ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 449 ส่ง
ตอนที่ 449 ส่ง
ภายในคุกแยกส่วนตัวห้องหนึ่ง เว่ยเชียงมองขันทีที่ยกเหล้าพิษเข้ามาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ขันทีคือคนที่ทางวังส่งออกมาจับตาดูทุกคนในจวนผิงหนานอ๋องสิ้นลมหายใจด้วยกันกับองครักษ์จิ่นหลินแล้วถึงจะสามารถกลับวังไปรายงานภารกิจได้
“ควรจะลงมือได้แล้ว” เสียงแหลมเล็กของขันทีดังขึ้นในห้องคุกอึมครึม
องครักษ์จิ่นหลินที่เดินเข้ามากับขันทีจ้องเว่ยเชียงอย่างระแวดระวัง เผื่อเขาแสดงอาการบ้าคลั่งก่อนตาย
อย่างไรเสีย จะมีสักกี่คนที่สามารถยอมรับความตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน คนที่ดิ้นรนต่อสู้ก่อนตายน่ะ เขาเห็นมาเยอะแล้ว
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ องค์รัชทายาทซึ่งถูกปลดท่านนี้กลับสงบนิ่งเป็นพิเศษ หรือจะบอกว่าด้านชากันแน่
เขาค่อยๆ เอ่ยปาก “เอามาเถอะ”
ขันทีเห็นสถานการณ์ก็โล่งใจ
ให้ความร่วมมือขนาดนี้ก็เบาแรงเขาไปได้มาก
ขันทียกเหล้าพิษเดินไปทางเว่ยเชียงทีละก้าวๆ
“รอก่อน” มีเสียงดังลอยมาจากประตู
เสียงของเด็กสาวใสกระจ่าง แต่เมื่อดังขึ้นในคุกอันมืดหม่นนั้นกลับให้ความรู้สึกน่าขนลุกหลายส่วน
ขันทีมือสั่น เหล้าพิษบนถาดแกว่งไปมา
“แม่ทัพใหญ่” องครักษ์จิ่นหลินเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วที่เดินเข้ามาเป็นเพื่อนลั่วเซิงก็ทำความเคารพทันที
ขันทีมองลั่วเซิงแล้วมองแม่ทัพใหญ่ลั่ว ดวงหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
นี่มันเรื่องอะไรกัน แม่ทัพใหญ่ลั่วพาบุตรสาวมาส่งองค์รัชทายาทซึ่งถูกปลดหรือ
“แม่ทัพใหญ่ นี่ท่าน…” ขันทีเอ่ยปากหยั่งเชิง
ยากที่นักโทษประหารจะให้ความร่วมมือขนาดนี้ รีบให้คนตายเสียดีกว่า จะได้ไม่ก่อเรื่องขึ้นมา ทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไร
แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองเว่ยเชียงแวบหนึ่ง กระแอมไอเบาๆ “คือแบบนี้ เว่ยเชียงยังติดเงินค่าสุรากับบุตรสาวข้า”
ขันทีดวงตาเบิกกว้าง
คนจะตายอยู่แล้ว ยังจะตามมาทวงหนี้ถึงคุกอีกหรือ
เมื่อมองเด็กสาวซึ่งมีสีหน้าเฉยชา ขันทีก็ตัวสั่นระริก
คุณหนูลั่วนั้นล่วงเกินไม่ได้จริงๆ!
แม่ทัพใหญ่ลั่วเองก็กระอักกระอ่วนใจเช่นกันจึงยิ้มแห้งๆ “กงกงอำนวยความสะดวกให้หน่อยเถอะ ให้บุตรสาวได้คุยกับเขาสักสองสามประโยค“
ตำลึงทองซึ่งมีน้ำหนักยิ่งก้อนหนึ่งร่วงลงในมือขันที
ขันทีเกือบจะจับเอาไว้ไม่มั่นคง จากนั้นก็ยกเหล้าพิษถอยออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน
การอำนวยความสะดวกให้กับผู้อื่นก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับตนเอง ถึงจะไม่มีทองก้อนนี้ เขาซึ่งเป็นขันทีตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำให้แม่ทัพใหญ่ลั่วลำบากใจได้หรือ
เมื่อเห็นขันทีออกไปแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ส่งสายตาให้องครักษ์จิ่นหลินนายนั้น
องครักษ์จิ่นหลินรีบถอยออกไปทันที
“ท่านพ่อ ท่านก็ออกไปด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเบา “เซิงเอ๋อร์ คนเราก่อนตายน่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ทั้งนั้น พ่ออยู่ที่นี่ดีกว่า”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ท่านพ่อวางใจได้เจ้าค่ะ หากเขาจะทำอะไรซี้ซั้วขึ้นมาจริงๆ ก็สู้ลูกไม่ได้หรอก”
แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดแล้วก็ใช่จึงกำชับว่า “พูดให้น้อยหน่อย พูดจบก็รีบออกมา หากเกิดเรื่องอะไร ก็ตะโกนเรียกคนได้”
ลั่วเซิงพยักหน้าติดๆ กัน รอแม่ทัพใหญ่ลั่วออกไปแล้วก็มองเว่ยเชียงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
เว่ยเชียงก็มองนางเช่นกัน
มีเสี้ยววินาทีหนึ่ง ภายในคุกซึ่งมืดมนและน่าขนลุกนี้เงียบจนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
เว่ยเชียงเอ่ยปาก “ข้าจำไม่ได้ว่าติดค้างเงินค่าสุรากับคุณหนูลั่ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มเจื่อน “แม้ว่าจะติดค้าง ก็รอชาติหน้าค่อยคืนแล้วกัน”
ไม่รู้ว่าทำไม การได้เจอคุณหนูลั่วในตอนนี้ หัวใจที่ด้านชาถึงคล้ายจะมีชีวิตขึ้นมาหลายส่วน
สามารถเจอเด็กสาวคนหนึ่งที่เหมือนกับลั่วเอ๋อร์ก่อนตาย อาจจะเป็นความสงสารที่สวรรค์มีต่อเขาก็ได้
ลั่วเซิงหัวเราะเยาะ “ข้าน่ะกลัวเรื่องนี้ ดังนั้นถึงได้มาเอ่ยกับเจ้าให้ชัดเจน”
เว่ยเชียงจ้องรอยยิ้มหยันที่มุมปากของลั่วเซิงและเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
แม้ว่าการพบหน้ากับคุณหนูลั่วหลายครั้งจะไม่ราบรื่น แต่ก็ไม่ถึงขนาดต้องตั้งใจวิ่งมาเย้ยหยันเขาในตอนนี้หรอกกระมัง
“คุณหนูลั่วมาพบข้าตอนนี้ เพราะเหตุใดกันแน่” เว่ยเชียงจ้องตานางพลางถาม
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปาก “ข้ามาส่งเจ้า”
นางเดินเข้าไปใกล้เว่ยเชียงทีละก้าวๆ
เว่ยเชียงเดิมนั่งอยู่บนพื้น ตอนนี้จึงต้องลุกขึ้นอย่างอดไม่ได้
ลั่วเซิงยืนนิ่งตรงหน้าเขา มุมปากประดับรอยยิ้ม แววตากลับมีประกายเย็นชา เอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนข้าเคยเอ่ยประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้ายังจำได้หรือไม่”
“อะไรหรือ”
นางยืนอยู่ตรงหน้าเขา สีหน้าท่าทางเล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้าและน้ำเสียงดูแคลนล้วนให้ความรู้สึกคุ้นเคยรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้หัวใจเขาเต้นถี่รัว เกิดลางสังหรณ์ว่าจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น
ลั่วเซิงมองเว่ยเชียง เอ่ยทีละคำ “เว่ยเชียง ครอบครัวพวกท่านจะต้องพบกับกรรมตามสนอง ในสวรรค์และปรโลก ข้าจะเบิกตากว้างมองดู รอวันที่กรรมตามสนองวันนั้น”
เว่ยเชียงคล้ายกับถูกค้อนหนักทุบเข้าที่หัวใจ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ลั่วเอ๋อร์…”
เขายื่นมือออกไปคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของลั่วเซิงอย่างรวดเร็ว
มือของเด็กสาวเย็นเยียบ สีหน้ากลับเย็นเยือกยิ่งกว่า “ปล่อย”
“เจ้าคือลั่วเอ๋อร์ใช่หรือไม่ บอกข้ามา เจ้าเป็นใครกันแน่!” เว่ยเชียงสีหน้าตื่นเต้นจึงเพิ่มแรงที่มือโดยไม่ได้ตั้งใจ
ลั่วเซิงรู้สึกเจ็บ แต่กลับไม่ขมวดคิ้วเลยสักนิด แต่ใช้สายตาเยาะเย้ยจ้องบุรุษซึ่งมีสภาพย่ำแย่แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าดูสิ สิ่งที่ข้าเคยเอ่ยเอาไว้เป็นจริงแล้ว”
นางดึงมือกลับ แต่เว่ยเชียงจับเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย “ลั่วเอ๋อร์ อย่าไป ข้าอยากจะบอกกับเจ้ามาตลอดว่า ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ!”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าผิดไปแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยซ้ำอีก”
“เจ้า…”
“อ้อ ข้าไม่ให้อภัย” ลั่วเซิงเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ แววตาเต็มไปด้วยประกายเย็นเยียบ
เว่ยเชียงตะลึงมองนาง
ลั่วเซิงฉวยโอกาสดึงมือกลับมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ามาส่งเจ้าก็เพราะจะบอกเรื่องนี้กับเจ้า เจ้าไม่ต้องคิดแล้วว่า เมื่อไปถึงปรโลกแล้วจะทำอย่างไรอีก”
“ลั่วเอ๋อร์…” เว่ยเชียงจ้องเด็กสาวตรงหน้า น้ำตาเอ่อคลอหน่วยตา
หัวใจที่ไร้ความรู้สึกยามเผชิญหน้ากับความตาย ตอนนี้เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“หลังจากนี้คงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ลั่วเซิงหมุนตัว
ข้อมือถูกคว้าเอาไว้อีกครั้ง เพื่อให้คนตรงหน้ารั้งอยู่นานขึ้นอีกหน่อย เว่ยเชียงพลั้งปากเอ่ยว่า “ลั่วเอ๋อร์ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะบอกแม่ทัพใหญ่ลั่วหรือ”
ลั่วเซิงหมุนตัวกลับมา สายตาที่มองเว่ยเชียงนั้นเต็มไปด้วยความดูแคลน “เจ้าทำร้ายข้าตายไปครั้งหนึ่งแล้ว หากทำร้ายจนตายอีกครั้งหนึ่งจะมีอะไรแปลกกัน”
“ไม่ใช่ข้า…ลั่วเอ๋อร์ เจ้าฟังข้าพูดก่อน เสด็จพ่อรับปากข้าว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า ข้าไม่เคยต้องการให้เจ้าตาย…”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้น
“เว่ยเชียงเอ๋ย เจ้ามีความรับผิดชอบหน่อยเถอะ ให้ข้าได้มองเจ้าดีกว่านี้หน่อยดีไหม”
สิบสามปีก่อน พวกเขาล้วนอายุสิบเจ็ด ยังสามารถกล่าวได้ว่า เยาว์วัยจึงไม่รู้ความ แต่ตอนนี้บุรุษคนนี้อายุสามสิบแล้ว แต่กลับไม่ก้าวหน้าเลยสักนิด
นี่ก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเช่นกัน
และหลังจากที่เว่ยเชียงได้ยินวาจาของลั่วเซิงก็จมอยู่ในความนิ่งเงียบเนิ่นนาน
นิ่งเงียบมองลั่วเซิงจากไป นิ่งเงียบมองขันทีเข้ามา นิ่งเงียบดื่มเหล้าพิษลงไป
จนกระทั่งเหล้าพิษเข้าสู่ท้อง ทุกข์ทรมานจนล้มลงไปชักกระตุก เขาก็ไม่ได้ตะโกนส่งเสียง
ทันทีที่ความมืดคืบคลานเข้ามา เว่ยเชียงก็ออกแรงเบิกตามองประตูคุกสุดความสามารถ
เมื่อครู่ลั่วเอ๋อร์ออกไปจากที่นั่น
เขาไปถึงปรโลกก็จะไม่ได้เจอลั่วเอ๋อร์แล้ว
มีเสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาอยากจะตะโกนฐานะของลั่วเอ๋อร์ออกมา ให้นางเดินทางไปปรโลกเป็นเพื่อนเขา
แต่ภายใต้สายตาดูแคลนของลั่วเอ๋อร์ เขาล้มเลิกความคิดนั้นไป
ลั่วเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยผิด สิบสามปีก่อน เขาทำร้ายนางจนตาย นับแต่นั้น เส้นทางชีวิตนี้ตั้งแต่มีชีวิตจนตายก็กำหนดให้เขาต้องเดินต่อไปคนเดียว
เว่ยเชียงหยุดหายใจทั้งที่ลืมตาอยู่
เมื่อเดินออกจากคุก แสงอาทิตย์พลันสว่างเจิดจ้า ลั่วเซิงพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา แล้วมุ่งหน้าไปยังหอสุรา