ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 456 สงสัย
“เสด็จอา” องค์หญิงฉางเล่อเป็นฝ่ายทักทายก่อน
เว่ยหานกวาดสายตาไปบริเวณโต๊ะบัญชี เมื่อไม่เห็นเงาร่างคุ้นเคยก็เดินมาทางนี้
“คุณหนูลั่วล่ะ”
องค์หญิงฉางเล่อใช้มือเท้าโต๊ะ เอ่ยลวกๆ ว่า “อาเซิงไปทำข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนให้ข้าแล้วเจ้าค่ะ”
เว่ยหานจ้องนางแวบหนึ่ง
องค์หญิงฉางเล่อยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาจอกหนึ่งแล้วดันไปตรงหน้าเว่ยหาน “เสด็จอาดื่มชา”
เว่ยหานนั่งลง
“เสด็จอา ข้าอยากถามเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“อืม”
องค์หญิงฉางเล่อนับว่าคุ้นชินกับความเฉยชาของเสด็จอาท่านนี้แล้วจึงถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เสด็จอาเคยได้ยินเรื่องที่อาเซิงถูกใจซูเย่าไหมเจ้าคะ”
เว่ยหานมองนางด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตาปริบๆ “เช่นนี้คือไม่เคยได้ยินหรือเจ้าคะ”
“เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไม” เว่ยหานถามเสียงเข้ม
องค์หญิงฉางเล่อยิ้มๆ “ก็แค่อยากรู้เจ้าค่ะ ข้าชอบซูเย่ามาก หากว่าอาเซิงชอบ…”
เว่ยหานใบหน้าเย็นชา เอ่ยเรียบๆ “นางไม่ชอบ”
องค์หญิงฉางเล่อหุบยิ้ม มองเว่ยหานอย่างสงสัย “อาเซิงยังบอกว่าทุกคนล้วนรู้เรื่องนี้ ที่แท้เสด็จอาไม่รู้นี่เอง”
เว่ยหาน “…”
“มิน่าอาเซิงถึงได้ต้องการตัวเฟยหยางจากข้า” องค์หญิงฉางเล่อพิจารณาสีหน้าท่าทางของเว่ยหานแล้วก็ยิ่งรู้สึกสงสัย
นางเพียงแค่ถามเรื่องในอดีตของอาเซิงเล็กน้อย ไคหยางอ๋องจะทำหน้าเย็นชาไปทำไมกัน
“ท่านอ๋องมาเสียเร็วเชียว” ลั่วเซิงเดินเข้ามา วางข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนจานหนึ่งลงบนโต๊ะ
“อาหารของหอสุราถูกปากมากกว่า” เว่ยหานพูด พลางหยิบข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนใส่ปากชิ้นหนึ่ง
องค์หญิงฉางเล่อแววตาตื่นตะลึง
นี่คือข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนที่อาเซิงทำให้นางนะ!
ขณะที่กำลังตกตะลึง เว่ยหานก็หยิบชิ้นที่สองขึ้นมาแล้ว
องค์หญิงฉางเล่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เสด็จอา บุรุษก็ชื่นชอบของหวานเช่นกันหรือเจ้าคะ”
เว่ยหานหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมุมปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยเรียบๆ “กินอาหารมีเพียงอร่อยหรือไม่อร่อย ไม่แบ่งแยกคาวหวาน”
ลั่วเซิงมองเว่ยหานอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง
หรือว่าคนที่บอกว่าไม่คุ้นชินกับการกินของหวานก่อนหน้านี้จะเป็นคนอื่น?
องค์หญิงฉางเล่อที่แย่งข้าวเหนียวม้วนไส้ถั่วกวนได้แค่ชิ้นเดียวลุกขึ้น “อาเซิง ไว้วันหลังข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่”
นางไม่ใช่คนที่จะให้ตนเองได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ทุกครั้งที่พบกับไคหยางอ๋องล้วนไม่เป็นไปตามที่ใจคิด ดังนั้นหลีกให้ไกลหน่อยจะดีกว่า
และไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้ความสำคัญกับไคหยางอ๋องขนาดนี้
เมื่อเห็นองค์หญิงฉางเล่อสะบัดแขนเสื้อจากไป ลั่วเซิงก็รู้สึกผ่อนคลาย
อยู่กับองค์หญิงที่ทำตามแต่ใจปรารถนา ไม่เห็นกฎหมายหรือกฎแห่งกรรมอยู่ในสายตาท่านหนึ่ง ต้องทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าเต็มที่ตลอด
“ตอนที่ท่านอ๋องออกจากจวนเจิ้นหนานอ๋อง ท่านพ่อของข้ายังอยู่ที่นั่นไหม”
“แม่ทัพใหญ่ออกมาพร้อมกับข้าและพาน้องชายเจ้ากลับจวนไปแล้ว”
“เช่นนั้นท่านอ๋องดื่มชาพักผ่อนก่อน ข้าจะกลับจวนสักรอบ”
เว่ยหานนิ่งเงียบ
ครั้งนั้นที่คุณหนูลั่วเอ่ยเช่นนี้ เขารอจนฟ้ามืด…
“ข้าไปส่งคุณหนูลั่วกลับจวนแล้วกัน” เขาตัดสินใจลุกขึ้น
สองคนเดินเคียงไหล่กันออกจากหอสุรา มุ่งหน้าไปยังทิศทางจวนแม่ทัพใหญ่
บนถนนมีผู้คนมากมาย เดินขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่ง
สถานที่ครึกครื้น ก็มีเรื่องสนุกมาก
ขณะขโมยตัวน้อยคนหนึ่งเดินผ่านข้างกายลั่วเซิงไป ได้ยื่นมือไปทางถุงเงินที่นางมัดไว้บริเวณเอว
นั่นคือถุงทองใบที่แม่ทัพใหญ่ลั่วเพิ่งจะมอบให้ลั่วเซิง
เว่ยหานสังเกตเห็นความผิดปกติและกำลังจะยับยั้งก็เห็นมือของขโมยตัวน้อยนั่นถูกปัดออก
“อย่าคิดไม่ตก” ลั่วเซิงเตือนเรียบๆ
ขโมยตัวน้อยอึ้งไปเสี้ยววินาทีแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
ลั่วเซิงปลดถุงผ้าขนาดเล็กแล้วหิ้วไว้ในมือยิ้มๆ “มิน่าถึงได้กล่าวกันว่าอย่าเปิดเผยความร่ำรวยให้ผู้อื่นเห็น มีคนเฝ้าคิดถึงไวขนาดนี้เลย”
เว่ยหานลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน
มักจะรู้สึกว่าคุณหนูลั่วมีความสามารถเกินไป ท่าทางไม่มีเรื่องอะไรให้เขาต้องจัดการ
ทั้งสองคนเดินไปเงียบๆ สนทนากันประโยค สองประโยคในบางครั้ง คล้ายกับว่า กระทั่งเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้นมา
เบื้องหน้าคือจวนแม่ทัพใหญ่ที่ค่อนข้างใหญ่โต คนเฝ้าประตูตะลึง เมื่อเห็นทั้งสองคนจึงรีบส่งข่าวเข้าไปโดยไว
“แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องกับคุณหนูมาด้วยกันขอรับ!”
แม่ทัพใหญ่ลั่วที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจได้ยินวาจานี้ก็เด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้ “จริงหรือ” หลังจากตกตะลึงก็รู้สึกว่าร้อนอกร้อนใจเกินไปจึงนั่งลงด้วยท่าทางภูมิฐาน “รู้แล้ว ออกไปเถอะ หากคนมาถึงก็ให้เชิญเข้ามา”
รอข้ารับใช้ที่รายงานข่าวออกไป แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงเอามือไพล่หลัง เดินวนกลับไปกลับมา พลางไตร่ตรอง
ในอดีตไคหยางอ๋องก็เคยมาส่งเซิงเอ๋อร์กลับจวน แต่ล้วนเป็นเวลากลางคืน วันนี้ เช้าขนาดนี้ คงไม่ใช่การมาส่งเซิงเอ๋อร์กลับมาธรรมดาๆ ขนาดนั้นแน่นอน
หรือว่าจะฟังออกถึงความหมายในวาจาของเขาตอนที่ร่ำสุรากันที่จวนเจิ้นหนานอ๋องจึงมาสู่ขอแล้ว?
แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบปัดการคาดเดานี้ทิ้งไป
จะดีใจเร็วเกินไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าแค่มาหยั่งเชิงท่าทีของเขาเฉยๆ
เช่นนั้นเขาจำเป็นต้องปฏิเสธสักหน่อย ไม่อาจให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าง่ายดายเกินไปได้
เมื่อคิดเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกลังเลอยู่บ้าง หากปฏิเสธเด็ดขาดเกินไปจนทำให้คนตกใจหนีไปจะทำเช่นไร
อืม ต้องปฏิเสธโดยที่เหลือความหวังเอาไว้ด้วย ระดับนี้จำเป็นต้องควบคุมเอาไว้ให้ดี
แม่ทัพใหญ่ลั่วเดินวนอีกรอบหนึ่ง
แต่เจ้าเด็กนั่นใช้ไม่ได้เรื่องความกล้า ยื้อมานานขนาดนี้ เพิ่งจะมาหา หากว่าปฏิเสธเล็กน้อยก็หนีไปแล้วล่ะ
แม่ทัพใหญ่ลั่วเกาศีรษะอย่างทุกข์ใจ
ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้จริงๆ ช่างทำให้คนกลุ้มใจนัก
นอกจวนแม่ทัพใหญ่ ลั่วเซิงหยุดเดิน “ถึงแล้ว ท่านอ๋องส่งเท่านี้ก็พอ”
เว่ยหานมองประตูสีเขียวอันใหญ่โตแวบหนึ่งแล้วถามว่า “คืนนี้คุณหนูลั่วยังจะไปหอสุราอีกไหม”
“วันนี้ไม่ไปแล้ว”
“เช่นนั้นเจอกันพรุ่งนี้เย็น”
ลั่วเซิงยิ้มหวาน “เจอกันพรุ่งนี้เย็น”
เว่ยหานจ้องมองลั่วเซิงเดินเข้าประตูบานใหญ่แล้วหมุนตัวจากไป
คนเฝ้าประตูไม่มีท่าทีจะปิดประตู “คุณหนู ท่าน ท่านอ๋องไม่เข้ามาหรือขอรับ”
ลั่วเซิงกวาดตามองคนเฝ้าประตูเรียบๆ แวบหนึ่ง
คนเฝ้าประตูปิดประตูอย่างงุนงง โดยไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
“แม่ทัพใหญ่ คุณหนูมาแล้วขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วนั่งตัวตรง กระแอมไอครั้งหนึ่ง “เชิญเข้ามา”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น ลั่วเซิงก็เดินเข้ามา แม่ทัพใหญ่ลั่วมองเลยไปด้านหลัง
ไม่มีคน…
“เซิงเอ๋อร์เอ๋ย ได้ยินว่า ไคหยางอ๋องมากับเจ้า เขาล่ะ”
ลั่วเซิงตอบโดยไม่ทันคิด “กลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เข้ามาหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วหลุดปากถาม
ลั่วเซิงมองบิดาผู้ชราด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่ไม่ใช่จวนไคหยางอ๋อง เขาจะเข้ามาทำอะไรเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วถูกถามจนชะงักไป พลางด่ากราดในใจ
เจ้าเด็กหนุ่มที่สมควรถูกสับเป็นพันชิ้น เสียดายที่เขายุ่งวุ่นวายอยู่ตั้งนาน สุดท้ายคนก็ไม่ได้เข้าประตูมา
ทำให้เขาโมโหจะตายอยู่แล้วจริงๆ เจ้าเด็กนี่ไม่ไหว ไม่คู่ควรกับบุตรสาวของเขา!
ลั่วเซิงพิจารณามองสีหน้าแม่ทัพใหญ่ลั่ว พลางถามว่า “ท่านพ่อพบเจอเรื่องไม่สบอารมณ์ที่จวนเจิ้นหนานอ๋องหรือเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบปฏิเสธ “ไม่มี”
ไม่อาจให้เซิงเอ๋อร์มองความคิดเป็นกังวลว่าบรรดาบุตรจะแต่งไม่ออกของเขาออกได้
“เซิงเอ๋อร์ไม่ได้ไปหอสุราหรือ ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างยากจะสังเกตเห็น
“วันนี้ได้พบเจิ้นหนานอ๋อง ลูกเลยสงสัยเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“สงสัยอะไรหรือ”
ลั่วเซิงจ้องตาแม่ทัพใหญ่ลั่ว “ท่านพ่อรู้สึกไหมว่า เจิ้นหนานอ๋องเหมือนซือหนาน นายบำเรอในอดีตของลูกมาก”
“แค่กๆๆ…” แม่ทัพใหญ่ลั่วไอขึ้นมาอย่างรุนแรง
ลั่วเซิงรอเขาไอเงียบๆ พลางถามยิ้มๆ “เหมือนมากใช่ไหมเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยกมือวางลงบนไหล่ลั่วเซิง ชี้แนะสั่งสอนจริงจัง “เซิงเอ๋อร์เอ๋ย แม้ว่าเจ้าจะรู้สึกว่า เจิ้นหนานอ๋องเหมือนนายบำเรอของเจ้าก็ไม่อาจทำอะไรเหลวไหลได้นะ!”
ลั่วเซิงหัวเราะ “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าบังเอิญเกินไปเท่านั้นเอง ฐานะของเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่มีปัญหาหรือไม่เจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้