ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 45 ถึงเมืองหลวง [เล่ม 2]
[เล่ม 2] ตอนที่ 45 ถึงเมืองหลวง
ซิ่วเย่ว์กำลังนวดแป้ง ขณะที่ลั่วเซิงกำลังผัดเครื่องแกง
การนวดแป้งนั้นมีความประณีตมาก แต่คนจำนวนมากที่รู้จักเพียงการกินไม่สามารถมองออกได้ สิ่งที่ดึงดูดพวกเขามากกว่านั้นคือกลิ่นหอมที่ลอยมาจากการผัดเครื่องแกง
ในหม้อเหล็กใบใหญ่ที่วางอยู่บนกองไฟ ชิ้นเนื้อหมูสามชั้นที่ผัดจนเกรียมแล้วก็ใส่หอมหัวใหญ่ซอย พริกแห้งและเครื่องปรุงต่างๆ เมื่อกลิ่นหอมเข้มข้นขึ้นจึงใส่พริกป่น กลิ่นเผ็ดร้อนก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น
เมื่อเห็นชิ้นหมูทุกชิ้นถูกห่อหุ้มด้วยผงพริกแดงจับตา คุณชายสามเซิ่งก็ไม่อาจกลั้นน้ำลายไว้ได้ “น้องหญิง ดูเหมือนเผ็ดอยู่นะ”
ลั่วเซิงเทน้ำส้มสายชูลงในหม้อและผัดต่อ ก่อนจะเอ่ย “กินแล้วจะอร่อย”
คำตอบที่ตรงไปตรงมานี้ทำให้คุณชายสามเซิ่งไม่มีอะไรจะพูด แต่เขาก็ไม่ยอมเดินไปไหน ทำเพียงแค่ยืนจ้องมองอยู่ข้างหม้อ
เมื่อเห็นลั่วเซิงเติมน้ำเข้าไปแล้วปิดฝาหม้อ ยามเหลียวหลังไม่เห็นชิ้นหมูที่เปื้อนน้ำมันสีแดงอีกต่อไป คุณชายสามเซิ่งก็ถามอีกว่า “น้องหญิง เราจะกินได้เมื่อไหร่”
ลั่วเซิงที่ทำอาหารด้วยความอดทนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ต้องเคี่ยวอย่างน้อยสองเค่อ”
กลิ่นหอมจากช่องว่างของฝาหม้อยั่วยวนแมลงตะกละในท้องคนมากขึ้น เมื่อลั่วเซิงเตรียมเครื่องแกงเสร็จและเริ่มเคี่ยวน้ำแกงรสเปรี้ยว ซิ่วเย่ว์ก็เริ่มตัดบะหมี่
คุณชายสามเซิ่งถามด้วยความอยากรู้ “น้องหญิง ทำไมเราต้องเคี่ยวน้ำแกงด้วย”
ลั่วเซิงไม่หยุดมือ ถามกลับว่า “พี่ชายรู้ไหมว่าบะหมี่ผัดเครื่องแกงที่อร่อยต้องทำอย่างไร”
คุณชายสามเซิ่งส่ายศีรษะ
เขาไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าทุกอย่างที่น้องหญิงทำต้องอร่อย
ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “หากอยากทำบะหมี่ผัดเครื่องแกงให้อร่อย เครื่องแกงต้องเยิ้ม น้ำแกงต้องใส และเส้นบะหมี่ต้องร้อน น้ำแกงนี้ใช้น้ำที่ใช้ต้มบะหมี่ไม่ได้ ต้องเคี่ยวน้ำแกงรสเปรี้ยวใหม่”
คุณชายสามเซิ่งประหลาดใจ “ไม่นึกว่าจะมีรายละเอียดมากมายเพียงนี้”
ลั่วเซิงเอียงตัวเทน้ำมันเครื่องแกงลงในน้ำแกงและพูดเบาๆ “ทุกสิ่งที่อยากทำให้ดี ต้องตั้งใจเป็นพิเศษ”
เว่ยหานที่ไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน มองลั่วเซิง ก่อนจะมองลงไปยังน้ำแกงเปรี้ยวที่เพิ่งเคี่ยวเสร็จ
รู้สึกว่าน่าอร่อยมาก
ตอนนี้เอง ซิ่วเย่ว์ก็ต้มบะหมี่เสร็จแล้วและเทลงในชามเครื่องเคลือบสีเขียว ราดด้วยเครื่องแกงและเทน้ำแกงรสเปรี้ยวลงไป ชามบะหมี่ผัดเครื่องแกงที่เปรี้ยวเผ็ดและหอมหวนก็พร้อมแล้ว
“กินข้าวได้แล้ว” หงโต้วร้องเรียกด้วยความยินดี
เว่ยหานมองชามบะหมี่หลายชามโดยไม่แสดงอารมณ์ นับในใจเงียบๆ หนึ่ง สอง สาม…
หากเขาไม่นับผิด ขาดไปสองชาม
เมื่อเห็นคุณชายสามเซิ่งและคนอื่นๆ รีบมารวมตัวกันแย่งชามบะหมี่กินอย่างเอร็ดอร่อย เว่ยหานก็นิ่งเงียบกว่าเดิม
สือเยี่ยนถามอย่าอดไม่ไหว “คุณหนูลั่ว เหตุใดไม่มีของข้ากับท่านอ๋องเล่า”
“เช่นนั้นหรือ” ลั่วเซิงมองหงโต้วอย่างไร้เดียงสา
หงโต้วถือชามบะหมี่ถลึงตาโต “ท่านอ๋องคุ้มกันคุณหนูเข้าเมืองหลวงแลกกับกริชฝังเพชรเล่มนั้นมิใช่หรือ คุณหนูพวกเราไม่ได้ว่าจ้างเสียหน่อย เหตุใดเราต้องดูแลเรื่องอาหารด้วยเล่า”
สือเยี่ยนถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก อดมองไปที่เว่ยหานไม่ได้
เว่ยหานก้มหน้าลง สีหน้าเย็นชา
เจ้าโง่เอ๊ย หรือต้องให้เขาออกหน้าโต้แย้งเพื่อขอบะหมี่ผัดเครื่องแกงคนอื่นหรือไร
แต่บะหมี่ก็ยังต้องกิน หากวันนี้ไม่ได้กิน เมื่อกลับถึงเมืองหลวงเขาจะไล่สือเยี่ยนไปทำความสะอาดถังอุจจาระ ต่อไปครั้งหน้าพอออกจากจวนจะเปลี่ยนเป็นพี่น้องของสือเยี่ยนมาแทน
สือเยี่ยนรู้สึกขนลุก
ไม่ได้ วันนี้เขาต้องทำให้ท่านอ๋องได้กินบะหมี่ผัดเครื่องแกงให้ได้ เพราะหากไม่ได้กิน ท่านอ๋องคงส่งเขาไปทำความสะอาดถังอุจจาระเป็นแน่ และครั้งต่อไปที่ออกจากจวนพี่น้องของเขาพี่ใหญ่สือหั่ว พี่รองสือเหยียน น้องสี่อี้จะได้มาแทน
ความรู้สึกถึงวิกฤติอันรุนแรงทำให้องครักษ์น้อยฉลาดปราดเปรื่องขึ้นมาทันที โพล่งออกมาว่า “พวกเราจะจ่ายเงินซื้อ!”
“จ่ายเงินหรือ” หงโต้วชี้ชามใหญ่ที่ถืออยู่ “เจ้าดูสิ บะหมี่ขาวบางเนียนใส น้ำมันเปรี้ยวเผ็ดหอมหวน บะหมี่ผัดอร่อยเช่นนี้ ซื้อด้วยเงินได้หรือ”
สือเยี่ยนมองตามโดยไม่รู้ตัว น้ำลายก็ไหลออกมาอีกครั้ง ยิ้มแหยก่อนจะเอ่ย “เราจะจ่ายมากกว่าเดิม”
หงโต้วที่อาหารเต็มปากเห็นว่าคุณหนูไม่ได้คัดค้านก็กลืนบะหมี่ลงไป ก่อนจะเบ้ปากพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกมาซิ หนึ่งชามจะจ่ายเท่าไหร่”
สือเยี่ยนคิดเลขอย่างรวดเร็ว โดยปกติบะหมี่ผัดเครื่องแกงหนึ่งชามคือสิบห้าอีแปะ บะหมี่ผัดเครื่องแกงที่คุณหนูลั่วทำมีค่ามากกว่า จ่ายเพิ่มหนึ่งตำลึงก็ไม่น้อยแล้วกระมัง
สือเยี่ยนชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว
“หนึ่งร้อยตำลึงหรือ” หงโต้วขมวดคิ้ว หันศีรษะไปหาลั่วเซิงเพื่อขอความเห็น “คุณหนู ท่านว่า…”
ลั่วเซิงยิ้มเล็กน้อย “ได้ ท่านอาซิ่ว ทำบะหมี่อีกสองชาม”
สือเยี่ยนตกใจจนตัวสั่น
หนึ่งร้อยตำลึงสำหรับบะหมี่ผัดเครื่องแกงหนึ่งชาม นี่กินบะหมี่หรือ กินเม็ดเงินต่างหากเล่า!
นายท่านจะตัดศีรษะเขาหรือไม่นะ
สือเยี่ยนมองเว่ยหานทั้งน้ำตา
เว่ยหานยังคงสีหน้าเย็นชา
แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวด แต่จะแสดงออกมาไม่ได้
เงินสองร้อยตำลึงเขามีอยู่แล้ว แต่การใช้เงินมาแลกกับบะหมี่สองชามต่างอย่างไรกับคนโง่เล่า ช่างเถอะ ได้เรียนรู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของคุณหนูลั่วแล้ว คราวหน้าเตรียมเสบียงแห้งมาก็สิ้นเรื่องแล้ว
สือเยี่ยนเข้าใจความคิดของเจ้านายตนเป็นอย่างดี ข่มความเจ็บปวดยื่นตั๋วเงินสองใบไปให้
หงโต้วรับเงินมาด้วยมือหนึ่งและยื่นชามบะหมี่ส่งให้อีกมือด้วยสีหน้าเสียดาย “นี่เห็นแก่หน้าท่านอ๋องหรอกนะ ไม่เช่นนั้นหนึ่งร้อยตำลึงต่อถ้วยเราก็ไม่ขาย เพราะคุณหนูของเราไม่ได้ขาดเงิน”
ข้อมือสือเยี่ยนสั่น ลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หากไม่ใช่เพราะจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงต่อบะหมี่หนึ่งชาม อีกทั้งยังหิวโซแล้วล่ะก็ เขาจะเอาถ้วยบะหมี่นี่คว่ำใส่หัวของนังหนูนี่ให้รู้แล้วรู้รอดไป
น่าโมโหเสียจริง!
องครักษ์น้อยที่โกรธจนเจ็บหน้าอกถือถ้วยเครื่องเคลือบแล้วกินอย่างรวดเร็ว
อร่อยจริงๆ!
เว่ยหานกินด้วยท่าทีสง่างามทว่าไม่ช้า ไม่นานก็กินบะหมี่ผัดเครื่องแกงหมดชามอย่างรวดเร็วพลางเหลือบมองสือเยี่ยน
สือเยี่ยนกำลังเลียชามเปล่า
ฮือๆๆ นี่คือบะหมี่ผัดเครื่องแกงจริงๆ หรือ อร่อยเกินไปแล้วจริงๆ! เขาคิดว่าชามใหญ่แบบนี้เขากินได้เพียงครึ่งเดียวก็อิ่มแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าจะพอแค่ยัดซอกฟันเท่านั้น
เว่ยหานไอเสียงเบา
“นายท่าน?”
เว่ยหานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปซื้อมาอีกชามหนึ่ง”
สุดท้ายสถานการณ์ก็เป็นเช่นนี้ คุณชายสามเซิ่งกินไปหกชาม เว่ยหานกินห้าชาม และสือเยี่ยนกินสามชาม
เว่ยหานใช้ผ้าเช็ดปากสีขาวเช็ดมุมปาก ดูเสียดายอย่างยิ่ง
เขายังกินได้อีกสองชาม แต่ตอนนี้เขาเป็นหนี้แล้ว…
สาเหตุทั้งหมดคือสือเยี่ยนจอมตะกละกินไปสามชาม!
ไคหยางอ๋องเหลือบมององครักษ์น้อยปราดหนึ่ง
สือเยี่ยนรู้สึกคับข้องใจเต็มอก
เขายังกินได้อีกห้าชาม แต่พอเขาอยากกินชามที่สี่ ความโกรธบนใบหน้านายท่านก็จับตัวกันเป็นน้ำแข็งแล้ว เขาจึงต้องทนหิวต่อไป
หงโต้วที่กินบะหมี่ไปสามชามใหญ่มองทั้งสามคนด้วยสายตาดูแคลน แค่นเสียงเย็นในใจว่า สามคนนี้คือจอมตะกละโดยแท้! โชคดีที่เมื่อถึงเมืองหลวงก็ไม่ต้องดูแลเรื่องอาหารให้พวกเขาอีก
ดูเหมือนว่าฝ่ายที่ไล่ล่าคุณหนูลั่วจะยังไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาส่งมาทำภารกิจล้มเหลว หรืออาจเป็นไปได้ว่าการที่มีเว่ยหานเข้าร่วมขบวนด้วยทำให้คนร้ายหวาดกลัว หลังจากนั้นหลายวันสถานการณ์ก็เงียบสงบทั้งหมดก็เดินทางถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย
มองเห็นประตูเมืองอยู่ไกลลิบๆ เว่ยหานก็ดึงเชือกบังเหียนม้าแล้วหันไปพูดกับรถม้า “คุณหนูลั่ว ถึงเมืองหลวงแล้ว เราอำลากันตรงนี้เถิด”
ม่านรถสั่นไหวเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าสุขุมของหญิงสาว
“ได้” ลั่วเซิงเอ่ยสั้นๆ เพียงคำเดียว
หงโต้วผลุนผลันยื่นศีรษะออกมานอกหน้าต่าง ในมือถือสมุดบัญชีเล่มหนึ่ง “ท่านอ๋อง ค่าอาหารที่ท่านค้างเราในหลายวันนี้รวมทั้งสิ้นสามพันห้าร้อยตำลึง โปรดส่งมาที่จวนแม่ทัพใหญ่โดยเร็วด้วยนะเจ้าคะ”