ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 459 วันฉลองพระชนมายุหมื่นปี
ตอนที่ 459 วันฉลองพระชนมายุหมื่นปี
ลั่วเฉินมองนาง แววตานั้นดื้อรั้น มีประกายเฉียบแหลมและไวต่อความรู้สึกของเด็กหนุ่ม
ลั่วเซิงนิ่งเงียบไปเสี้ยววินาที
เสี้ยววินาทีนี้ นางครุ่นคิดมากมาย กระทั่งเกิดความรู้สึกบุ่มบ่ามที่จะบอกฐานะที่แท้จริงกับเขา แต่สุดท้ายก็ยังคงปัดความคิดนี้ทิ้งไป
การลากน้องชายเข้าสู่เหวลึกแห่งความทุกข์ทรมานในตอนนี้นั้นไม่ฉลาดนัก
นางกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ผู้ปกครองแว่นแคว้นหนึ่ง หากล้มเหลวก็จะมีจุดจบน่าสังเวช ตายโดยกระดูกแหลกเป็นผุยผง ในตอนที่ยังไม่มีแผนการอันสมบูรณ์เพียบพร้อม อย่าเพิ่งเอ่ยถึงความปลอดภัยของน้องชายเลย อย่างน้อยก็ไม่อาจให้จวนแม่ทัพใหญ่ต้องถูกกลบฝังตามไปด้วย
“พี่สาว?” ลั่วเฉินเรียกอีกครั้ง
ลั่วเซิงยิ้มราวกับไม่มีเรื่องอันใด “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ”
ลั่วเฉินพยักหน้า
ความรู้สึกของการถูกปิดบังนั้นแย่มาก เขาไม่ชอบ
“ไคหยางอ๋องบอกข้าไว้” ลั่วเซิงโยนความผิดให้ผู้อื่นอย่างคล่องแคล่ว
ลั่วเฉินประหลาดใจมาก แววตาที่มองลั่วเซิงเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “เขารู้ได้อย่างไร”
ลั่วเซิงตาไม่กะพริบ “ปีที่แล้วเขารับคำสั่งให้ตรวจสอบคดีเก่าของจวนเจิ้นหนานอ๋องและตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องมาโดยตลอด ในภายหลังก็ตรวจสอบพบว่า หลังจากจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกยึดทรัพย์ในปีนั้น มีทรัพย์สินบางส่วนอยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่…”
ลั่วเฉินที่ฟังเงียบๆ มุมปากกระตุก
ยึดทรัพย์มีผลประโยชน์เป็นเรื่องที่ได้ยอมรับกันไปทั่ว เพียงแต่เมื่อคิดว่าคนที่ยึดทรัพย์นั้นเป็นบิดาของตนเอง ความรู้สึกในใจจึงซับซ้อนอยู่บ้าง
“ไคหยางอ๋องสืบพบว่ามีป้ายอาญาสิทธิ์อันหนึ่งอยู่จึงเอ่ยกับข้า ข้าเกิดความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงอยากจะดูว่ามีหรือไม่”
ลั่วเฉินฉีกมุมปาก “ไคหยางอ๋องจริงใจกับพี่สาวจริงๆ”
ลั่วเซิงโกหกหน้าตาย “พวกเราเป็นมิตรที่ดีต่อกัน”
ลั่วเฉินอยากจะหัวเราะเหอะๆ
นี่เป็นการลุ่มหลงในความงามจนลืมสิ้นทุกอย่างในตำนานหรอกหรือ คิดไม่ถึงว่าไคหยางอ๋องจะเป็นคนประเภทนี้…
เด็กหนุ่มดูแคลนในใจ
โชคดีที่สายตายังพอไปวัดไปวาได้
“ป้ายอาญาสิทธิ์นี้มีประโยชน์อันใด” ลั่วเฉินชะงักไปเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนคำพูด “ครึ่งอัน”
“บางทีอาจจะใช้บัญชาทหารในจวนล่ะมั้ง” ลั่วเซิงให้คำตอบที่เหมือนจะใช่แต่ความจริงไม่ใช่ออกมาแล้ววางป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยลงในมือลั่วเฉิน “เจ้าก็เก็บไว้ให้ดี ของอยู่ที่เจ้า นั่นหมายความว่ามีวาสนากับเจ้า”
“ท่านเชื่อเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อใด” แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนี้ ลั่วเฉินก็ยังคงเก็บป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยเอาไว้
ในเมื่อไคหยางอ๋องตั้งใจเอ่ยเรื่องนี้กับพี่สาว ของชิ้นนี้อาจจะไม่ธรรมดา
ลั่วเซิงเห็นลั่วเฉินกระทำเช่นนี้ก็โล่งใจเล็กน้อย
แม้ว่าลั่วเฉินจะอายุยังน้อย แต่กลับเฉลียวฉลาดยิ่ง นางเชื่อว่าเขาจะเก็บรักษาป้ายอาญาสิทธิ์เอาไว้ได้ดี
และวันนี้นางก็เผยความเป็นมาของป้ายอาญาสิทธิ์นี้กับลั่วเฉินออกไปหนึ่งถึงสองส่วน ถือว่าเป็นการให้เขามีการเตรียมใจ ไม่ถึงขนาดที่ยากจะรับได้ เมื่อรู้ฐานะในวันใดวันหนึ่ง
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ”
ลั่วเฉินไม่ขยับ
ลั่วเซิงมองเขาแวบหนึ่ง
เด็กหนุ่มถามหน้าตึง “จะทำหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงที่หอสุราหรือที่จวน”
ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะทำหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง แต่กลับไม่เอ่ยถึงสักคำ มองไม่เห็นความจริงใจเลยแม้แต่น้อย
ลั่วเซิงกลั้นขำ “อยู่ที่จวนนี่แหละ ข้าจะเข้าครัวเอง ได้แล้วสินะ”
ลั่วเฉินพยายามกดมุมปากที่โค้งขึ้น ตอบอืมคำหนึ่งแล้วหมุนตัวจากไป
เมื่อกลับไปถึงที่พัก ลั่วเฉินก็ไล่เด็กรับใช้ออกไปแล้วนำป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาพิจารณาดู
ปอหลังกู่ที่มีป้ายอาญาสิทธิ์ซ่อนอยู่อันหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเป็นของเล่นที่บิดามารดามอบให้เขา เขาเชื่อในสิ่งที่ลั่วเซิงเอ่ย นี่คือสิ่งของเดิมของจวนเจิ้นหนานอ๋อง
แต่ว่าบิดาตรวจสอบและยึดทรัพย์จวนเจิ้นหนานอ๋อง เหตุใดต้องตรวจสอบและยึดทรัพย์กระทั่งปอหลังกู่ของผู้อื่นด้วย
ปอหลังกู่อันนี้เป็นของเล่นสมัยเด็กของเจิ้นหนานอ๋องคนใหม่หรือไม่ เหตุใดจึงถูกเก็บอยู่ในหีบเก็บของเล่นวัยเยาว์ของเขา
ลั่วเฉินมีคำถามผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน มีความคิดที่จะไปหาลั่วเซิงเพื่อถามอีก แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
เขามองออกว่า พี่สาวเป็นจอมโกหกคนหนึ่ง หากไม่อยากบอกเขา ถามไปก็ไม่ได้คำตอบออกมา
หลังจากนี้เขาจะตั้งใจระวัง อาจจะสามารถไขข้อสงสัยได้
พริบตาเดียวก็ถึงสิ้นเดือนแล้ว อากาศหนาวยิ่งกว่าเดิม รถม้าบนถนนกลับมีมากขึ้น
ใกล้จะถึงวันฉลองพระชนมายุหมื่นปีแล้ว เจ้าเมืองซึ่งรับผิดชอบปกครองเขตแดนศักดินา ผู้มีบรรดาศักดิ์อ๋อง โหว และกง กระทั่งแคว้นเพื่อนบ้านและชนชาติอื่นล้วนมาด้วยตนเองหรือส่งราชทูตมารวมตัวกันที่เมืองหลวง เพื่อถวายพระพรให้แก่ฮ่องเต้
วันฉลองพระชนมายุหมื่นปีในปีนี้ ประชาชนไม่รู้สึกอะไร แต่เหล่าขุนนางชนชั้นสูงกลับได้กลิ่นผิดปกติเล็กน้อย
วันฉลองพระชนมายุหมื่นปีในปีที่ผ่านๆ มา จวนอ๋องที่ได้รับการแบ่งดินแดนให้ไปปกครองในพื้นที่ต่างๆ เหล่านั้นเพียงแค่ต้องส่งข้าราชบริพารมามอบของขวัญอวยพรเท่านั้น ปีนี้ฮ่องเต้กลับเอ่ยปากว่า ต้องการให้เหล่าซื่อจื่อนำขบวนมาถวายพระพร
ชินอ๋องเข้าเมืองหลวงไม่ได้นั้นเป็นกฎ ของขวัญมาถึง คนไม่ได้มา ถึงจะเป็นหลักเหตุผลทั่วไป แม้จะกล่าวว่าซื่อจื่อไม่ใช่ชินอ๋อง แต่การมีซื่อจื่อนำขบวนเข้าเมืองหลวงมาถวายพระพรก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากเช่นกัน
วันนี้ อุทยานหลวงในเมืองจักรพรรดิประดับประดาไปด้วยผ้าและโคมไฟอันงดงาม สีทองและสีเขียวหยกของสิ่งปลูกสร้างสดใสงดงาม องค์ชายและขุนนางล้วนผลัดเปลี่ยนเป็นชุดพระราชพิธีหรูหรา มุ่งหน้าไปยังพระตำหนักเพื่อถวายพระพรให้กับโอรสสวรรค์
เสียงวิหคร้องดังขึ้น เสียงดนตรีดังขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง นางรำกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามากลางพระตำหนัก ร่ายรำขึ้นมาอย่างสง่างาม
นางรำเหล่านี้คัดเลือกมาจากตามตรอกซอกซอย ล้วนเป็นยอดหญิงงามแห่งยุคผู้มีรูปโฉมสวยสะดุดตา ถือบุปผาร่ายรำดุจนางฟ้านางสวรรค์
จักรพรรดิหย่งอันประทับบนที่นั่งบนสุดในตำหนัก มือถือจอกทอง เพลิดเพลินกับบทเพลงและการร่ายรำอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าหางตากลับกวาดผ่านเหล่าซื่อจื่อ รวมถึงเด็กหนุ่มรูปงามผู้เป็นเจิ้นหนานอ๋อง
เด็กหนุ่มคล้ายจะไม่คุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้จึงนั่งตัวตรงอย่างอึดอัด ไม่แตะต้องอาหารเลิศรสที่วางอยู่ตรงหน้าเลยสักนิด
เหล่าซื่อจื่อเพลิดเพลินกับบทเพลงและการเต้นรำ บ้างก็มีรอยยิ้มประดับใบหน้า บ้างก็เผยแววตาหลงใหลและมีผู้ที่ไม่สนใจเช่นกัน
จักรพรรดิหย่งอันเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเหล่าซื่อจื่ออยู่ในสายตา แววพระเนตรสงบนิ่งไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ
เสียงดนตรีหยุดชั่วคราว นางรำถอยออกไป นักแสดงกายกรรมเข้ามาแทน
เทียบกับบทเพลงและการเต้นรำแล้ว กายกรรมสนุกสนานมากกว่าเล็กน้อย ปีนเสา เตะขวด และตีลังกา…ถูกนักกายกรรมเหล่านี้แสดงออกมาด้วยทักษะที่ไม่ธรรมดาจึงสามารถดึงเสียงโห่ร้องไชโยให้ดังขึ้นได้เป็นระลอก
นี่คือวันที่สามารถยิ้มแย้มมีความสุขในพระราชวังอย่างหาได้ยากวันหนึ่ง
นักแสดงที่ปีนเสาคือชายคนหนึ่งกับเด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสาม ชายหนุ่มอาศัยศีรษะค้ำเสายาวเอาไว้ แล้วนั่งยองๆ เด็กหนุ่มปีนขึ้นไปบนเสาจนกระทั่งถึงยอดเสา พลิกร่างโยกย้ายไปมา โดยแสดงท่าทางต่างๆ ออกมา
ลูกท้อผลหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า เด็กหนุ่มรับเอาไว้อย่างคล่องแคล่วแล้วมอบให้กับชนชั้นสูงที่อยู่ใกล้ที่สุด
ความสนใจของทุกคนในตำหนักถูกดึงดูดไปหมด การเตะขวด ตีลังกา และหกสูงคำนับ ไม่มีคนดูไปชั่วขณะ
ผู้ที่เตะขวดคือเด็กสาวงดงาม แม้ว่าตอนนี้จะถูกนักแสดงปีนเสาแย่งชิงความโดดเด่นไป แต่กลับจดจ่อเป็นพิเศษ
ขวดแต่ละใบลอยขึ้นและร่วงลงมาเหนือฝ่าเท้านาง เกิดเป็นรูปร่างวงกลมกลางอากาศ
ในตอนนี้เองที่ปลายเท้าของเด็กสาวพลันสั่นระริก ขวดที่หล่นลงมาจึงกระแทกพื้นแตกทันที จังหวะยุ่งเหยิง ขวดที่ลอยอยู่กลางอากาศเหล่านั้นล้วนหล่นลงมาทั้งหมด
เสียงเพล้งดังขึ้น ดึงสายตาทุกคนกลับมาทันที
เด็กหนุ่มที่ปีนเสา ปีนขึ้นไปถึงยอดเสาแล้ว เสี้ยวพริบตาที่สายตาทุกคนถูกดึงไป สองฝ่าเท้าพลันออกแรงถีบ อาศัยแรงดีดจากเสายาวเหินไปทางจักรพรรดิหย่งอันราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง
“คุ้มกันฝ่าบาท…”
ทันใดนั้นสถานการณ์ภายในตำหนักพลันยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยความโกลาหล
เด็กหนุ่มที่ลอบสังหารจักรพรรดิหย่งอันล้มเหลวในที่สุดและถูกดาบยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุร่าง พร้อมกับลากลงไป
งานเลี้ยงคล้ายวันพระราชสมภพย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว จักรพรรดิหย่งอันเร่งรีบจากไปด้วยสีพระพักตร์ไม่สบอารมณ์โดยมีองครักษ์คุ้มครอง ในฐานะที่แม่ทัพใหญ่ลั่วเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน จึงรั้งอยู่เก็บกวาดสภาพเละเทะหลังจากเกิดเหตุ
บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงอกสั่นขวัญแขวน เหล่าซื่อจื่อหวาดผวาจนตัวสั่น
วันฉลองพระชนมายุหมื่นปีถึงกับมีนักฆ่าปรากฏตัว สิ่งที่จะเกิดตามมาย่อมเป็นการสังหารผู้คนมากมายซึ่งโหดเหี้ยมเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต
เมื่อสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาให้คุมตัวนักดนตรีไปยังคุกหลวงอย่างต่อเนื่องแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วที่เดินออกจากเมืองจักรพรรดิก็มองท้องฟ้าขมุกขมัวพลางถอนหายใจ
บรรยากาศตึงเครียดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น เกรงว่าคืนวันอันสงบสุขจะจากไปไม่หวนกลับมาแล้ว