ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 498 จากลา
ตอนที่ 498 จากลา
มองดูสีหน้าซีดขาวของเด็กหนุ่ม ลั่วเซิงก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเขาเบาๆ
เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นสูงกว่านางครึ่งศีรษะโดยที่นางไม่ทันได้สังเกต ทำให้นางลูบศีรษะเขาด้วยความลำบากเล็กน้อย
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เจ้าคือน้องชายของข้าตลอดไป”
ขนตาหนาของเด็กหนุ่มกะพริบสองสามที เขาเม้มปากเบาๆ
“ลั่วเฉิน เจ้าฉลาดเช่นนี้ มีหลายสิ่งที่ข้าไม่จำเป็นต้องพูด ความคิดของข้านั้นเรียบง่ายมาก คนเราอยู่ด้วยกันย่อมเกิดความผูกพัน ไม่ใช่ดูเพียงความเกี่ยวข้องทางสายเลือด เราเป็นพี่น้องกันมาตั้งแต่เล็ก แล้วตอนนี้จะต้องเปลี่ยนไปหรือ”
ลั่วเฉินเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็ยกมุมปากขึ้น “ท่านพี่พูดถูก”
เมื่อเห็นลั่วเฉินคิดได้แล้ว ลั่วเซิงก็อดยิ้มไม่ได้
ที่นางมองแม่ทัพใหญ่ลั่วจากศัตรูเป็นบิดาคนที่สองของนางได้ ไหนเลยจะไม่ใช่เพราะการอยู่ร่วมกันมา
เมื่อสงบอารมณ์ลงแล้ว คำถามมากมายก็ผุดขึ้นในใจ
“ครานั้นท่านพ่อเป็นคนนำทัพล้อมโจมตีจวนเจิ้นหนานอ๋อง เช่นนี้แล้ว ข้าคือ…ลูกกำพร้าเจิ้นหนานอ๋องที่ถูกท่านพ่อแอบช่วยไว้หรือ”
“อืม”
“หากข้าเป็นลูกกำพร้าเจิ้นหนานอ๋อง แล้วเจิ้นหนานอ๋องคนปัจจุบันคือผู้ใดกัน”
เด็กหนุ่มคนนั้นเขาเองก็เคยเจอ ยังเคยกังวลว่าจะลั่วเซิงจะชอบอีกฝ่ายจนเพิ่มข่าวฉาวในเมืองหลวงอยู่เลย
“ข้าเคยมีนายบำเรอคนหนึ่งชื่อซือหนาน เมื่อต้นปีก่อนเขาลอบสังหารท่านพ่อ หลังจากนั้นตรวจพบว่าเขาคือข้ารับใช้เก่าของจวนเจิ้นหนานอ๋อง…”
ลั่วเฉินฟังเงียบๆ จู่ๆ ก็ไม่เข้าใจความเชื่อมโยงของเรื่องราว
ลั่วเซิงมองลั่วเฉิน เอ่ยขึ้นทีละพยางค์ว่า “เจิ้นหนานอ๋องในตอนนี้คล้ายกับซือหนานอย่างน้อยห้าส่วน”
ตาลั่วเฉินเป็นประกายเล็กน้อย “ท่านพี่หมายความว่า เจิ้นหนานอ๋องในตอนนี้อาจจะเป็นพี่น้องของซือหนานหรือ”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ
ครานี้ ลั่วเฉินเงียบไปนานกว่าเดิม
ขนตาที่หนาและยาวราวกับใบพัด ทอดเงาลงบนเปลือกตาล่าง บดบังแววตาของเด็กหนุ่ม
ลั่วเซิงไม่ได้ทำลายบรรยากาศที่สงบนี้ เพื่อให้เด็กหนุ่มมีเวลาเพียงพอที่จะประมวลข้อมูลที่น่าตกตะลึงนี้
ผ่านไปนาน ลั่วเฉินก็เงยหน้ามองลั่วเซิง “แล้วเสี่ยวชีเล่า”
เขาไม่ได้รอให้ลั่วเซิงตอบก็ถามขึ้นอีกว่า “เสี่ยวชีเองก็เกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋องหรือ”
ลั่วเซิงอดสะท้อนใจกับความเฉลียวฉลาดของลั่วเฉินไม่ได้ และไม่มีความคิดจะปิดบังอีก “เสี่ยวชีเหมือนกับเจิ้นหนานอ๋ององค์ปัจจุบัน ล้วนเป็นข้ารับใช้จวนเจิ้นหนานอ๋อง ครานั้นเจิ้นหนานอ๋องถูกล้อมสังหาร เพื่อที่จะปกป้องท่านอ๋องน้อยที่แท้จริง มีทารกหลายคนถูกองครักษ์นำตัวออกไป พวกเขาสองคนก็อยู่ในนั้นด้วย…”
ลั่วเฉินฟังเงียบๆ คิดถึงเด็กตัวดำที่มีนิสัยกระตือรือร้นและใจดีคนนั้น
ที่แท้พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันตั้งแต่เล็กเช่นนั้นแล้ว
“พรุ่งนี้ข้าจะให้เสี่ยวชีติดตามไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
ลั่วเฉินมองตาของลั่วเซิง ถามคำถามที่เขาสงสัยมากที่สุด “เหตุใดท่านพี่จึงรู้ละเอียดเช่นนี้”
สำหรับคำถามนี้ ลั่วเซิงคิดคำตอบไว้นานแล้ว “อาซิ่วเป็นคนบอกข้า นางคือสาวใช้ข้างกายของพระชายาเอกเจิ้นหนานอ๋อง ที่จำเสี่ยวชีได้ก็เป็นเพราะเสี่ยวชีสวมจักจั่นหยกที่นางเป็นคนมอบให้คู่หมายของนาง…”
“เหตุใดอาซิ่วจึงบอกความลับเช่นนี้ให้ท่านพี่ฟัง” นัยน์ตาลั่วเฉินปรากฏความระแวดระวัง
สำหรับอาซิ่วที่ช่ำชองการทำอาหารนั้น เขารู้สึกดีด้วยมาตลอด แต่เมื่อคิดถึงอีกฝ่ายที่บอกเรื่องนี้กับลั่วเซิงก็รู้สึกไม่พอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เห็นได้ชัดว่านี่คือการลากท่านพี่ของเขาลงน้ำไปด้วย
ลั่วเซิงยกมือขึ้นจัดปอยผมที่ร่วงลงมา ยิ้มพูดว่า “ตอนที่ไคหยางอ๋องบอกข้าว่ามีปอหลังกู่อันหนึ่งอาจจะอยู่ที่เจ้า อาซิ่วบังเอิญได้ยินเข้าพอดี อาซิ่วรู้สึกว่าเจ้าหน้าตาเหมือนพระชายาเจิ้นหนานอ๋องมานานแล้ว รวมทั้งเรื่องปอหลังกู่จึงสงสัยว่าเจ้าอาจจะเป็นท่านอ๋องน้อย นางจึงหาโอกาสมาสารภาพกับข้า”
ลั่วเฉินพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้า… เหมือนพระชายาเจิ้นหนานอ๋องหรือ”
ลั่วเซิงพูดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “อาซิ่วพูดเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่เคยเจอพระชายาเจิ้นหนานอ๋องเสียหน่อย จะไปรู้ได้อย่างไร”
ความจริงแล้ว ลั่วเฉินไม่ได้มีหน้าตาเหมือนกับท่านแม่มากนัก อย่างมากก็เหมือนเพียงหนึ่งถึงสองส่วน
เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีหน้าตาเหมือนกันแค่หนึ่งถึงสองส่วน นี่ก็เป็นเหตุผลที่นางไม่ได้คิดว่าจะเป็นลั่วเฉินในตอนแรก
“ท่านพ่อให้ข้าออกจากเมืองหลวง เป็นเพราะมีคนสังเกตเห็นสิ่งที่เขาทำเพื่อช่วยข้าตอนนั้นหรือ”
ลั่วเซิงเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย “แค่เตรียมการล่วงหน้าเท่านั้น ตราบใดที่เจ้าไม่อยู่ในเมืองหลวง แม้ภายหน้าจะมีคนเอาเรื่องอดีตมาพูดก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น”
“แต่ว่า…”
ลั่วเซิงหยุดลั่วเฉิน “ฟังข้าพูดให้จบก่อน ที่จริงออกจากเมืองหลวงครานี้ข้าไม่ได้ส่งเจ้าไปจินซา แต่ไปเหอหยาง”
“เหอหยาง?”
“ใช่แล้ว นั่นคือที่ที่ซ่อนตัวขององครักษ์จูเชวี่ย เจ้าถึงที่นั่นแล้วทำความรู้จักกับพวกเขาก่อน ในภายหน้าหากเมืองหลวงโกลาหล อย่างน้อยตระกูลลั่วของเราก็ยังมีทางหนีทีไล่”
เมื่อได้ยินลั่วเซิงพูดเช่นนี้ ลั่วเฉินก็อดไม่ได้ที่จะล้มเลิกความคิดที่จะอยู่ต่อ และความสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้น “ข้าจะติดต่อองครักษ์จูเชวี่ยได้อย่างไร”
คงไม่ใช่เพียงอาศัยเพียงป้ายอาญาสิทธิ์จูเชวี่ยครึ่งหนึ่งแล้วองครักษ์จูเชวี่ยจะปรากฏตัวขึ้นได้หรอกนะ
ขณะที่กำลังคิดสงสัยก็ได้ยินลั่วเซิงพูดว่า “ท่านลุงของท่านจูเป็นผู้บัญชาการขององครักษ์จูเชวี่ย พรุ่งนี้เขาจะไปกับเจ้า”
ลั่วเฉินชะงักงันกว่าจะตั้งสติได้ “หมายความว่าผู้ดูแลบัญชีของมีหอสุราคือองครักษ์จูเชวี่ย แม่ครัวคือสาวใช้ของจวนเจิ้นหนานอ๋อง เสี่ยวชีที่ทำงานเบ็ดเตล็ดคือข้ารับใช้เก่าของจวนเจิ้นหนานอ๋อง…”
ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ “พูดแบบนี้ก็ไม่ผิด”
“แล้วผู้ดูแลหญิงเล่า”
“ผู้ดูแลหญิงก็คือผู้ดูแลหญิง”
ลั่วเฉินเผยสีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ยังดีที่ยังมีคนปกติหนึ่งคน
“รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเร่งเดินทางอีก”
“ขอรับ” ลั่วเฉินรู้สึกว่ายังมีคำพูดอีกมากมายอยากจะพูด แต่สุดท้ายทำได้เพียงขานตอบคำเดียวแล้วจากเรือนเสียนอวิ๋นย่วนไปเงียบๆ
วันต่อมาอากาศแจ่มใส ทุกคนในจวนลั่วส่งลั่วเฉินออกเดินทางแต่เช้าตรู่
เหล่าอี๋เหนียงล้อมลั่วเฉินเอาไว้พลางเช็ดน้ำตาไม่หยุด
“คุณชายออกไปข้างนอกต้องดูแลตนเองให้ดีๆ นะเจ้าคะ”
“นั่นน่ะสิ คุณชายผอมแบบนี้ยังต้องออกเดินทางไกล นายท่านช่างโหดเหี้ยมจริงๆ…”
“เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเซิ่งหายดีแล้ว คุณชายต้องรีบกลับมานะเจ้าคะ”
ราวกับมีผึ้งหลายตัวส่งเสียงหึ่งๆ อยู่ข้างใบหู ลั่วเฉินอดกระตุกมุมปากและเหลือบมองแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้
แม่ทัพใหญ่ลั่วหน้านิ่งขรึม ตะโกนขึ้นว่า “พอแล้ว พวกเจ้าพอได้หรือยัง!”
เหล่าอี๋เหนียงเงียบลงในทันทีและแอบกลอกตาใส่แม่ทัพใหญ่ลั่ว
นายน้อยเป็นบุตรชายคนเดียวของจวนลั่ว ไม่รู้จริงๆ ว่านายท่านคิดอะไรอยู่
พี่น้องลั่วอิงเองก็มากล่าวอำลาเช่นกัน
สองพี่น้องลั่วเซิงและลั่วเฉินสบตาครู่หนึ่ง ต่างทอดถอนใจ
ลั่วเซิงยื่นสัมภาระที่เก็บเรียบร้อยส่งให้พลางกำชับว่า “ขาหมูตุ๋นเก็บได้นาน เจ้ากินเนื้อตุ๋นและลิ้นเป็ดกระเทียมดำก่อน ยังมีแป้งทอดอีกจำนวนหนึ่ง มีทั้งหวานและคาว…”
ลั่วเฉินก้มหน้าฟัง กัดปากแน่น
“พอแล้ว รีบออกเดินทางเถอะ” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยขึ้นตัดบทจากลาอันโศกเศร้าลง
ลั่วเซิงไปส่งลั่วเฉินและคนอื่นๆ ถึงท่าเรือในเขตชานเมืองกับแม่ทัพใหญ่ลั่ว นางชี้ไปที่ลุงซิ่งแล้วพูดว่า “ลุงซิ่งคือท่านลุงของผู้ดูแลบัญชี กำลังจะกลับทางใต้พอดี ข้าเห็นว่าเป็นทางผ่านก็เลยให้ไปพร้อมกับพวกท่านน้า จะได้ดูแลซึ่งกันและกันเจ้าค่ะ”
มองส่งทุกคนลงเรือและเรือค่อยๆ แล่นออกจากฝั่ง แม่ทัพใหญ่ลั่วและลั่วเซิงก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับ
แสงอาทิตย์สีทองยามเช้าปกคลุมเรือสีดำและผู้คนบนเรือ คุณชายสามเซิ่งโบกมือให้ลั่วเซิงอย่างเอาเป็นเอาตายและตะโกนเสียงดังว่า “น้องลั่ว เมื่อท่านย่าหายดีแล้วข้าจะกลับมาอีกนะ!”