ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 427 ไม่ยินยอม
ตอนที่ 427 ไม่ยินยอม
ใบของต้นพลับในฤดูกาลนี้บางตาแล้ว ผิวภายนอกของผลลูกพลับที่ห้อยเต็มกิ่งมีน้ำค้างแข็งสีขาวเกาะ เหมือนกับผมสีขาวโพลนจริงๆ
แก่เฒ่าไปด้วยกัน เป็นคำที่งดงามมากเพียงใด
ลั่วเซิงมองบุรุษที่เอ่ยคำนี้กับนางเงียบๆ
เขาสูงมาก แม้ว่าท่ามกลางหมู่สตรีนางจะสูงเพรียวแล้วแต่ก็ยังต้องเงยหน้าเพื่อมองตาเขาเช่นกัน
ดวงตาคู่นั้นดำขลับและกระจ่าง เต็มไปด้วยความจริงใจและเฝ้ารอ
ลั่วเซิงลำคอฝาดเฝื่อน กลีบปากขยับน้อยๆ
เว่ยหานกลั้นลมหายใจรอคำตอบของนาง
“ไม่ยินยอม”
คำตอบของเด็กสาวเบามาก คล้ายกับถูกสายลมปลายฤดูใบไม้ร่วงบดละเอียด ค่อยๆ ลอยเข้าไปในหูเว่ยหาน จากนั้นก็ร่วงลงในใจเขา
หัวใจของเขา เจ็บปวดขึ้นมาทันที
ถูกปฏิเสธแล้ว
เว่ยหานตะลึงมองเด็กสาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมตรงหน้า
ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้ แต่ก็ยังคงรู้สึกเสียใจอยู่ดี
เขาได้ลิ้มรสชาติความไม่ยินยอม แต่กลับไม่ได้เอ่ยคำว่า “เพราะเหตุใด” ออกมา และเอ่ยกับเด็กสาวซึ่งมีสีหน้าไร้ความรู้สึกยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นพวกเราไปดื่มชาที่ห้องโถงใหญ่กันเถอะ”
ลั่วเซิงน้ำเสียงสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านอ๋องไปดื่มเถอะ ข้าจะกลับห้องสักหน่อย”
เว่ยหานนิ่งเงียบครู่หนึ่ง และรับคำว่าได้
ทั้งสองคนแยกย้ายกันที่ข้างต้นพลับ คนหนึ่งเดินไปห้องโถงใหญ่ คนหนึ่งเดินเข้าไปในห้อง
ห่างไกลกันขึ้นเรื่อยๆ
ภายในห้องเงียบสงัด ลั่วเซิงยกมือขึ้น ดวงหน้าเย็นเฉียบและแข็งค้างมองต้นพลับโดดเดี่ยวกลางลานผ่านหน้าต่างลายฉลุ
ไคหยางอ๋องเชื้อเชิญนางให้แก่เฒ่าไปด้วยกัน…ดังนั้นหลายครั้งนั้นไม่ใช่นางคิดเข้าข้างตัวเองสินะ
ลั่วเซิงยิ้มเยาะตัวเอง
นางก็ว่า นางไม่ใช่คนที่คิดเข้าข้างตนเอง
หลังจากยิ้ม ก็นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
เสียงฝีเท้าดังลอยมาจากนอกห้อง
ลั่วเซิงยังคงมองไปนอกหน้าต่าง และเห็นลูกพลับลูกหนึ่งพลันหล่นจากกิ่งไม้แหลกเหลวเป็นชิ้น
ลูกพลับหวานขนาดนั้น น่าเสียดายจริงๆ
เพิ่งจะมีความคิดนี้พาดผ่านไป นอกม่านก็มีเสียงดังลอยมา “คุณหนู ข้าเข้าไปได้ไหมเจ้าคะ”
ลั่วเซิงถอนสายตากลับมา เอ่ยนิ่งๆ ว่า “เข้ามาเถอะ”
ซิ่วเย่ว์เดินเข้ามาแผ่วเบา
“มีเรื่องอะไรหรือ” ลั่วเซิงถามยิ้มๆ
ซิ่วเย่ว์กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นทำให้คนที่ได้พบเห็นเจ็บปวดจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “คุณหนู ไคหยางอ๋อง…เป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง…”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ดีต่อท่านหญิง
ท่านหญิงลำบากเกินไปและเหนื่อยเกินไปเช่นกัน
ลั่วเซิงหลุบตาลง ไม่พูดอะไรเนิ่นนาน
“ท่านหญิง…” ซิ่วเย่ว์ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร แต่ก็อดที่จะเอ่ยปากไม่ได้
ลั่วเซิงเหลือบตาขึ้นมองยิ้มๆ “แต่เขาแซ่เว่ยนะ”
เว่ยเชียงถูกปลดแล้ว แต่จวนผิงหนานอ๋องยังอยู่
แม้ว่าจวนผิงหนานอ๋องจะล้มลงไปแล้ว… ลั่วเซิงเบนสายตา มองไปยังทิศทางเมืองจักรพรรดิ
จวนผิงหนานอ๋องล้มแล้ว ก็ยังมีภูเขาลูกใหญ่กว่ากดทับอยู่เหนือศีรษะ
ถึงตอนนั้น พวกเขาไม่ได้กลายเป็นศัตรูกันก็ไม่เลวแล้ว
ซิ่วเย่ว์ได้ยินวาจาของลั่วเซิงก็นิ่งเงียบเช่นกัน
เว่ยหานนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ดื่มชาถ้วยแล้วถ้วยเล่า
สือเยี่ยนทนมองไม่ได้จึงเขยิบเข้าไป “นายท่าน ไม่สู้ข้าน้อยไปนำสุรามาให้ท่านกาหนึ่ง”
ใช้มาดการดื่มสุราดับทุกข์ ดื่มชาเช่นนี้ ท้องรับไหวหรืออย่างไร
“หนึ่งไห”
สือเยี่ยนอึ้ง แต่ก็นำสุราไหหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว
น้ำสุราใสแจ๋ว กลิ่นหอมสุรามอมเมาผู้คน
เว่ยหานร่ำสุราเงียบๆ เสร็จก็ลุกขึ้นจากไป
ตอนลั่วเซิงออกมาก็เห็นโต๊ะริมหน้าต่างว่างเปล่า เหลือเพียงไหสุรากับชามสุราที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
สือเยี่ยนทอดถอนใจ “นายท่านของพวกเรากระเพาะไม่ดี ดื่มสุรามากไปก็จะปวดท้องมาก”
ลั่วเซิงมองเขาอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
สือเยี่ยนทอดถอนใจต่อ “ดูท่าคืนนี้คงไม่มากินแล้ว อยู่ในจวนก็กินข้าวไม่ลง เช่นนั้นก็ไม่สบายยิ่งกว่า…”
ลั่วเซิงได้ยินแล้วก็หงุดหงิดอย่างน่าประหลาดจึงเอ่ยเรียบๆ “รู้ว่านายท่านของพวกเจ้าดื่มมากแล้วจะปวดกระเพาะ เจ้ายังยกมาให้เขาไหหนึ่งอีกหรือ”
สือเยี่ยนถูกถามจนชะงักไป
“เจ้าไม่ต้องกินมื้อเย็นแล้ว มีทุกข์ร่วมต้านไปกับนายท่านแล้วกัน”
สือเยี่ยนหน้ามืด ล้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ในใจไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง มีสิทธิ์อะไร ผู้อื่นล้วนเป็นสามีภรรยามีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เขาที่เป็นองครักษ์ตัวเล็กๆ ได้รับการปฏิบัติสูงเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ
นี่คุณหนูลั่วโกรธแล้วพาลนี่!
โกรธแล้วพาล…
สือเยี่ยนกะพริบตา ไตร่ตรองท่าทีออกมาได้หลายส่วน คุณหนูลั่วเจ็บปวดแล้ว
แบบนี้ คุณหนูลั่วก็ไม่ได้แสดงออกอย่างไร้ไมตรีขนาดนั้นนี่
ไม่ได้ เขาต้องนำการค้นพบนี้ไปบอกนายท่าน นายท่านจะได้ไม่หมดอาลัยตายอยากจนกระทั่งไม่กล้ามาหอสุราในภายหลัง
เมื่อเห็นว่ายังห่างจากเวลาหอสุราเปิดอีกมาก องครักษ์น้อยก็แอบออกไปและถือโอกาสเด็ดพุทราหนึ่งลูกบนกิ่งพุทราโยนเข้าปาก
รถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งไม่ไกล องค์หญิงฉางเล่อเร่งฝีเท้าลงมา
สือเยี่ยนรีบกลืนพุทราลงไปและเห็นกับตาว่าองค์หญิงฉางเล่อเข้าไปในหอสุรา
องค์หญิงฉางเล่อมาหาคุณหนูลั่วอีกแล้วหรือ
องครักษ์น้อยพึมพำประโยคหนึ่งในใจ ขณะมุ่งไปยังจวนไคหยางอ๋อง
ลั่วเซิงมองไหสุราว่างเปล่าตรงหน้าก็รู้สึกขัดตาอย่างน่าประหลาดจึงสั่งว่า “หงโต้ว เก็บกวาดโต๊ะ”
“เจ้าค่ะ” หงโต้วรับคำเสียงใส เก็บกวาดโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว
ก็ไม่ได้มีอะไรให้เก็บกวาดนัก แค่ไหสุราว่างเปล่าหนึ่งไห บวกกับชามสุราว่างเปล่าหนึ่งใบ พริบตาเดียว บนโต๊ะก็ว่างเปล่า กระทั่งสุราที่หกก็ยังถูกเช็ดจนสะอาด
ลั่วเซิงหลุบตาซ่อนความรู้สึกในแววตา พลางเดินไปทางด้านหลัง
“อาเซิง…“
ลั่วเซิงหมุนตัวกลับมา
องค์หญิงฉางเล่อเดินเข้ามาพลางสั่งคุณชายสามเซิ่งว่า ”นำสุราส้มมาให้ข้ากาหนึ่ง“
หลังยกสุราส้มมาแล้ว คุณชายสามเซิ่งก็วิ่งจากไปอย่างเร็ว
องค์หญิงฉางเล่อเหลือบตามองอย่างงุนงง เอ่ยกับลั่วเซิงว่า ”อาเซิง อย่าเห็นว่าญาติผู้พี่ของเจ้ารูปร่างอวบอิ่ม แต่การเคลื่อนไหวนั้นปราดเปรียวมากทีเดียว“
คุณชายสามเซิ่งซึ่งหลบหลังม่านประตูสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย
อันใดที่เรียกว่า รูปร่างอวบอิ่มกัน?
ทว่าจากนั้นก็โล่งใจ อวบอิ่มก็อวบอิ่มเถอะ อวบอิ่มในสายตาองค์หญิงฉางเล่อนั้นปลอดภัยกว่าหล่อเหลาและสง่าผ่าเผย
หลายวันมานี้ เขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดว่าจะถูกองค์หญิงแย่งตัวไปเป็นบุรุษคนโปรด แรงกดดันมากจนกินข้าวเพิ่มอีกชามหนึ่ง
ลั่วเซิงกวาดหางตาผ่านม่านประตูที่สั่นไหวเล็กน้อยแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ใช่แล้วเพคะ ญาติผู้พี่ของหม่อมฉันมีความสามารถมาก”
องค์หญิงฉางเล่อจิบสุราส้มเปรี้ยวหวาน พลางเอ่ยเจตนาการมาเยือนที่แท้จริง “อาเซิง ระยะนี้ซูเย่าไม่ได้มาร่ำสุราหรือ”
ลั่วเซิงส่ายหน้าเรียบๆ “ไม่ได้มาหลายวันแล้วเพคะ”
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่องค์หญิงฉางเล่อได้พบซูเย่าที่หอสุรา จนถึงตอนนี้ ก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว และค่อยๆ มีข่าวลือออกไปว่า องค์หญิงฉางเล่อถูกใจบัณฑิตจอหงวนคนใหม่
ว่ากันว่า บัณฑิตจอหงวนปฏิบัติต่อความโปรดปรานขององค์หญิงฉางเล่ออย่างไม่ไว้หน้า
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มหวาน บีบจอกสุรา “นี่กำลังหลบหน้าข้าสินะ”
นางดูแล้วยิ้มงดงามดั่งมวลผกา ท่าทางสบายๆ ไร้กฎเกณฑ์ แต่ลั่วเซิงกลับมองเห็นความมั่นใจว่าจะสามารถได้มาครอบครองในสายตานั้น
“เขาเป็นคู่หมั้นของท่านหญิงน้อยเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อได้ยินลั่วเซิงกล่าวเช่นนี้ก็พลันหัวเราะ “ในสายตาข้า แบ่งออกเป็นบุรุษที่ถูกใจ สามารถเป็นคนโปรดได้กับบุรุษอัปลักษณ์”
คู่หมั้นของใครนั้นมีอะไรสำคัญกัน
องค์หญิงฉางเล่อวางจอกสุราแล้วลุกขึ้น “อาเซิง ข้าไปก่อนนะ รอตอนที่หอสุราเปิดทำการ จะมาร่ำสุราอีกครั้ง”
ลั่วเซิงลุกขึ้นไปส่งองค์หญิงฉางเล่อถึงนอกประตูและมองส่งรถม้างดงามคันนั้นค่อยๆ ห่างออกไป
องค์หญิงฉางเล่อซึ่งนั่งอยู่ในรถม้า สั่งนางกำนัลในวังอย่างเกียจคร้าน “ให้คนขับตรงไปราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลิน”
ในเมื่อสถานการณ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เช่นนั้นนางก็ทำได้แค่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์แล้ว คนมีชีวิตที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งจะยังสามารถติดปีกบินหนีไปได้หรือ