ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 482 ตาย
ตอนที่ 482 ตาย
“ฝ่าบาท นี่คือสิ่งที่แม่ทัพใหญ่ลั่วเจอในหอเซวียนเต๋อพ่ะย่ะค่ะ” โจวซานถวายบางอย่าง
เนื่องจากคำนึงถึงนางสนม แม่ทัพใหญ่ลั่วจึงส่งสิ่งของที่พบหลังจากตรวจสอบหอเซวียนเต๋อเข้ามา
จักรพรรดิหย่งอันทรงเพ่งดู เห็นกระบอกไม้ไผ่ยาวๆ บนถาดที่โจวซานถือ ปลายกระบอกข้างหนึ่งถูกปิดไว้และอีกข้างหนึ่งเปิดไว้
จักรพรรดิหย่งอันเหลือบมองงูที่องครักษ์จับไว้ทันที
อาจจะเป็นเพราะจากหอเซวียนเต๋อมายังพระราชวังใช้เวลาไม่มากนัก ภายในพระราชวังอบอุ่นประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ งูตัวนี้จึงดูมีชีวิตชีวามาก หางที่ห้อยลงมาขดขึ้นมาไม่หยุด
จักรพรรดิหย่งอันตรัสว่า “ปล่อยมันเข้าไป”
องครักษ์รับบัญชาและปฏิบัติตาม
ภายใต้การเฝ้าดูของจักรพรรดิหย่งอัน งูค่อยๆ เลื้อยเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่
องครักษ์ใช้แหวนปานจื่อปิดทางเข้าไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้งูหนีออกมา
จักรพรรดิหย่งอันบัญชาองครักษ์ให้ออกไปแล้วมองไปที่เหล่าผินเฟย
ผินเฟยที่ได้รับเกียรติร่วมชมโคมไฟมีจำนวนสี่คน นางสนมที่มีสถานะสูงสุดคืออันผินและลี่ผิน
อันผินมีภูมิหลังทางครอบครัวที่โดดเด่น ในขณะเดียวกันลี่ผินก็งดงามสมกับทินนาม ใบหน้างดงามดุจพระจันทร์เต็มดวง ผิวพรรณผุดผ่อง นอกจากรูปโฉมงดงามแล้วยังเชื่อฟัง หลังจากเข้าวังแล้วนางได้รับการเลื่อนตำแหน่งด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
เหม่ยเหรินอีกสองคนก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่เข้าวังมาพร้อมกันและได้รับความโปรดปราน
ส่วนคนเก่าเหล่านั้น จักรรพรดิหย่งอันไม่ได้พาไปด้วยแม้แต่คนเดียว
สตรีอายุมากและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ สำหรับจักรพรรดิหย่งอันที่กำลังหมกหมุ่นกับการมีโอรสและธิดาในขณะนี้นั้นไม่มีค่าให้สนใจแม้แต่น้อย แค่นางสนมหน้าใหม่อายุน้อยจำนวนสี่สิบเก้านางเขาก็ยุ่งเป็นพัลวันแล้ว
“พูดมาเถิด ใครทำร้ายกุ้ยเฟย” จักรพรรดิหย่งอันนวดหว่างคิ้วเบาๆ ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดลง
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ผินเฟยทั้งสี่ก็คุกเข่าร้องไห้ ต่างพากันตะโกนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันถูกปรักปรำนะเพคะ ให้ตายหม่อมฉันก็ไม่กล้าทำร้ายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง…”
ทั้งสี่คนร้องไห้ จู่ๆ ก็เหมือนกับเสียงร้องของนกกระจอกนับไม่ถ้วน
จักรพรรดิหย่งอันตะคอก “พอแล้ว!”
เสียงร้องไห้หยุดลงในทันที ทั้งสี่เงยหน้าขึ้น มองจักรพรรดิหย่งอันตาปริบๆ
จักรพรรดิหย่งอันกลับไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย ตรัสด้วยพระพักตร์เยือกเย็นว่า “งูตัวนั้นคงไม่ได้โผล่มาเองหรอกนะ”
อากาศหนาวเช่นนี้ งูเลื้อยเข้าไปนอนในรังนานแล้ว อยากจะหางูตัวหนึ่งมายังยาก มิหนำซ้ำยังนำเข้าในหอเซวียนเต๋อ เลื้อยขึ้นไปบนเสื้อคลุมของเซียวกุ้ยเฟยอีก
จักรพรรดิหย่งอันยิ่งคิดยิ่งโมโห สายพระเนตรที่มองนางสนมทั้งสี่เยือกเย็นจนจับตัวเป็นน้ำแข็ง พระองค์ค่อยๆ ตรัสขึ้นว่า “ครานั้นใครอยู่ใกล้กุ้ยเฟยที่สุด”
ลี่ผินชะงัก
“พูด!”
ทันทีที่เสียงตะคอกดังขึ้น ลี่ผินก็จรดหน้าผากลงกับพื้น พูดเสียงสั่นว่า “หม่อมฉันเพคะ”
จักรพรรดิหย่งอันหลุบพระเนตรมองลี่ผิน ตรัสถามอย่างเย็นชาว่า “ตอนนั้นเจ้ากำลังทำอะไร”
“ครานั้นหม่อมฉันกำลังตั้งใจดูดอกไม้ไฟเพคะ นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้ขึ้นหอเซวียนเต๋อดูดอกไม้ไฟ…”
ในอดีต นางยังเป็นแค่สตรีในครอบครัวขุนนางสูงศักดิ์ธรรมดาคนหนึ่ง เทศกาลโคมไฟทุกปีนางจะไปชมโคมไฟพร้อมกับพี่น้อง และเคยมองดูร่างบนหอเซวียนเต๋อจากระยะไกลด้วยความปรารถนา
แต่ปรากฏว่าบนที่สูงนั้นหนาวมาก
ลี่ผินค่อยๆ เงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลอาบแก้มอันงดงาม “ขอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบให้ถี่ถ้วน นอกจากหม่อมฉันจะไม่มีเหตุผลให้ทำร้ายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงแล้ว ถึงแม้จะมีเจตนาไม่ดี แล้วจะมีความกล้าที่ไหนมาจับงูตัวนั้นเพคะ”
นางสนมสามคนที่เหลือราวกับถูกปลุกให้ตื่น ต่างพากันร้องไห้โอดครวญ
“ขอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบให้ถี่ถ้วน หม่อมฉันเห็นงูก็กลัวจะตายแล้วเพคะ จะกล้าจับมาทำร้ายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว งูน่ากลัวเช่นนี้ จับยังไม่กล้าจับเลยเพคะ…”
“ฮือๆๆ แม้หม่อมฉันจะตั้งใจหางูก็คงหาไม่เจอเพคะ สวนดอกไม้ที่โล่งเช่นนั้น แม้แต่คนยังหนาวจนไม่อยากออกมา ยิ่งมิต้องพูดถึงงูเลย”
จักรพรรดิหย่งอันฟังสิ่งเหล่านี้ก็ได้สติมากขึ้น
แม้นางสนมสี่คนนี้จะน่าสงสัยที่สุด แต่การจับงูตัวหนึ่งมาในฤดูหนาวแบบนี้ก็มิใช่เรื่องง่าย
ต้องรู้ว่าที่นี่คือพระราชวัง ไม่ต้องพูดถึงฤดูกาลนี้ แม้แต่ฤดูร้อนที่มีดอกไม้และต้นหญ้าเขียวชอุ่มก็แทบจะไม่เห็นงู เพราะมีคนในวังที่รับผิดชอบกำจัดสัตว์ต่างๆ เช่น หนู มด แมลง และงูโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เหล่านี้ทำให้ผู้สูงศักดิ์ตกใจ
และหากต้องการนำสิ่งของจากข้างนอกเข้ามา ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับนางสนมผินเฟยชั้นต่ำที่เพิ่งเข้าวังได้ไม่นาน
จักรพรรดิหย่งอันครุ่นคิด จู่ๆ ภาพใบหน้าคนผู้หนึ่งก็แวบผ่าน
องค์หญิงฉางเล่อ
สำหรับองค์หญิงฉางเล่อแล้ว การจับงูและนำมาที่หอเซวียนเต๋อเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก
เมื่อคิดถึงองค์หญิงฉางเล่อ หากเป็นบิดาทั่วไปที่มีบุตรสาวเป็นแก้วตาดวงใจมาโดยตลอด ปฏิกิริยาแรกย่อมต้องปฏิเสธ แต่จักรพรรดิหย่งอันไม่ใช่
เขาไม่ใช่เพียงบิดาคนหนึ่ง แต่ยังเป็นจักรพรรดิท่านหนึ่งและยังเป็นจักรพรรดิที่เยือกเย็นและมีความคิดลึกซึ้ง หลังจากสงบอารมณ์ลงแล้ว เขาใช้เพียงเหตุผลในการวิเคราะห์เท่านั้น
นอกจากฉางเล่อจะได้เปรียบในส่วนนี้แล้ว บางทีนางอาจจะมีแรงจูงใจนี้ด้วย… เมื่อจักรพรรดิหย่งอันทรงคิดถึงตรงนี้ พระเนตรก็ลุ่มลึกขึ้น ดูมืดมิดราวกับค่ำคืนในยามนี้
แต่ฉางเล่อไม่ได้เข้าใกล้เซียวกุ้ยเฟยเลย หากมีเจตนาทำร้ายเซียวกุ้ยเฟยจริงๆ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะสำเร็จ
ความสงสัยผุดขึ้นมาในพระทัยของจักรพรรดิหย่งอัน ความสนใจของเขากลับไปอยู่ที่นางสนมทั้งสี่ที่กำลังคุกเข่าอีกครั้ง
หากมีบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ แสดงว่ามีปริศนาอีกประการ
ผินเฟยทั้งสี่ขนาบซ้ายขวาเซียวกุ้ยเฟย กลับแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะนำงูเข้ามา ฉางเล่อมีความเป็นไปได้ที่จะนำงูเข้ามา แต่กลับไม่ได้เข้าใกล้เซียวกุ้ยเฟย…
จักรพรรดิหย่งอันพระเนตรเป็นประกาย ทรงเดาว่าหากฉางเล่อร่วมมือกับหนึ่งในผินเฟยเล่า
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สายพระเนตรที่มองนางสนมทั้งสี่ก็เยือกเย็นกว่าเดิม
จักรพรรดิหย่งอันทรงเงียบอยู่นาน นางสนมทั้งสี่ก็ไม่กล้าร้องไห้อีก ต่างคุกเข่านิ่งๆ
นางสนมทั้งสี่ที่อยู่ในวัยงดงามดุจดอกไม้น้ำตาคลอ แม้จะแค่คุกเข่าก็ดูน่าสงสาร
จักรพรรดิหย่งอันจ้องไปที่ทั้งสี่คน ในที่สุดก็ตรัสว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีใครยอมรับ เช่นนั้นก็จงฆ่าตัวตายให้หมด”
ทันทีที่ได้ยิน นางสนมทั้งสี่ก็เงยหน้า “ฝ่าบาท!”
จักรพรรดิหย่งอันทรงไม่สะทกสะท้านเพียงตรัสอย่างสงบว่า “โจวซาน ยกเหล้าพิษมา…”
โจวซานตกตะลึงกับวิธีการของจักรพรรดิหย่งอันนานแล้ว ทว่าใบหน้ากลับไม่กล้าเผยความประหลาดใจ เขาขานตอบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ไม่นาน โจวซานก็พาขันทีสี่คนเข้ามา บนถาดที่ขันทีทุกนายยกมามีสุราอยู่หนึ่งจอก
นางสนมทั้งสี่มองจอกสุราเครื่องลายครามสีขาวที่ประกายแววเยือกเย็น ตกใจจนขวัญหายหมดแล้ว
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทโปรดทรงอภัยเพคะ…”
ถึงครานี้ ทั้งสี่ยังคงไม่อยากจะเชื่อว่าฝ่าบาทจะให้พวกนางฆ่าตัวตายทั้งหมด
เหตุใดจึงโหดเหี้ยมและไร้ความปรานีเช่นนี้นะ
ต่อหน้าการขอร้องวิงวอนของทั้งสี่ จักรพรรดิหย่งอันสีพระพักตร์นิ่งสงบ ตรัสด้วยความเย็นชาว่า “ส่งพวกนางทั้งสี่ไป”
ขันทีสี่คนเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พูดเสียงเบาว่า “เหนียงเหนียง เชิญขอรับ”
“ไม่ ไม่เอา!” ลี่ผินถอยหลัง หน้าซีดเผือด
อันผินยิ่งรับไม่ได้ “ฝ่าบาท ทรงเคยตรัสว่าหม่อมฉันเหมือนอดีดตฮองเฮามาก และยังตรัสว่า…”
“หุบปากของเจ้าซะ” จักรพรรดิหย่งอันตรัสแทรกอันผิน
อันผินมองจักรพรรดิอย่างงงงัน ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักชายคนนี้
เหม่ยเหรินสองท่าน ท่านหนึ่งแซ่หวัง อีกท่านแซ่จาง ราวกับว่าจางเหม่ยเหรินตกใจจนเสียสติไปแล้ว นางไร้ซึ่งการตอบสนองต่อขันทีที่ยื่นเหล้าพิษมา ส่วนหวังเหม่ยเหรินนั้นคัดค้านอย่างรุนแรง
เสียงหมดความอดทนของจักรพรรดิหย่งอันดังขึ้น “หากไม่ไหวก็เรียกขันทีมาอีก เรื่องแค่นี้จัดการไม่ได้รึ”
เมื่อได้ยินคำนี้ ความเพ้อฝันที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดในใจหวังเหม่ยเหรินก็พังทลายสิ้นเชิง นางตะโกนขึ้นว่า “หม่อมฉันพูด หม่อมฉันจะพูด…”