ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 515 หนีไปด้วยกัน
ตอนที่ 515 หนีไปด้วยกัน
หลังจากตกตะลึง แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ตาเป็นประกาย ที่บุตรสาวพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล!
ลูกธนูอีกจำนวนมากทะลุผ่านอากาศอีกครั้ง ปักลงบนหัวใจของทหารที่ตามไล่ล่ามาอย่างแม่นยำ
เสียงร่างล้มลงกับพื้นทยอยดังขึ้น
“ถอย!” แม่ทัพรักษาเมืองตะโกน
ทหารล่าถอยไม่หยุด พวกเขามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัว
ในค่ำคืนที่มืดมิดนี้ ลูกธนูที่ไม่รู้ว่าพุ่งออกมาจากไหนน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเสียอีก
“ช้าก่อน” แม่ทัพใหญ่ลั่วตะโกนเสียงดัง เดินผ่านลูกน้องไปข้างหน้า
แม่ทัพรักษาเมืองผู้นั้นเห็นใบหน้าแม่ทัพใหญ่ลั่วชัดเจนผ่านคบเพลิงก็ตกใจใหญ่ “แม่ทัพใหญ่ลั่ว เหตุใดจึงเป็นท่าน”
คืนนี้ผิดปกติเกินไปแล้ว แม่ทัพใหญ่เหลยนำทัพเข้าเมือง แม่ทัพใหญ่ลั่วปลอมตัวออกจากเมือง
หรือว่าแผ่นดินจะเปลี่ยนเสียแล้ว
แม่ทัพรักษาเมืองเงยหน้ามองด้วยสัญชาติญาณ
ทันใดนั้นเอง เมฆดำก็สลายไป เผยให้เห็นดวงจันทร์อันสุกสว่าง
ภายใต้แสงจันทร์ มองเห็นสีหน้าหนักใจของแม่ทัพใหญ่ลั่วได้อย่างชัดเจน
“แม่ทัพหวัง คนที่ท่านพามามีเพียงสองร้อย แต่ข้ามีพันคน ท่านคิดว่าจะจับพวกเราไว้ได้จริงๆหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วถามตรงประเด็น
แม่ทัพหวังขมวดคิ้ว “แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดจะกบฏหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มขมขื่น “ข้าแค่ต้องการให้ครอบครัวมีชีวิตอยู่เท่านั้น”
สิ้นเสียง แม่ทัพหวังก็อดยิ้มหยันไม่ได้ “นั่นก็คือกบฏมิใช่หรือ ไม่เช่นนั้นท่านจะปลอมตัวออกจากเมืองทำไม”
“แม่ทัพหวังรู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้แซ่ลั่วถึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
แม่ทัพหวังรอแม่ทัพใหญ่พูดต่อไป
มิหนำซ้ำศัตรูมีจำนวนคนมากกว่าฝ่ายตน สู้รบกันช้าหน่อยย่อมเป็นเรื่องดี
เมื่อเผชิญกับสายตาอยากรู้มากมาย แม่ทัพใหญ่ลั่วก็พูดเสียงดังว่า “เพราะว่าฝ่าบาททรงบัญชาข้าให้สังหารเด็กสาวในเมืองหลวงให้สิ้น!”
“อะไรนะ”
“เป็นไปไม่ได้!”
เมื่อสิ้นเสียง ไม่เพียงแต่ทหารไล่ล่า แม้แต่คนของตนที่ยังไม่รู้เบื้องลึกก็ตกตะลึง
“แม่ทัพหวังไม่เชื่อหรือ”
แม่ทัพหวังสีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง “วาจาแม่ทัพใหญ่ลั่วเหลวไหลยิ่งนัก!”
“หากไม่เหลวไหล ผู้แซ่ลั่วจะทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินดีๆ แล้วหนีอย่างทุลักทุเลหรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วแสดงสีหน้าเจ็บปวด “เรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้ ผู้แซ่ลั่วทำไม่ลงจริงๆ ยิ่งมิต้องพูดถึงชีวิตของบุตรสาวข้า ตอนนี้แม่ทัพหวังคงเข้าใจแล้วสินะ”
แม่ทัพหวังดึงสติกลับมาจากความตะลึง สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย “ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ท่านทำคือการก่อกบฏ หากไม่ขวางพวกท่านไว้ ผู้แซ่หวังมิอาจรายงานต่อเบื้องบนได้”
พูดตามตรง เขาค่อนข้างเชื่อคำพูดของแม่ทัพใหญ่ลั่ว…
จู่ๆ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็หัวเราะ
“แม่ทัพใหญ่ลั่วหัวเราะอะไรหรือ”
“ข้าหัวเราะในความซื่อของแม่ทัพหวัง จำนวนคนของท่านและข้าแตกต่างกันมาก แม้จะสู้รบกัน ฝ่ายข้าก็ชนะขาดลอย อย่างมากก็แค่สูญเสียทหารจำนวนหนึ่งเท่านั้น”
แม่ทัพหวังยิ้มหยัน “อย่างน้อยก็เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แม่ทัพใหญ่ลั่วคิดว่าผู้แซ่หวังแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกท่านแล้วข้าจะมีชีวิตรอดเช่นนั้นหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้ม “นั่นน่ะสิ สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย”
แม่ทัพหวัง “…” แล้วยังจะพูดไร้สาระอะไรอีกเล่า
“ไม่เช่นนั้นเราหนีไปด้วยกันสิ”
ทันทีที่คำพูดของแม่ทัพใหญ่ลั่วดังขึ้น แม่ทัพหวังก็ชะงักไปเล็กน้อย
แบบนี้ได้ด้วยหรือ
แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบตีเหล็กตอนร้อน เขาชี้ไปที่ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ข้างกายแม่ทัพหวังเหล่านั้น “ท่านดูชายหนุ่มเหล่านี้สิ เดิมยังมีอนาคตยาวไกล ท่านทำใจเห็นพวกเขาไปตายได้หรือ”
ภายใต้แสงจันทร์และแสงเปลวเพลิง แม่ทัพใหญ่ลั่วมองเห็นอารมณ์บนใบหน้าของทหารรักษาการณ์ได้อย่างชัดเจน
แม่ทัพหวังยังคงยืนกราน “หากเราทำเรื่องกบฏต่อจักรพรรดิเช่นนี้ ครอบครัวที่ยังอยู่ในเมืองจะมีชีวิตอยู่หรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มหยัน “พูดราวกับว่าหากพวกท่านตายที่นี่แล้วผู้แซ่ลั่วหนีไป ฝ่าบาทจะทรงปล่อยครอบครัวของทุกท่านไปได้อย่างนั้น ผู้แซ่ลั่วจะบอกทุกท่าน อย่าฝันไปเลย!”
เมื่อได้ยินคำนี้ แม่ทัพหวังก็สีหน้าแปรเปลี่ยน
เขาเองก็รู้การทำงานของท่านผู้นั้น นับได้ว่าเป็นจักรพรรดิเหี้ยมโหดท่านหนึ่ง
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองทุกคนแล้วพูดเสียงราบเรียบว่า “ผู้แซ่ลั่วจะให้เวลาทุกท่านหนึ่งจอกชาเพื่อไตร่ตรอง จะเลือกสู้แล้วตายในสนามรบไปรอรับครอบครัวที่นรกหรืออย่างน้อยก็ได้จุดธูปให้คนในครอบครัวต่อไป”
เวลาหนึ่งจอกชานั้นสั้นมากและยาวมากเช่นกัน
หลังจากความเงียบงันอันน่าอึดอัด แม่ทัพหวังที่เดิมคิดจะสู้อย่างเสียเปรียบก็กระทืบเท้า กำหมัดประสานมือให้แม่ทัพใหญ่ลั่ว “ต่อไปฝากเนื้อฝากตัวกับท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว”
แม่ทัพใหญ่ลั่วลอบถอนหายใจ โค้งริมฝีปากยิ้ม
แม้แต่มดแมลงยังรักชีวิต ยิ่งมิต้องพูดถึงมนุษย์เลย
อันที่จริงที่แม่ทัพหวังยินยอมฟังเขาพูดตั้งแต่แรก เขาก็รู้แล้วว่าแปดเก้าส่วนจะได้ผลลัพธ์ที่ดี
หากแม่ทัพหวังเป็นคนโง่เขลาและภักดีจริงๆ เขาคงชักดาบใส่ตั้งแต่แรกแล้ว
“ในเมื่อจะไปด้วยกันก็ถือว่าเป็นพี่น้องกันแล้ว” แม่ทัพใหญ่ตบไหล่แม่ทัพหวังอย่างแรงทีหนึ่ง
แม่ทัพหวังยังคงไม่ลืมเรื่องธนูลับ “ท่านแม่ทัพใหญ่ เรายังมีคนอีกหรือ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วลูบจมูกเบาๆ
โอ้ นี่กำลังถามเรื่องกองหนุนแล้วสินะ
แต่เขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องเลย
มองดูแม่ทัพหวังที่ดวงตาซ่อนความระแวง แม่ทัพใหญ่ลั่วเผยรอยยิ้มที่มิอาจคาดเดาได้ “ต้องมีกองหนุนไว้บ้าง น้องหวังคิดว่าใช่หรือไม่”
แม่ทัพหวังเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นว่าไม่ได้คำตอบอะไรก็ไม่ซักไซ้ต่อ
แม่ทัพใหญ่ลั่วยังคงสงสัย
ลูกธนูเมื่อครู่นี้เขาลองสังเกตดูแล้ว จำนวนที่ยิงออกมาพร้อมกันมีไม่มาก แต่กลับยิงตรงเป้าทุกดอก
เห็นได้ชัดว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่นั้นมีไม่มาก แต่ล้วนเป็นยอดฝีมือ
รอจนในที่สุดทุกคนลงเรือลำใหญ่สองสามลำที่อวิ๋นต้งเตรียมไว้ตั้งแต่แรกเพื่อล่องไปทางใต้ ในที่สุดแม่ทัพใหญ่ลั่วก็หาโอกาสแอบถามลั่วเซิง
“เซิงเอ๋อร์ คนในที่ลับ… ไคหยางอ๋องเป็นคนให้เจ้าไว้หรือ”
ตอนที่ถามคำถามนี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วแทบจะมั่นใจเต็มร้อย
เขารู้ว่าครานั้นที่ไคหยางอ๋องออกเดินทางไกล เขามอบองครักษ์แก่บุตรสาวไว้สองนาย การหลบหนีคราวนี้ เขากลับไม่เห็นองครักษ์สองคนนั่น
เห็นทีองครักษ์ที่ไคหยางอ๋องให้เซิงเอ๋อร์ไว้จะไม่ได้มีเพียงสองคน และพวกเขาก็มีประโยชน์ในช่วงวิกฤตนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ ความอคติที่แม่ทัพใหญ่ลั่วมีต่อเว่ยหานก็สลายไปไม่น้อย
ช่างเถอะ เดิมเขาเริ่มพิจารณาหลานชายคนโตของผู้อาวุโสหลินแล้ว ในเมื่อไคหยางอ๋องทำได้ไม่เลว เช่นนั้นก็ยังคงเป็นไคหยางอ๋องแล้วกัน
แน่นอนว่ายังมีสาเหตุสำคัญอีกหนึ่งประการ เขากบฏแล้วมิใช่หรือ ผู้อาวุโสหลินไม่ได้กบฏตามเขาเสียหน่อย หลานชายคนโตของเขาก็คงไม่มีหวังแล้ว
ทว่าในเวลาแบบนี้ องครักษ์ของไคหยางอ๋องกลับยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเซิงเอ๋อร์
น้ำเสียงของแม่ทัพใหญ่ลั่วมั่นใจเกินไปทำเอาลั่วเซิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
นางไม่ถือสาหากจะยกความดีความชอบให้องครักษ์ที่ไคหยางอ๋องมอบให้ แต่ถึงบัดนี้แล้ว ความลับเรื่องตัวตนของลั่วเฉินและการมีอยู่ขององครักษ์จูเชวี่ยก็ควรเปิดอกคุยกับแม่ทัพใหญ่ลั่วอย่างตรงไปตรงมาได้แล้ว
“ไม่ใช่หรือ” แม่ทัพใหญ่ลั่วประหลาดใจมาก น้ำเสียงเปลี่ยนไป “ไม่เกี่ยวกับไคหยางอ๋องหรือ”
เมื่อได้คำตอบจากบุตรสาว แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เงียบ
เขาอุตส่าห์คิดว่าไคหยางอ๋องช่วยเซิงเอ๋อร์ ที่แท้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหมอนั่นเลย
ไม่ได้ เขารับลูกเขยคนนี้ไว้ไม่ได้
แม่ทัพใหญ่ลั่วตัดสินใจอย่างโมโหและเริ่มถามเรื่องกองหนุน
ลั่วเซิงไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ท่านพ่อเคยได้ยินชื่อองครักษ์จูเชวี่ยหรือไม่เจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่ลั่วม่านตาหดลง “เซิงเอ๋อร์รู้จักได้อย่างไร”
ลั่วเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอัศจรรย์ใจ “ท่านพ่อก็รู้หรือ”
เสด็จพ่อเคยบอกนางว่าการมีอยู่ขององครักษ์จูเชวี่ยเป็นความลับ แม้แต่เสด็จแม่ก็ไม่รู้ แล้วเหตุใดแม่ทัพใหญ่ลั่วผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินจึงรู้ได้เล่า