ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 457 ปอหลังกู่
ตอนที่ 457 ปอหลังกู่
แม้ว่าจะเป็นตอนได้ยินเรื่องบุตรสาวดึงผ้าคาดเอวไคหยางอ๋องบนถนนในปีที่แล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ไม่ถึงขั้นควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจไม่ได้เหมือนในตอนนี้
ความลับที่เก็บเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจมากพอจะทำให้คนหัวใจเต้นรัวได้
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองรอยยิ้มไม่ใส่ใจของลั่วเซิงแล้วก็ใจเย็นลง พลางเอ่ยหน้าตึงว่า “เซิงเอ๋อร์ อย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล”
ลั่วเซิงมีสีหน้าประหลาดใจ “ท่านพ่อ หรือว่าท่านไม่รู้สึกว่าประหลาดล่ะเจ้าคะ เจิ้นหนานอ๋องคนก่อนมีบุตรชายเพียงแค่คนเดียว แต่เจิ้นหนานอ๋องคนใหม่หน้าตาคล้ายคลึงกับซือหนาน หากว่าซือหนานไม่มีความเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง ก็ช่างเถอะ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นความบังเอิญ แต่ครอบครัวซือหนานดันเคยเป็นข้ารับใช้ของจวนเจิ้นหนานอ๋อง เกรงว่าจะไม่อาจมองเห็นเรื่องบังเอิญได้แล้ว…”
แม่ทัพใหญ่ลั่วฟังด้วยจิตใจหนักอึ้ง
บุตรสาวฉลาดขึ้นมา ทำให้ผู้คนกดดันมาก
ลั่วเซิงเขยิบเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านว่าจะจำผิดหรือไม่ ความจริงเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่เป็นพี่น้องกับซือหนาน บุตรชายกำพร้าที่แท้จริงของเจิ้นหนานอ๋องคนก่อนนั้นเป็นคนอื่น…”
“เซิงเอ๋อร์!” แม่ทัพใหญ่ลั่วตวาดหยุดวาจาของลั่วเซิง
ลั่วเซิงมองแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างน้อยใจ
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าอ่อนลง กระแอมให้คอโล่ง พลางเอ่ยว่า “เซิงเอ๋อร์เอ๋ย วาจานี้ไม่สามารถเอ่ยส่งเดชได้ เจิ้นหนานอ๋องคนใหม่เป็นคนที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง”
ลั่วเซิงเม้มปาก “วาจาที่ลูกเอ่ยกับท่านพ่อไม่ลอยเข้าพระกรรณฝ่าบาทสักหน่อยนี่เจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดๆ ดูแล้ว ก็ถูก แววตาเข้มงวดอ่อนลง ชี้แนะสั่งสอนอย่างจริงใจ “แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต้องตรึกตรองเรื่องเหล่านี้แล้ว เรื่องของจวนเจิ้นหนานอ๋องไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลพวกเรา”
ลั่วเซิงหลุดหัวเราะ “ลูกแค่เห็นเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่หน้าตาเหมือนซือหนานจึงแสดงความเห็นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แน่นอนว่าเรื่องของจวนเจิ้นหนานอ๋องไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราเจ้าค่ะ”
เอ่ยถึงตรงนี้ นางก็มองแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างสงสัยแวบหนึ่ง “กลับเป็นท่านพ่อเสียอีก เหตุใดถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้ล่ะเจ้าคะ”
เมื่อครู่ทำไมถึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนากันนะ
ช่างเถอะ เปลี่ยนกลับไปก็ได้แล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังปวดหัวก็ได้ยินลั่วเซิงเอ่ยว่า “หากผู้อื่นก็ค้นพบว่า เจิ้นหนานอ๋องคนใหม่คล้ายคลึงกับนายบำเรอที่ตายไปของลูก จะคิดเหลวไหลหรือไม่เจ้าคะ”
“หลายปีก่อนที่ซือหนานเข้าจวน นอกจากคนในตระกูลพวกเราที่เคยเจอเขาก็มีองครักษ์จิ่นหลินจำนวนหนึ่ง คนพวกนั้นน่าจะไม่ทันสังเกตเห็นจุดนี้ เซิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นแล้ว” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยเช่นนี้พลางตัดสินใจว่าจะเตือนคนกลุ่มนั้นเสียหน่อย
ลั่วเซิงได้ยินวาจานี้ก็แอบโล่งใจ
แม้ว่าจะไม่มีใครอยากเปลี่ยนฐานะจริงปลอมของเป่าเอ๋อร์กลับมามากกว่านาง แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาเหมาะสม
สาเหตุที่จักรพรรดิหย่งอันคืนตำแหน่งอ๋องให้กับจวนเจิ้นหนานอ๋องก็เพราะทุกคนล้วนรู้ว่า บุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องยังมีชีวิตอยู่ การคืนตำแหน่งอ๋องให้จวนเจิ้นหนานอ๋อง หลังจากล้างมลทินแล้ว ก็เป็นเรื่องถูกต้องที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ หากว่ามีคนหยิบยกฐานะที่น่าสงสัยของเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่มาวิพากษ์วิจารณ์เป็นการใหญ่ เกรงว่าจะตรงตามความต้องการของจักรพรรดิหย่งอันพอดี ถึงตอนนั้นริบตำแหน่งอ๋องไปได้อย่างสมเหตุสมผลนั้นไม่เอ่ยถึง ยังจะสามารถใช้เรื่องเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่ปลอมตัวเป็นสายเลือดเจิ้นหนานอ๋องมาลงโทษ เพื่อขจัดบ่อเกิดแห่งหายนะที่จะเกิดตามมาในภายหลังได้ด้วย
ก่อนที่ลั่วเฉินจะเปิดเผยฐานะ นางต้องพยายามรับรองว่าฐานะของเด็กหนุ่มผู้นั้นให้มั่นคงเสียก่อน
ความจริงคนที่สามารถทำได้ถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่นาง แต่เป็นแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ก็เหมือนที่แม่ทัพใหญ่ลั่วพูดเมื่อครู่นี้ ซือหนานเข้าจวนแม่ทัพใหญ่มาเมื่อสองสามปีก่อน คนที่เคยพบเขาแทบจะเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว
และนี่ถึงเป็นวัตถุประสงค์ที่ลั่วเซิงมาห้องหนังสือของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ลูกไปเล่นสนุกกับน้องชายก่อนนะเจ้าคะ” ลั่วเซิงรับคำอย่างไม่ใส่ใจ แล้วถอยออกจากห้องหนังสือไป
ลมหนาวนอกห้องพัดเข้ามา ใบตองหน้าบานหน้าต่างพุ่มนั้นเหี่ยวแห้งแล้ว ล่าเหมยที่มุมกำแพงต้นนั้นกำลังผลิบานเงียบๆ
ลั่วเซิงหันกลับไปมอง พลางถอนหายใจแผ่วเบา
หากเปิดเผยฐานะของลั่วเฉินออกไป เรื่องที่แม่ทัพใหญ่ลั่วเก็บสายเลือดจวนเจิ้นหนานอ๋องเอาไว้คงปิดไม่อยู่แล้ว นี่เป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับจวนลั่วอย่างมิต้องสงสัยและจะพิสูจน์ฐานะที่แท้จริงของลั่วเฉินอย่างไร นั่นก็เป็นปัญหาที่ยากปัญหาหนึ่ง
หนทางในภายภาคหน้าอีกยาวไกลนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยขวากหนาม
ลั่วเซิงตรงไปยังเรือนของลั่วเฉิน
ลั่วเฉินกำลังพักผ่อน ได้ยินเด็กรับใช้รายงานว่าคุณหนูมาก็ลุกขึ้น ลงจากตั่ง “เชิญเข้ามา”
ตอนนี้ทำไมลั่วเซิงถึงไม่อยู่ที่หอสุรา
เดิมเขาก็อยากจะไปหอสุรา แต่จะทำเช่นไรได้ พอเห็นลั่วเซิงจ้องเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่อย่างโง่งมแล้วเขาก็รู้สึกอับอาย เมื่อโมโหก็ดื่มสุราไปสองจอก จากนั้นก็เวียนศีรษะเล็กน้อย
ลั่วเฉินหน้าตึง รอให้ลั่วเซิงเข้ามาและไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน
“รบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้วหรือไม่” ลั่วเซิงเดินเข้ามา แม้ว่าปากจะเอ่ยเช่นนั้น แต่ใบหน้ากลับไร้ซึ่งความอึดอัดใจ
ลั่วเฉินฉีกยิ้ม “พี่สาวมาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ”
ลั่วเซิงนั่งลง หัวเราะเหอๆ พลางเอ่ย “ก็ไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร แค่นึกได้ว่าเจ้าอยู่ที่จวนจึงมาเล่นกับเจ้า”
ลั่วเฉินกดมุมปากที่โค้งขึ้นลง พลางเอ่ยอย่างสง่าผ่าเผยว่า “ไม่ใช่เด็กๆ แล้วสักหน่อย มีอะไรให้เล่นสนุกกัน”
ลั่วเซิงแย้มริมฝีปากยิ้ม “น้องชายเติบโตในจินซาตั้งแต่เด็ก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าตอนเด็กๆ เจ้าเล่นอะไร เล่นดินโคลนกับพวกญาติผู้พี่ใช่หรือไม่”
ลั่วเฉินนิ่งเงียบ
หัวข้อสนทนาไร้เดียงสาเช่นนี้ ลั่วเซิงคิดถึงได้อย่างไร
ทว่า ลั่วเซิงมีความสนใจในช่วงวัยเยาว์ของเขาเช่นนี้ก็เป็นการห่วงใยเขาสินะ
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วตอบคำถาม “ดูพวกญาติผู้พี่ปีนต้นไม้ เก็บไข่นก ลงไปจับปลาในแม่น้ำ…”
ลั่วเซิงฟังอย่างอดทน เอ่ยแทรกสองสามประโยคเป็นครั้งคราว สองพี่น้องค่อยๆ เริ่มสนทนากันขึ้นมา
“น้องชายเคยเล่นปอหลังกู่[1]ไหม” ลั่วเซิงคล้ายจะถามขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ย่อมต้องเคยเล่นสิ”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
ลั่วเฉินมองลั่วเซิงด้วยแววตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน “เด็กที่อายุเกินสองขวบก็ไม่เล่นปอหลังกู่แล้ว ข้าจะไปจำได้อย่างไร”
ปอหลังกู่มีอะไรพิเศษหรือ
“น้องชายยังเก็บของเล่นในวัยเยาว์เอาไว้ไหม”
ลั่วเฉินมองลั่วเซิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่มี”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ลั่วเซิงบอกไม่ถูกว่าผิดหวังมากเพียงใด สนทนาได้อีกครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นจากไป โดยไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าท่าทาง
เดิมนางก็ไม่แน่ใจว่าป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในมือลั่วเฉินหรือไม่ วันนี้เอ่ยถึงปอหลังกู่กับลั่วเฉินล้วนเป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น
หยั่งเชิงสักหน่อย อาจจะมีเรื่องให้ประหลาดใจ แม้ว่าจะไม่มีก็ไม่ได้เสียหายอะไร
และหลังจากที่ลั่วเซิงออกไป ลั่วเฉินก็ครุ่นคิดแล้วสั่งให้เด็กรับใช้ไปนำหีบไม้จันทน์ในห้องเก็บของขนาดเล็กมา
ไม่นานนักฝูซงก็อุ้มหีบไม้ใบหนึ่งเข้ามาแล้ววางลงบนโต๊ะภายใต้คำสั่งของลั่วเฉิน
ลั่วเฉินเปิดกล่องไม้ด้วยตนเอง ในกล่องเต็มไปด้วยของเล่นสำหรับเด็กๆ ว่าวที่สายป่านขาดไปแล้ว ตุ๊กตานกหวีดที่สีซีดจางลง ลูกดิ่งที่มีรอยแตก…
ลั่วเฉินมองของเล่นเหล่านี้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือ เขาถึงกับเคยเล่นของเหล่านี้ด้วยหรือ
หลังจากนั้น เขาก็ยื่นมือไปปัดสิ่งของที่กองอยู่ด้านบนออก
บริเวณก้นหีบมีปอหลังกู่ตัวยาวนอนอยู่ตัวหนึ่ง หน้ากลองเป็นสีส้มอมเหลือง เชือกแดงซึ่งผูกไว้สองด้านประดับด้วยไข่มุกใหญ่และกลมทำหน้าที่เสมือนไม้ตีกลอง
เขาจำไม่ได้ว่าเคยเล่นปอหลังกู่อันนี้หรือไม่ แต่กลับรู้ว่าในหีบไม้จันทน์ที่เก็บของเล่นในวัยเยาว์ของเขา มีของเล่นชิ้นนี้อยู่
เขาโกหกลั่วเซิงแล้ว
อาศัยความเข้าใจที่เขามีต่อลั่วเซิง หากเขาบอกว่ามี นางจะต้องขอไปอย่างไม่เกรงใจแน่นอน
เขาอยากจะดูก่อนว่า ปอหลังกู่ตัวนี้มีลับลมคมในอะไร ลั่วเซิงถึงได้เอ่ยถึงเป็นพิเศษ
ลั่วเฉินจ้องมองปอหลังกู่ที่นอนอยู่ก้นหีบเนิ่นนานแล้วยื่นมือไปหยิบมันออกมา พิจารณามองอย่างละเอียด
เด็กหนุ่มหมุนด้ามจับกลองเบาๆ ไข่มุกบนปลายเชือกตีลงบนหน้ากองจนเกิดเสียงตึงๆ ออกมา
[1] ปอหลังกู่ หมายถึง กลองป๋องแป๋ง