ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 48 ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
ตอนที่ 48 ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
แม้ว่านางจะเคยเห็นเพียงหนเดียว แม้วันเวลาทำให้ใบหน้านี้ดูแก่ลงสิบสองปี แต่นางก็จำได้ตั้งแต่แรกเห็น
ค่ำคืนที่สิ้นหวังนั้น นางล้มลงหน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้านี้แล้ว
ที่แท้พ่อของคุณหนูลั่วคือผู้นำการล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋อง
ขณะนี้ ลั่วเซิงรู้สึกว่าสวรรค์เล่นตลกกับนางครั้งใหญ่
ชายวัยกลางคนนอนหมดสติบนเตียง ใบหน้าซีดเผือด หัวคิ้วขมวดแม่น ไม่ได้ให้ความรู้สึกเลือดเย็นเหมือนค่ำคืนนั้น เป็นเพียงผู้ป่วยที่ไม่อาจช่วยเหลือตนเอง
แม่ทัพใหญ่ลั่วผู้น่าเกรงขามที่ควบตำแหน่งผู้บัญชาการแห่งองครักษ์จิ่นหลิน คือพ่อของคุณหนูลั่ว คือศัตรูของนาง
แต่บัดนี้นางกลับกลายเป็นคุณหนูลั่ว
ลั่วเซิงรู้ดีว่าสวรรค์ย่อมไร้ความปรานีต่อผู้ที่ต้องฟันฝ่าความทุกข์ทรมาน แต่คาดไม่ถึงว่าความจริงจะโหดร้ายกว่าที่จินตนาการไว้มาก
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอย่างเงียบๆ จากหางตาของนาง
สามพี่น้องเดินเข้ามาเห็นลั่วเซิงร้องไห้จึงมองหน้ากันโดยไม่ตั้งใจ
เป็นพี่น้องกันมาสิบกว่าปี พวกนางแทบไม่เคยเห็นลั่วเซิงร้องไห้เลย แม้กระทั้งตอนที่ลั่วเซิงล่วงเกินท่านอ๋องไคหยางจนถูกท่านพ่อส่งไปอยู่ต่างเมืองก็ไม่ร้องไห้ เพียงแค่โวยวายเสียงดังเท่านั้น
เคยเห็นแต่ลั่วเซิงทำให้คนอื่นร้องไห้ วันนี้นางกลับร้องไห้เมื่อเห็นท่านพ่อนอนล้มป่วยอยู่บนเตียงอย่างนั้นหรือ
เพราะความประหลาดใจนี้ พี่น้องทั้งสามจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก
ภายในห้องเงียบงันลงชั่วขณะจนกระทั่งคุณชายสามเซิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมน
พวกลั่วอิงทั้งสามได้ยินเสียงฝีเท้าจึงมองตามอย่างพร้อมเพรียงกัน
คุณชายสามเซิ่งเดินอย่างเชื่องช้า เพราะกลัวว่าหญิงสาวทั้งสามจะคาดเดามั่วๆ เหมือนกับเหล่าสตรีออกเรือนด้านนอกจึงชิงเอ่ยก่อน “ข้าคือบุตรชายคนที่สามของตระกูลเซิ่ง ญาติผู้พี่ของลั่วเซิง”
สามพี่น้องโค้งคำนับพร้อมเพรียงกัน “คารวะพี่ชาย”
พวกนางเป็นลูกอนุ ญาติผู้พี่ของลั่วเซิงก็ย่อมเป็นญาติผู้พี่ของพวกนางด้วย
คุณชายสามเซิ่งโค้งตอบและเอ่ยว่า “ข้ามาเยี่ยมท่านลุงเขย”
เด็กหนุ่มไม่คุ้นเคยกับการถูกรายล้อมไปด้วยเด็กสาวหลายคนจึงรีบเดินไปข้างๆ ลั่วเซิงถึงจะผ่อนคลายลง
“ท่านลุงเขย ดูแล้ว…” คุณชายสามเซิ่งมองแม่ทัพใหญ่ลั่วที่มีใบหน้าขาวซีด อยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่กลับเหลือบไปเห็นน้ำตาที่หางตาของลั่วเซิงเสียก่อน “น้องหญิง เจ้าร้องไห้หรือนี่”
การร้องไห้ต่อหน้าคนแปลกหน้าหลายคน หากอิงตามความหยิ่งผยองท่านหญิงชิงหยางแล้วคงไม่อนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น น้ำตาที่ไร้เสียงคือขีดจำกัดสูงสุดของนางแล้ว
ลั่วเซิงสงบสติอารมณ์ หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาบริเวณหางตา
คุณชายสามเซิ่งตื่นตระหนกเล็กน้อย “น้องหญิง อย่าเพิ่งกังวลไป ท่านลุงเขยคนดีผีคุ้ม ต้องดีขึ้นแน่นอน”
“คนดีผีคุ้มหรือ” ลั่วเซิงกำผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะแน่นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม่ทัพใหญ่ลั่วถูกลอบสังหารปางตาย แทนที่จะบอกว่าคนดีผีคุ้ม ควรพูดว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจะเหมาะสมกว่า
“ใช่แล้ว น้องหญิง ท่านลุงเขยต้องดีขึ้นแน่นอน เห็นแก่เจ้าและน้องชายจะต้องดีขึ้นแน่” คุณชายสามเซิ่งเอ่ยคำปลอบโยนที่ฟังดูงุ่มง่ามออกมา
ลั่วเซิงได้สติกลับคืนมา
ใช่แล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วต้องดีขึ้น
ตระกูลลั่วไม่ใช่ตระกูลเก่าแก่และไม่มีลูกหลานโดดเด่น อาจกล่าวได้ว่าความเจริญรุ่งเรืองของสกุลลั่วมาจากแม่ทัพใหญ่ลั่วเพียงคนเดียว
แม่ทัพใหญ่ลั่วคือขุนนางผู้ทรงอำนาจ เขาเพียงคนเดียวอุ้มชูทั้งตระกูล
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่ทัพใหญ่ลั่วในฐานะผู้บัญชาการแห่งองครักษ์จิ่นหลินเคยล่วงเกินใครไปบ้าง เมื่อต้นโพธิ์ต้นนี้ล่มลง คุณหนูทั้งสี่ที่รวมถึงนางและลั่วเฉินที่ยังเด็กจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ก็ยากที่จะจินตนาการได้
ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานแม่ทัพใหญ่ลั่วคือเรื่องจริง แต่ความโปรดปรานนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงใดเมื่อเขาจากไป
บนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ ขุนนางหลายคนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ถูกกล่าวโทษทันทีที่หลับตาลง ศพยังไม่ทันเย็นก็ต้องแบกรับความผิดมากมาย
ลูกหลานของขุนนางเหล่านี้กลับไปยังบ้านเกิดและใช้ชีวิตที่มั่นคงถือว่าเป็นจุดจบที่ดีมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่จะถูกฆ่าล้างตระกูล กลายเป็นทาสและคณิกาเสียมากกว่า
ลั่วเซิงมองชายวัยกลางคนที่นอนนิ่งเงียบบนเตียง มุมปากโค้งยิ้มเย้ยหยันอย่างไม่มีใครสังเกตเห็น
ช่างน่าขันนัก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่มือเปื้อนเลือดของจวนเจิ้นหนานอ๋อง สิ่งแรกที่นางต้องทำคือหาวิธีทำให้เขาฟื้นและมีชีวิตรอด
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้น ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเดินเข้ามา
“น้องสาม คือเจ้าจริงๆ ด้วย!” ชายหนุ่มก้าวเร็วๆ มาที่ลั่วเซิง ยังคงมองมาด้วยสายตาเหลือเชื่อ
ลั่วเซิงมองเขาและเอ่ยเสียงราบเรียบ “เรียกข้าว่าลั่วเซิงหรือคุณหนูสาม”
นางเคยได้ยินหงโต้วเล่าว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วมีบุตรบุญธรรมห้าคน ไม่รู้ว่าชายตรงหน้าคือคนไหน
แต่ไม่ว่าจะเป็นคนไหน ชื่อเรียก ‘น้องสาม’ ก็เหลือทนจริงๆ
ชายหนุ่มชะงัก รีบเปลี่ยนคำพูดทันที “คุณหนู…สาม เจ้าไม่ได้อยู่ที่จินซาหรือ กลับมาได้อย่างไร”
ในเวลานี้ คุณหนูสี่ลั่วเย่ว์ก็พูดแทรกขึ้นมา “พี่ห้า ฝั่งนั้นพี่ไม่ได้คุมอยู่หรือ พี่สามกลับมาพี่ไม่รู้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ลั่วเซิงก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ที่แท้ชายตรงหน้าคืออวิ๋นต้ง บุตรบุญธรรมคนที่ห้าของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ถูกลั่วเย่ว์ถามเช่นนี้ ใบหน้าอวิ๋นต้งก็ดูแย่อย่างยิ่งและด่าทอเสียงเบา “ไอ้พวกสวะเหล่านั้น!”
หลังจากด่าทอแล้ว อวิ๋นต้งก็ถามขึ้นอีกครั้ง “เหตุใดคุณหนูสามถึงกลับเมืองหลวงเล่า”
เมื่อคำนวณเวลาที่ใช้เดินทางสำหรับรถม้าธรรมดา ขณะลั่วเซิงออกเดินทาง พ่อบุญธรรมได้หมดสติไปหลายวันแล้ว
ในเวลานี้ คุณชายสามเซิ่งก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ไม่ถูก น้องหญิงไม่ใช่ได้รับจดหมายของท่านลุงเขยถึงเข้าเมืองหลวงหรอกหรือ แต่คำนวณดูแล้ว เวลานั้นท่านลุงเขยหมดสติไปแล้ว จะเขียนจดหมายได้อย่างไร
เมื่อมองใบหน้าที่นิ่งสงบของเด็กสาว คุณชายสามเซิ่งก็คาดเดาอย่างกล้าหาญในใจ น้องหญิงปลอมจดหมายขึ้นมาแน่เลย
เป็นไปไม่ได้ ถือจดหมายปลอมจะใจนิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านี้ ท่านย่าเคยเห็นลายมือของท่านลุงเขนมาก่อนคงจำไม่ผิดหรอก
เรื่องนี้ค่อนข้างประหลาด…คุณชายสามเซิ่งเกาศีรษะสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
“พี่ห้าก็อยู่ที่นี่ด้วยมิใช่หรือ” ลั่วเซิงย้อนถาม
อวิ๋นต้งขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขามีคิ้วที่หนามาก คิ้วคมดุจกระบี่ ใบหน้าคมดุจมีด ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงความเย็นชาที่ดูจริงจัง แต่น้ำเสียงที่พูดคุยกับลั่วเซิงถือว่าอ่อนโยนไม่น้อย “พอได้รับข่าวว่าพ่อบุญธรรมถูกลอบสังหารจนหมดสติ ข้าก็รีบมาจากจวนจินหลิง”
หลังจากได้ยินคำพูดของอวิ๋นต้ง ความคิดของลั่วเซิงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ตามที่นางคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทางฝั่งจวนจินหลิงต้องมีองครักษ์จิ่นหลินที่คอยจับตามองคุณหนูลั่วสองพี่น้องอยู่ แม้ไม่ได้จับตามองตลอดเวลา แต่นางออกเดินทางมานานมากแล้ว ข่าวนี้ควรส่งถึงหัวหน้าองครักษ์ประจำการจวนจิ่นหลินซึ่งก็คือชายตรงหน้าได้แล้ว
แต่อวิ๋นต้งกลับแสดงท่าทางไม่รู้เรื่องนี้
หากเขาไม่ได้โกหก การส่งข่าวภายในขององครักษ์จิ่นหลินคงมีปัญหาและคงเกี่ยวโยงกับกลุ่มคนที่ตามไล่สังหารนางเป็นแน่
แน่นอนว่าไม่ตัดความเป็นไปได้ที่อวิ๋นต้งจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ หากเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้ต้องมีปัญหามากแน่
“ข้ารู้แล้ว!” ลั่วเย่ว์พลันนึกได้ “พี่หญิงสาม ท่านกลับมาเองแน่เลย!”
ทุกคนมองไปที่ลั่วเซิงรวมถึงคุณชายสามเซิ่งด้วย
หรือว่าน้องหญิงปลอมจดหมายท่านลุงเขยและหนีกลับมาเองจริงๆ
ภายใต้การจ้องมองมาของทุกคน ลั่วเซิงเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “เรื่องที่ข้ากลับมา จะอธิบายให้ท่านพ่อฟังเท่านั้น หรือจำเป็นต้องอธิบายให้คนอื่นฟังด้วยอย่างนั้นหรือ”
แค่ปลอมจดหมายกลับเมืองหลวง เรื่องเล็กแค่นี้ ทุกคนทำเหมือนจับจุดอ่อนนางได้อย่างนั้นแหละ