ายจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ในตอนนี้ของเว่ยหาน กิ่งก้านค่อยๆ หยุดสั่นไหว ราวกับกลัวว่าจะขัดความกล้าของเขา
ส่วนลั่วเซิงก็สังเกตเห็นถึงบรรยากาศแปลกๆ ได้เช่นกัน
นางผินหน้ามองบุรุษที่ชื่นชมต้นพลับด้วยกันแวบหนึ่ง แล้วถามนิ่งๆ ว่า “ท่านอ๋องต้องการไปดื่มชาสักถ้วยที่ห้องโถงใหญ่หรือไม่”
บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้นางกระวนกระวายเล็กน้อย
เว่ยหานมองลั่วเซิงด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูลั่วยังจำที่ข้าบอกว่ารอถึงวันซวงเจี้ยง พวกเราค่อยมาดูต้นพลับกันอีกได้หรือไม่”
“จำได้ ตอนนี้ก็ดูไปแล้ว ท่านอ๋องไม่ไปดื่มชาหรือ”
“ตอนนี้ข้าไม่อยากดื่มชา” เขาจ้องเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แล้วถามเบาๆ ว่า “ข้าอยากถามคุณหนูลั่วว่า ยินยอมอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าไปกับข้าหรือไม่”