ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 455 ล้วนรู้กันหมด
ตอนที่ 455 ล้วนรู้กันหมด
กลุ่มคนที่พยายามกอบกู้ความครึกครื้นกลับมาล้วนเงี่ยหูให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวขององค์หญิงฉางเล่อ และเพราะเป็นเช่นนี้ เสียงเรียกนี้จึงกะทันหันยิ่ง
ทุกคนพากันมองไปก็เห็นไคหยางอ๋อง
ตัวคนก็เหมือนกับน้ำเสียง สงบนิ่งและเฉยชา
องค์หญิงฉางเล่อหุบรอยยิ้มมุมปาก เดินเข้ามาทักทาย “คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาก็อยู่ด้วยเช่นกัน”
เว่ยหานยังคงมีน้ำเสียงเย็นชา “ข้าก็ไม่คิดว่าองค์หญิงจะมาเช่นกัน”
เขาชี้ไปยังตำแหน่งที่ว่างด้านข้าง “องค์หญิงนั่งตรงนี้เถอะ”
องค์หญิงฉางเล่อเหลือบตาขึ้นมอง
นางไม่ใช่คนที่จะหาเหาใส่หัว ทำไมต้องนั่งข้างไคหยางอ๋องด้วย
“ไม่จำเป็น ข้ากับอาเซิงมาแสดงความยินดีกับเจิ้นหนานอ๋องแล้วก็จะไปแล้ว”
“เช่นนั้นขอให้องค์หญิงเดินทางปลอดภัย” เว่ยหานยินดีที่เห็นองค์หญิงฉางเล่อพาลั่วเซิงจากไป
องค์หญิงฉางเล่อหันหน้าไป “อาเซิง พวกเราไปกันเถอะ”
ลั่วเซิงอดหันไปมองเด็กหนุ่มอีกแวบหนึ่งไม่ได้
เว่ยหาน “…”
ลั่วเฉิน “…”
ทุกคน “…”
มีเพียงแม่ทัพใหญ่ที่ยื่นทองใบถุงหนึ่งออกมาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลย “เซิงเอ๋อร์ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนองค์หญิงเถอะ”
ลั่วเซิงรับถุงเงินมาแล้วออกจากโถงงานเลี้ยงไปพร้อมกับองค์หญิงฉางเล่อ
ระหว่างทางเดินไปยังประตูใหญ่จวนอ๋อง องค์หญิงฉางเล่อก็ยิ้มเยาะ “อาเซิง เจ้าว่า ทำไมไคหยางอ๋องถึงได้ชวนให้ผู้คนเกลียดเช่นนี้นะ”
ลั่วเซิงนิ่งเงียบ
องค์หญิงฉางเล่อเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “อาเซิง เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“หม่อมฉันคิดว่าพอใช้ได้เพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อมองนางอย่างสงสัย จากนั้นก็พลันเข้าใจ “ก็ใช่ ไคหยางอ๋องมีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม”
หากไคหยางอ๋องไม่ใช่เสด็จอาของนาง นางก็น่าจะรู้สึกว่าพอใช้ได้เช่นกัน
เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนอ๋อง องค์หญิงฉางเล่อก็เชื้อเชิญให้ลั่วเซิงขึ้นรถม้า “อาเซิงวางแผนจะไปที่ใดหรือ”
ตอนนี้ลั่วเซิงอยากสนทนากับแม่ทัพใหญ่ลั่วเท่านั้น แต่แม่ทัพใหญ่ลั่วยังอยู่ในจวนอ๋อง ดังนั้นจึงเอ่ยพอเป็นพิธีว่า “วางแผนจะไปถนนชิงซิ่งเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มละไม “พอดีเลย ข้าอยากกินข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนแล้ว”
รถม้ากว้างขวาง สะดวกสบาย กลิ่นธูปเบาบางวนเวียนอยู่ด้านใน
ลั่วเซิงดมกลิ่นธูปแล้วนึกถึงท่านหญิงน้อยเว่ยเหวิน และนึกถึงตอนที่องค์หญิงฉางเล่อพิจารณามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาไม่ใส่ใจขึ้นมา
ภายหลังจากเรื่องที่จักรพรรดิหย่งอันลำบากคลี่คลายเรื่องของเว่ยเหวินแทนองค์หญิงฉางเล่อ องค์หญิงท่านนี้ก็คงจะเห็นชีวิตคนไร้ค่าเหมือนดอกหญ้าริมทางยิ่งกว่าเดิม
นี่คือความมั่นใจที่ผู้ปกครองแคว้นมอบให้นาง
และองค์หญิงฉางเล่อที่เป็นเช่นนี้ก็อันตรายมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ลั่วเซิงนึกถึงเสียงเย็นชาที่เอ่ยเรียก “ฉางเล่อ” ของเว่ยหานแล้ว ความอบอุ่นก็พลันทะลักขึ้นในใจ
“อาเซิงเอ๋ย เจ้าคิดว่าเจิ้นหนานอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง” องค์หญิงฉางเล่อเอียงกายเอนตัวลงบนตั่งเตี้ย พลางถามอย่างเกียจคร้านประโยคหนึ่ง
ความอบอุ่นเลือนหายไป เกาะตัวกันเป็นความเย็นเยือก
ลั่วเซิงเอ่ยเรียบๆ “นั่นยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อหัวเราะเยาะ “เมื่อใดกันที่อาเซิงเริ่มสนใจเรื่องไม่สำคัญพวกนี้”
ลั่วเซิงยิ้มบางๆ “ไม่ขอปิดบังพระองค์ ตอนนี้หม่อมฉันสนใจเพียงการทำอาหารเพคะ”
นางไม่ได้เอ่ยต่อ แต่เลิกม่านหน้าต่างรถขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
ลมเย็นพัดเข้ามา ทำให้กลิ่นธูปภายในห้องโดยสารจางลงมาก
องค์หญิงฉางเล่อพลันยืดตัวขึ้นนั่ง ตะโกนว่า “หยุดรถ”
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่บริเวณประตูตัวรถรีบสั่งคนขับรถม้าให้หยุดทันที
ลั่วเซิงมององค์หญิงฉางเล่ออย่างไม่เข้าใจเหตุผล
“เห็นคนผู้หนึ่ง ข้าจะลงไปดูสักหน่อย” องค์หญิงฉางเล่อทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วออกจากตัวรถไป
ลั่วเซิงเลิกม่านหน้าต่างรถขึ้น มองไปด้านนอก
องค์หญิงฉางเล่อที่ลงจากรถม้า ค่อยๆ เดินไปทางเด็กหนุ่มชุดเขียว พลางตะโกนว่า “ซูเย่า”
ซูเย่ามององค์หญิงที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็นแล้วประสานมือถวายความเคารพ “ถวายบังคมองค์หญิง”
องค์หญิงฉางเล่อโค้งริมฝีปาก “ใต้เท้าซูไม่ต้องมากพิธี ท่านจะไปที่ใดหรือ”
ซูเย่าที่อุ้มม้วนหนังสือพลางเอ่ยเรียบๆ “วันหยุดพอดีจึงจะไปซื้อตำราสักหลายเล่มที่ร้านหนังสือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตำราอะไรหรือ” องค์หญิงฉางเล่อเข้าใกล้อย่างเป็นธรรมชาติ
ซูเย่าถอยหลัง “ล้วนเป็นตำราน่าเบื่อ พระองค์ไม่มีทางสนใจหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉางเล่อหรี่ตาลง เอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “ซูเย่า เจ้ากำลังหลบข้าหรือ”
ซูเย่าเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยน “พระองค์เข้าใจผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่รักษามารยาทและความเคารพที่พึงมีต่อพระองค์เท่านั้น”
องค์หญิงฉางเล่อน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าเดิม “ข้าจำได้ว่าคู่หมั้นของเจ้าไม่อยู่แล้ว ซูเย่า เจ้าน่าจะเข้าใจว่าข้าต้องการอะไร อย่าทดสอบความอดทนของข้า”
ซูเย่าเหยียดแผ่นหลังยืดตรง น้ำเสียงสงบนิ่งนั้นแฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “หากพระองค์จะใช้อำนาจบีบบังคับ เอาชีวิตกระหม่อมไปก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาชะงักเล็กน้อยแล้วยิ้มหยัน “ตอนอยู่จินซาก็เคยมีคนทำแบบนี้เช่นกัน”
“ใคร?” องค์หญิงฉางเล่อหลุดปากถาม
รอยยิ้มหยันที่มุมปากของซูเย่าลึกยิ่งขึ้น เอ่ยทีละคำว่า “สหายสนิทของพระองค์ คุณหนูลั่ว”
องค์หญิงฉางเล่อหันหน้ากลับไปมองรถม้างดงามซึ่งจอดอยู่ริมถนนนิ่งๆ ไม่ไกลนักตามจิตใต้สำนึก
เด็กสาวที่เลิกม่านหน้าต่างรถขึ้นมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่
ซูเย่าก็ค้นพบลั่วเซิงที่อยู่ในรถม้าแล้วเช่นกัน เสี้ยววินาทีนั้นแววตาจึงไหววูบ
ลั่วเซิงพยักหน้าให้องค์หญิงฉางเล่อจากที่ไกลๆ แล้วปล่อยม่านลง
“องค์หญิง กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉางเล่อมองซูเย่าที่ร้อนอกร้อนใจอยากจากไปอย่างเย็นชา ชั่วขณะหนึ่งนั้นไม่มีความคิดจะที่ยับยั้ง นางหมุนตัวเดินก้าวเท้ายาวตรงไปยังรถม้า
แต่ไหนแต่ไร นางก็เป็นคนที่ทำตามดังใจปรารถนา ไม่มีทางทำให้ตนเองได้รับความไม่เป็นธรรม บุรุษที่ชื่นชอบหนีไป ยังสามารถไปหาถึงที่ได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่อยากถามจำเป็นต้องถามเดี๋ยวนี้
ม่านประตูรถถูกเลิกขึ้น องค์หญิงฉางเล่อมุดเข้ามาพร้อมกับความหนาวเย็น
แม้ว่าลั่วเซิงจะได้ยินไม่ชัดว่า เมื่อครู่ทั้งสองคนคุยอะไรกัน แต่นางได้เรียนรู้จากความสามารถในการนำพาความโชคร้ายมาเยือนของคนแซ่ซูนานแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงฉางเล่อไม่ค่อยปกติก็ยื่นชาร้อนไปจอกหนึ่งเงียบๆ
องค์หญิงฉางเล่อรับจอกชามาจิบคำหนึ่งแล้วมองนางอย่างไม่ละสายตา
“พระองค์เป็นอันใดหรือเพคะ” ลั่วเซิงตัดสินใจเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
นิสัยเช่นนี้ขององค์หญิงฉางเล่อ แทนที่จะแสดงความคลุมเครือจนทิ้งความแคลงใจเอาไว้ ไม่สู้ทำให้ชัดเจนดีกว่า
องค์หญิงฉางเล่อเข้ามาใกล้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกถึงคลื่นความรู้สึกใด “อาเซิง เจ้าเคยชอบพอซูเย่าหรือ”
ลั่วเซิงอึ้ง
องค์หญิงฉางเล่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็มีแววตาเย็นชาเล็กน้อย
ที่แท้สิ่งที่ซูเย่าพูดก็เป็นความจริง อาเซิงถึงกับไม่เคยบอกนาง
ลั่วเซิงแย้มยิ้ม
“อาเซิงยิ้มอะไรหรือ”
ลั่วเซิงถอนหายใจ “เมื่อครู่ที่พระองค์ถามหม่อมฉัน หม่อมฉันอึ้งไปเลย หม่อมฉันนึกว่าทุกคนล้วนรู้กันอยู่แล้วเพคะ”
ล้วนรู้กันอยู่แล้วหรือ
องค์หญิงฉางเล่อสีหน้าอ่อนลง
ลั่วเซิงหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “หรือว่าพระองค์ไม่เคยสอบถามมาก่อนเลยเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อหลุดหัวเราะ “คนที่ข้าถูกใจ เหตุใดจึงต้องสอบถามให้มากมายด้วย”
“เช่นนั้นพระองค์จะโทษหม่อมฉันว่าไม่พูดไม่ได้นะเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อยื่นมือออกมาวางลงบนไหล่ลั่วเซิง “อาเซิงกับข้าสายตาเหมือนกันนั้นไม่แปลก เช่นนั้นตอนนี้ล่ะ”
“ตอนนี้หรือเพคะ” ลั่วเซิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิดเดียว “เมื่อครู่หม่อมฉันบอกพระองค์แล้วว่า ตอนนี้หม่อมฉันสนใจเพียงการทำอาหารเท่านั้น รอจนถึงมีหอสุรา หม่อมฉันจะทำข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนให้พระองค์นะเพคะ”
องค์หญิงฉางเล่อนิ่งเงียบไปเสี้ยววินาทีแล้วพยักหน้า
รถม้าแล่นไปถึงถนนชิงซิ่งอย่างรวดเร็ว สองคนลงจากม้าแล้วก็เดินเล่นตามใจชอบ ก่อนจะเดินเข้าหอสุราไป
ตอนลั่วเซิงเข้าไปห้องครัวทางด้านหลังทำข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวน องค์หญิงฉางเล่อที่รออยู่ในห้องโถงใหญ่ก็เห็นเว่ยหานเดินเข้ามา
องค์หญิงฉางเล่อเกิดความคล้อยตาม อาเซิงบอกว่าทุกคนล้วนรู้กันหมด เช่นนั้นนางถามไคหยางอ๋องก็แล้วกัน