ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 469 เรียก
ตอนที่ 469 เรียก
ตำแหน่งในวังหลังว่างมาโดยตลอด เซียวกุ้ยเฟยเป็นนายหญิงแห่งวังหลังที่แท้จริง นางสนมจำนวนสี่สิบเก้าคนย่อมต้องไปน้อมทักทายที่วังอวี้หวา
มองดูหญิงสาวดุจดอกไม้ตูมเหล่านี้ เซียวกุ้ยเฟยสีหน้านิ่งเฉยและไล่พวกนางออกไปอย่างเกียจคร้าน
เหล่าสตรีสูงศักดิ์ที่ออกจากวังอวี้หวา บ้างก็โล่งอก บ้างก็โมโห
พวกนางก็เป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจนเติบใหญ่ แต่สายตาที่เซียวกุ้ยเฟยมองพวกนางกลับเหมือนมองหมูมองหมา จะทำให้พวกนางสบายใจได้อย่างไร
หนึ่งในนั้น สตรีสูงศักดิ์สกุลหลี่ที่ถูกแต่งตั้งเป็นอันผินไม่พอใจที่สุด
อันผินคือคุณหนูตระกูลหลี่รุ่นหลัง ฮองเฮาหลี่ผู้สวรรคตไปหลายปีคือพี่สาวตระกูลเดียวกับนาง ด้วยเหตุนี้ทันทีที่นางเข้าวังจึงได้รับตำแหน่งผิน
สำหรับนางแล้ว เซียวกุ้ยเฟยก็แค่นางสนมที่ได้เป็นใหญ่เหมือนแมวไม่อยู่หนูร่าเริง หากท่านพี่ยังอยู่ เซียวกุ้ยเฟยจะได้ใจเช่นนี้ได้อย่างไร สายตาที่มองพวกนางราวกับมองมดแมลง
เมื่อคิดถึงการล่มสลายของตระกูลช่วงหลายปีมานี้และเกียรติยศชื่อเสียงของเซียวกุ้ยเฟย อันผินก็มิอาจสงบอารมณ์ลงได้
นางมีความงาม นางมีพรสวรรค์ ภูมิหลังทางครอบครัวนางก็มี
เทียบกับเซียวกุ้ยเฟยแล้ว สิ่งที่นางไม่มีก็แค่โอกาสเท่านั้น บัดนี้นางได้เข้าวังย่อมต้องกู้เกียรติยศและชื่อเสียงของตระกูลหลี่กลับมา
ในวังอวี้หวา เซียวกุ้ยเฟยนอนตะแคงบนตั่งคนงาม ถามเถาหงอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “อันผินนั่นคือคุณหนูจากตระกูลหลี่ใช่หรือไม่”
เถาหงรีบตอบว่า “เพคะ”
เซียวกุ้ยเฟยยกมุมปากยิ้ม “ดูเป็นคนมีชีวิตชีวา เหมือนกับตอนที่ข้าเพิ่งเข้าวัง”
เถาหงรีบยิ้มตอบว่า “นางสนมตำแหน่งผินตัวน้อยๆ คนหนึ่ง จะเปรียบเทียบกับเหนียงเหนียงท่านได้อย่างไร”
เซียวกุ้ยเฟยหุบยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าพูดผิดไปแล้ว ตอนที่ข้าเข้าวังเป็นแค่เสวี่ยนซื่อตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง ห่างจากผินมาก”
เถาหงเม้มปากยิ้ม “แต่ราชทินนามของนางคืออัน ฮ่องเต้ทรงต้องการให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ อย่าสร้างปัญหาให้เหนียงเหนียงเดือดร้อน”
เห็นได้ชัดว่าเซียวกุ้ยเฟยพึงพอใจกับคำพูดนี้มาก นางลูบท้องที่ป่องขึ้นมาพลางหัวเราะเบาๆ
ทุกคนรู้จุดประสงค์ที่ฝ่าบาททรงรับนางสนม จะว่าไปแล้วการคัดเลือกนางสนมครั้งนี้ยังเกิดขึ้นเพราะนาง
นางมีครรภ์จึงทำให้ฮ่องเต้ทรงมีความหวัง และมอบความหวังให้กับครอบครัวที่กำลังดิ้นรนเหล่านั้น
ความโมโหหรือ นางย่อมไม่มี
นางคิดได้ตั้งแต่ในอดีตแล้ว ความโปรดปรานมากมายเพียงใดก็เป็นเพียงจอกแหนไร้ราก เพื่อประโยชน์แล้ว บุรุษเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สุดท้ายแล้ว ลูกในท้องของนางคือที่พึ่งพาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
คนที่มีความคิดเหล่านี้กลับไม่รู้ว่าลูกคนนี้ของนางมาได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เซียวกุ้ยเฟยกลับมามีสีหน้าจริงจัง เล่นส้มสีเหลืองเข้มในมือพลางพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “ข้าอยากกินไก่ขอทานแล้ว ให้โต้วหมัวหมัวไปบอกคุณหนูลั่ว ข้ามีครรภ์ไม่สะดวกกินอาหารจากข้างนอก ให้แม่ครัวของนางเข้าวัง”
โต้วหมัวหมัวรับบัญชาและจากไป
หิมะหยุดตกแล้ว บนถนนชิงซิ่งถูกกวาดแล้ว เผยให้เห็นพื้นหินที่เปียก หิมะถูกกองสูงกว่าเข่าอยู่สองข้างทาง
หิมะฤดูหนาวปีนี้เหมือนกับว่าจะมีมากเป็นพิเศษ
เกี้ยวม่านสีเขียวคันหนึ่งหยุดอยู่ไม่ไกล โต้วหมัวหมัวเดินเข้าไปในหอสุรา
ผู้ดูแลหญิงเห็นโต้วหมัวหมัวเข้ามาก็รีบเดินไปต้อนรับ “ท่านมาแล้วหรือ ดื่มชาอบอุ่นร่างกายก่อนเจ้าค่ะ”
โต้วหมัวหมัวถอดเสื้อคลุมที่หนาและหนักยื่นให้นางกำนัลที่ตามมา ถามว่า “คุณหนูลั่วอยู่หรือไม่”
ผู้ดูแลหญิงยื่นชาพุทราเก๋ากี้ให้โต้วหมัวหมัว ยิ้มตอบว่า “ตอนนี้เพิ่งบ่าย เถ้าแก่ยังไม่มาเจ้าค่ะ”
“แล้วอาซิ่วเล่า”
“อาซิ่วก็ยังไม่มาเจ้าค่ะ”
โต้วหมัวหมัวดื่มชาคำหนึ่ง น้ำชาที่หวานเล็กน้อยทำให้นางถอนหายใจอย่างสบาย “รบกวนส่งคนไปแจ้งที่จวนลั่ว กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเรียกอาซิ่วเข้าวังทำอาหาร”
“โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงเดินไปข้างหลังเรียกชายร่างกำยำให้ไปแจ้งข่าว
วังอวี้หวา ส่งคนมารับไก่ขอทานจนเป็นกิจวัตร มีเพียงครั้งเดียวที่เรียกซิ่วเย่ว์เข้าวัง ซึ่งก็คือตอนที่นางใช้ขนมบอกใบ้ให้นาง ‘มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง’ ครานั้น
ครานี้เซียวกุ้ยเฟยเรียกซิ่วเย่ว์เข้าวังหลังจากเสร็จสิ้นการคัดเลือกนางสนมพอดี ทำให้นางอดคิดมากไม่ได้
เรียกซิ่วเย่ว์เข้าไปตักเตือนบ้างเป็นเรื่องแน่นอน แต่สิ่งที่กลัวคือไม่ใช่แค่ตักเตือนธรรมดาๆ แค่นั้น…
ได้แต่หวังว่านางจะคิดต่ำช้าไปเอง
“เข้าวังแล้วต้องระวังตัวให้ดี” ลั่วเซิงกำชับซิ่วเย่ว์อย่างจริงจัง
ซิ่วเย่ว์พยักหน้า “คุณหนูวางใจ บ่าวรู้แล้ว”
เจ้านายและสาวใช้สองคนเร่งเดินทางมาถึงหอสุรา โต้วหมัวหมัวดื่มชาพุทราเก๋ากี้แก้วที่สามแล้ว
“คุณหนูลั่วมาแล้วหรือ” ทันทีที่เห็นลั่วเซิง โต้วหมัวหมัวก็เผยรอยยิ้มเป็นมิตร
ออกมาเดินเล่นนอกวังเดือนละครั้ง ได้กินได้ดื่มและได้รับการต้อนรับอย่างดีในหอสุรา แม้จะมีใบหน้านิ่งขรึมแต่กำเนิดก็ต้องมีรอยยิ้ม มิหนำซ้ำใบหน้าเย็นชาของโต้วหมัวหมัวยังไม่ได้เป็นแต่กำเนิด นั่นเป็นเพราะสถานะหมัวหมัวอาวุโสในวังทำให้นางต้องปั้นหน้าเช่นนั้น
ลั่วเซิงชี้ไปที่ซิ่วเย่ว์พูดว่า “อาซิ่วเน้นลงมือทำ ไม่ค่อยรู้จักพูด วันนี้เข้าวังไปแล้วรบกวนโต้วหมัวหมัวช่วยดูแลด้วย”
โต้วหมัวหมัวที่รับทองแท่งหนึ่งก็ยิ้มพูดว่า “คุณหนูลั่ววางใจเถอะ เหนียงเหนียงของเราชอบฝีมือทำอาหารของอาซิ่วมาก”
มองส่งซิ่วเย่ว์ออกไปพร้อมกับโต้วหมัวหมัวแล้ว ลั่วเซิงคิดครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปในห้องครัว
ในวังอวี้หวา เซียวกุ้ยเฟยที่กำลังหลับตาได้ยินเสียงรายงานก็ลืมตาขึ้น “พานางเข้ามา”
ไม่นานซิ่วเย่ว์ก็มาถึงข้างหน้าเซียวกุ้ยเฟย นางย่อเข่าคารวะ
เซียวกุ้ยเฟยพยักหน้าเล็กน้อย ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มิต้องมากพิธี เถาหง พาอาซิ่วไปห้องครัว”
วัตถุดิบสำหรับทำไก่ขอทานถูกเตรียมไว้พร้อมแล้ว อีกทั้งอาซิ่วช่ำชองในการทำอาหาร ไม่ได้ปล่อยให้เซียวกุ้ยเฟยรอนานนางก็ถวายไก่ขอทานให้
นางกำนัลรับไก่ขอทานไป กะเทาะดินเหนียวออกและแกะใบบัวออก วางเนื้อไก่ลงบนจานและถวายให้เซียวกุ้ยเฟย
เถาหงเดินไปรับ หลังจากลองชิมแล้วก็ยื่นให้เซียวกุ้ยเฟยพร้อมตะเกียบสีเงิน
เซียวกุ้ยเฟยคีบเนื้อไก่ที่ถูกย่างจนมีสีเหลืองทอง เนื้อนุ่มและเปื่อย กลิ่นหอมเย้ายวน
อร่อยมากจริงๆ
ทว่าเซียวกุ้ยเฟยทานไปเพียงสองสามคำจู่ๆ ก็เอียงศีรษะไปด้านหนึ่งและรู้สึกคลื่นไส้
ซิ่วเย่ว์จำคำกำชับของลั่วเซิงได้ขึ้นใจ เมื่อเห็นเซียวกุ้ยเฟยเป็นเช่นนี้ก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้
แม้นางไม่เคยแต่งงาน แต่นางก็มีความรู้เล็กน้อย อายุครรภ์ของเซียวกุ้ยเฟยผ่านพ้นช่วงแพ้ท้องไปแล้ว
ที่เซียวกุ้ยเฟยทำเช่นนี้ เป็นเพราะนางมีร่างกายต่างจากผู้อื่นหรือว่าต้องการทำสิ่งอื่นกันนะ
ความคิดนี้เพิ่งแล่นผ่านก็เห็นเถาหงรีบเดินไปที่โต๊ะ หยิบถ้วยน้ำมา “เหนียงเหนียง ดื่มน้ำบ๊วยสักคำเถอะเพคะ”
เซียวกุ้ยเฟยเช็ดมุมปาก ถือถ้วยแล้วจิบสองสามคำ สีหน้ากลับมาเป็นปกติ พูดกับซิ่วเย่ว์ว่า “ขายหน้าแล้ว”
ซิ่วเย่ว์รีบบอกว่ามิบังอาจ
เซียวกุ้ยเฟยจิบน้ำบ๊วยอีกครั้ง ถามอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “อาซิ่วทำน้ำบ๊วยเป็นหรือไม่”
“ไม่ค่อยได้ทำเพคะ” ซิ่วเย่ว์ตอบหลังจากไตร่ตรองแล้ว
เซียวกุ้ยเฟยยิ้มๆ “นี่คือน้ำบ๊วยที่ทางใต้ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการ ถูกปากข้ามาก เถาหง ให้อาซิ่วชิมหนึ่งถ้วย”
นางมองซิ่วเย่ว์ด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า “อาซิ่วลองชิมน้ำบ๊วยบรรณาการนี้ ดูว่าอร่อยกว่าที่เจ้าทำหรือไม่”
เถาหงยกน้ำบ๊วยสีแดงอ่อนเดินมาข้างหน้าซิ่วเย่ว์ ยิ้มพูดว่า “วันนี้อาซิ่วมีลาภปากแล้ว”
มือที่ขาวเนียน ถ้วยใสกระจ่าง ของเหลวสีแดงที่กระเพื่อมเล็กน้อย
ซิ่วเย่ว์กำหมัดแน่นแล้วคลายออก นางยื่นมือออกไปรับถ้วยน้ำบ๊วยมา