ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 511 หนี
ตอนที่ 511 หนี
หลังจากความปีติยินดีก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หรือจะพูดได้ว่า ความเจ็บแสบในลำคอที่ยากจะทนไหวทำให้เขารู้สึกผิดปกติ
ซูเย่าเอื้อมมือไปแตะคอแล้วอ้าปาก เขาต้องตกใจเมื่อพบว่าไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
เกิดอะไรขึ้น
ซูเย่าสีหน้าพลันเปลี่ยน เสียงแหบแห้งแทบจะไร้เสียงดังขึ้น เขารู้สึกราวกับฟ้าผ่าลงกลางศีรษะกลางวันแสกๆ
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็พุ่งไปที่ประตูและทุบประตูไม่หยุด
เสียงทุบประตูดังขึ้นจากข้างใน คนเฝ้าประตูกลับไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย
เสียงทุบประตูค่อยๆ เบาลง
ในห้อง ซูเย่าหน้าซีดและเหงื่อไหลท่วมราวกับปลาที่ใกล้ตายเพราะกระโดดขึ้นฝั่ง แม้แต่เสียงหายใจที่รุนแรงนั่นก็เจือความแหบแห้งไม่น่าฟัง ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง
แม่ทัพใหญ่ลั่วกำลังอ่านหนังสือในห้องหนังสือ
บอกว่าอ่านหนังสือ แท้จริงแล้วแค่พลิกหนังสือเท่านั้น เขากำลังรอคอยเวลานั้นมาถึง
เด็กรับใช้คนหนึ่งได้รับอนุญาต เดินเข้ามาในห้องเงียบๆ “ท่านแม่ทัพใหญ่ อาลักษณ์ซูเพิ่งฟื้นเมื่อครู่นี้ ทุบประตูอยู่นานขอรับ”
“ปล่อยเขาทำไป” เมื่อเอ่ยถึงซูเย่า สีหน้าสงบของแม่ทัพใหญ่ลั่วก็เยือกเย็นลง
คิดจริงๆ หรือว่าสอบจอหงวนได้แล้วจะเป็นข้าราชการชั้นสูง ในเมื่อมีปากที่เอาแต่พูดจาเหลวไหล เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอีกเลยจะดีกว่า
ส่วนจอหงวนซูจะเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้หรือไม่ แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่สนใจแม้แต่น้อย
ถึงขั้นแตกหักกับฝ่าบาทแล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องสนใจด้วยหรือ
เจ้าหนุ่มที่ถูกวางยาพิษจนเป็นใบ้นั่น เขาก็แค่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพูดได้อีกก็เท่านั้นเอง
แม่ทัพใหญ่ลั่วให้เด็กรับใช้ออกไปแล้วพลิกหนังสือเป็นครั้งคราวต่อไป
สายลมฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น จู่ๆ ก็มีนกพิราบสีขาวบินเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้
นกพิราบยืนบนโต๊ะใหญ่ ส่งเสียงร้องให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วแบมือออกให้นกพิราบ
นกพิราบเอียงศีรษะมองแม่ทัพใหญ่ลั่วพลางครุ่นคิด ก่อนจะกางปีกแล้วกระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือของเขา
แม่ทัพใหญ่ลั่วลูบขนนกพิราบอย่างอ่อนโยนและค่อยๆ แกะจดหมายที่ผูกไว้บนขาของมันออกมา
มีตัวหนังสือเพียงสองตัวเขียนไว้บนกระดาษแผ่นเล็กว่า ‘ลมมา’
แม่ทัพใหญ่ลั่วฉีกและขยำกระดาษแล้วปล่อยนกพิราบไป
ไม่นานก็มีนกพิราบสีเทาอีกตัวหนึ่งบินเข้ามา จดหมายที่นำมามีตัวหนังสือสองตัวเหมือนกัน
ข่าวที่นกพิราบส่งมาเป็นความลับ ทว่าทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง ข่าวสำคัญเช่นนี้ย่อมใช้นกพิราบตัวเดียวไม่ได้
หลังจากถอดชุดคลุมเผยให้เห็นชุดเกราะง่ายๆ ด้านใน แม่ทัพใหญ่ลั่วกดฝักดาบของเขาแล้วเดินสาวเท้าออกไป
ฟ้ามืดสนิทแล้ว อีกทั้งยังมีเมฆมาก ทำให้ไม่เห็นดวงดาวและดวงจันทร์
จวนลั่วทั้งจวนสว่างไสวดังเช่นคืนปกติ
เหล่าชนชั้นสูงย่อมต้องทำให้จวนตนเองสว่างไสว ต่างจากสามัญชนธรรมดาส่วนใหญ่ที่นอนตั้งแต่หัวค่ำเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง
ทุกคนในจวนลั่วมารวมตัวกันที่หนึ่งเงียบๆ
แม่ทัพใหญ่ลั่วกวาดตามองผ่านใบหน้าที่คุ้นเคยทุกดวงก่อนจะพูดเสียงขรึมว่า “ไปกันเถอะ”
ผู้ที่เดินตามติดข้างหลังแม่ทัพใหญ่ลั่วคือสี่พี่น้องลั่วเซิง
ทั้งๆ ที่เดินอยู่ในบ้านที่คุ้นเคย แต่ท่ามกลางบรรยากาศที่ตื่นเต้นและเงียบงันนี้ ลั่วเย่ว์กลับรู้สึกเหมือนกับหลงทาง
ท่านพ่อจะพาพวกนางไปไหนนะ
ทางที่พวกเขามุ่งไปตอนนี้ไม่ใช่ทางไปประตูใหญ่…
ลั่วเย่ว์เต็มไปด้วยความสงสัย อดอยากถามลั่วเซิงที่เดินอยู่ข้างหน้าไม่ได้ แต่เมื่อเห็นใบหน้าด้านข้างที่สงบนิ่งของอีกฝ่าย คำพูดที่ติดอยู่ตรงปากก็ถูกกลืนลงไป
ไม่มีอะไรต้องกลัว อย่างที่พี่สามพูดเมื่อตอนกลางวัน พวกเขายังอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว
แม่นางน้อยตาเป็นประกายและเร่งฝีเท้าขึ้น
สถานที่ที่ทุกคนเดินตามแม่ทัพใหญ่ลั่วไปคือห้องเก็บของห้องหนึ่ง
ห้องเก็บของใหญ่มาก มีสิ่งของวางกองมากมาย อาจจะเป็นเพราะไม่มีคนเปิดห้องนี้มานาน จึงทำให้มีกลิ่นเหม็นอับจางๆ โชยมา
เมื่อเดินไปจนสุดทาง ข้ารับใช้คนหนึ่งก็เดินขึ้นหน้ากดปุ่มกลไกและผลักประตูที่แนบสนิทไปกับผนังออกพร้อมกับลูกมืออีกคนหนึ่ง
ในประตูมีเพียงความมืดมิดไร้จุดสิ้นสุด
องครักษ์จิ่นหลินสองนายเดินถือตะเกียงอยู่ข้างหน้า ส่องให้เห็นบริเวณหนึ่ง ทุกคนจึงเห็นชัดว่านี่คืออุโมงค์ลับเส้นหนึ่ง
ทางลับนี้สามารถรองรับคนสองคนเดินเคียงข้างกัน เมื่อทุกคนทยอยเดินเข้าไปก็กลายเป็นขบวนยาว
จู่ๆ เสียงร้องโอ๊ยก็ดังขึ้น แม่ทัพใหญ่ลั่วโมโหก่นด่า “เจ้าหก ส่งเสียงร้องบ้าอะไรของเจ้า”
เสียงน้อยใจของอี๋เหนียงหกดังขึ้นอย่างรวดเร็ว “นายท่าน ไม่ใช่ข้านะเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วขมวดคิ้ว
ฟังจากเสียงแล้วคุ้นหูมาก สตรีโง่คนไหนกันนะ
คราวนี้เสียงหวาดกลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น “นายท่าน ข้าไม่ระวังสะดุดเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยังคงฟังไม่ออกว่าคือคนไหน เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พวกเจ้าระวังหน่อย หากออกไปข้างนอกแล้วส่งเสียงดัง ดูซิว่าข้าจะถลกหนังพวกเจ้าหรือไม่”
“ท่านพ่อ ทางออกของอุโมงค์นี้คือที่ไหนหรือเจ้าคะ”
ทันทีที่ได้ยินลั่วเซิงถาม น้ำเสียงของแม่ทัพใหญ่ลั่วก็อ่อนโยนลง “อยู่บริเวณใกล้เคียงกับประตูเมืองประจิมทิศ”
เมื่อได้ยินว่าเป็นประตูเมืองประจิมทิศ ลั่วเซิงก็ประหลาดใจ
แม้ว่าจวนแม่ทัพใหญ่ลั่วจะตั้งอยู่ในเมืองประจิมและอยู่ใกล้กับประตูเมืองประจิมที่สุด แต่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น การขุดอุโมงค์จากจวนลั่วถึงบริเวณใกล้เคียงประตูเมืองประจิมทิศต้องใช้ความพยายามอย่างมิอาจประเมินได้
ผู้ที่ประหลาดใจไม่ได้มีเพียงลั่วเซิงคนเดียว
เมื่อได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าเบาๆ ด้วยความตกตะลึง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็รู้สึกได้ใจ
การทำอุโมงค์แบบนี้ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเริ่มเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว หากพูดให้ถูกต้องแล้ว เขาเริ่มหลังจากนำทหารไปล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋อง
โลหิตไหลนองเต็มพื้น ซากศพกองพะเนิน สร้างความแตกต่างอย่างมากกับจวนอ๋องอันหรูหรางดงามและยังทิ้งความทรงจำและคำเตือนที่มิอาจลืมเลือนไปได้ตลอดชีวิต
การทำงานเสี่ยงตาย เขาไม่ต้องการให้มีวันหนึ่งครอบครัวของเขาจะกลายเป็นอย่างเจิ้นหนานอ๋อง คนที่เขารักต้องตายอย่างอนาถ
แม่ทัพใหญ่ลั่วหันไปมองหญิงสาวที่เดินข้างกาย
โดยเฉพาะลั่วเซิง เขาต้องปกป้องนางไว้
ความคิดของแม่ทัพใหญ่ลั่วโบยบินกลับไปวันนั้นเมื่อสิบสี่ปีก่อนอีกครั้ง
บุตรชายที่ภรรยาให้กำเนิดอย่างยากลำบากมีชีวิตได้เพียงไม่กี่วันก็ตายจากไปเพราะครรภ์อ่อนแอ ภรรยาร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน
เขาเป็นบุรุษ ร้องไห้ไม่ได้ ได้แต่มองนางร้องไห้
ผ่านไปไม่นาน ภรรยาก็เดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดดังตะเกียงไร้น้ำมัน
คราวนั้นภรรยาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้ว นางดึงนิ้วของเขาไว้แล้วชี้ไปที่เซิงเอ๋อร์ที่มีอายุเพียงสามขวบ พยายามตะโกนสุดแรง “นายท่าน ต้องให้เซิงเอ๋อร์ของเราเติบโตนะเจ้าคะ…”
หลังจากจบคำพูดไปอย่างกะทันหัน มือที่ซีดและเย็นก็ร่วงลง
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาสูญเสียบุตรชายและภรรยาไปตามลำดับ ราวกับว่าเป็นการลงโทษจากการที่เขานำทัพไปล้อมสังหารจวนเจิ้นหนานอ๋องร้อยกว่าชีวิต
ขบวนที่เงียบงันไม่รู้ว่าเดินอยู่ในความมืดนานเพียงใด ในที่สุดก็หยุดลง
ประตูที่ไม่รู้ว่ามีกลไกอยู่ตรงไหนถูกเปิดออก ทางออกแคบลงกว่าเดิม รองรับได้เพียงคนเดียว
แม่ทัพใหญ่ลั่วออกไปก่อน จากนั้นก็หันไปดึงลั่วเซิง
ลั่วเซิงปีนออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว นางมองไปรอบทิศ
สถานที่ที่นางมาถึงคือลานบ้านแห่งหนึ่ง ดูจากขนาดแล้วเป็นเพียงเรือนธรรมดาหลังเล็กๆ สิ่งที่ทำให้นางตกใจคือในเรือนมีแสงสว่าง ทำให้แสงไฟจากตะเกียงที่องครักษ์จิ่นหลินสองนายถือไว้ไม่สะดุดตาอีกต่อไป
“คารวะแม่ทัพใหญ่”
ลั่วเซิงมองคนสองคนที่คารวะแม่ทัพใหญ่ลั่ว นี่คือสามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง ดูจากการแต่งตัวแล้วเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา
แต่ตอนนี้นางย่อมรู้ว่าที่ทั้งสองปลอมตัวเป็นสามัญชนธรรมดาอาศัยอยู่ที่นี่ก็เพื่อวันนี้
แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าเบาๆ เมื่อทุกคนปีนออกมาจากทางลับหมดแล้วและนับจำนวนคนเสร็จก็สั่งว่า “รอที่นี่ ห้ามส่งเสียงดัง ประเดี๋ยวออกประตูเมืองถึงจะเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุด”