ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 53 เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้
ตอนที่ 53 เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้
แววตาเร่าร้อนของทุกคนทำให้ลั่วอิงและพี่น้องทั้งสามรู้สึกไม่สบายตัว
ถึงแม้มีฐานะเป็นถึงบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ แต่การก่อเรื่องอย่างไร้เหตุผลนั้น ลั่วเซิงทำคนเดียวหมดตั้งแต่แรกแล้ว พวกนางล้วนเป็นคนซื่อสัตย์
เมื่อเทียบความขวยเขินของเหล่าพี่สาวน้องสาวแล้ว ลั่วเซิงกลับเดินเข้าไปอย่างผ่าเผย สั่งหงโต้วให้ไปเอาป้ายหมายเลขกับเด็กเฝ้าประตู
หงโต้วยิ้มก่อนเอ่ย “น้องชาย เอาป้ายหมายเลขให้ข้าหน่อย”
นางต้องยิ้มให้หวานสักหน่อย ไม่ควรทำให้เรื่องใหญ่ของคุณหนูเสียเรื่อง นี่คือสิ่งที่โค่วเอ๋อร์จู้จี้กับนาง นางรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
สาวน้อยอายุสิบสี่สิบห้าปี ผิวขาวผ่องราวหิมะ ดวงตากลมโต ยิ้มขึ้นมาก็ดูหวานเป็นพิเศษ
เด็กเฝ้าประตูมุมปากโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว “พวกท่านคือ”
“พวกเราคือคนของจวนแม่ทัพลั่ว วันนี้จะมาเชิญหมอเทวดาหลี่ไปรักษา คุณหนูทั้งสี่ก็มาด้วย” หงโต้วเอ่ยอย่างรวดเร็ว
เด็กเฝ้าประตูสีหน้าเคร่งขรึมทันที ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ขอโทษด้วยจริงๆ ป้ายหมายเลขวันนี้แจกหมดแล้ว”
“แจกหมดแล้วหรือ” เสียงหงโต้วเสียงสูงขึ้น สีหน้าไม่เชื่อ “นี่เพิ่งเวลาใดเอง แจกหมดแล้วหรือ”
เด็กเฝ้าประตูชี้ไปที่โรงน้ำชา “วันนี้คนเยอะ”
ผู้คนในโรงน้ำชาที่นั่งกันเต็มนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ สายตาที่เปล่งประกายกลับเปิดเผยความคิดที่จะมาชมดูเรื่องคึกคักของพวกเขาหมดแล้ว
คนของจวนแม่ทัพลั่วถูกหมอเทวดาหลี่ปฏิเสธจริงๆ ครั้งนี้เลวร้ายยิ่งกว่า เพราะแม้แต่ป้ายหมายเลขก็ยังไม่ได้รับ
วันนี้ข้างนอกเรือนหมอเทวดาหลี่มีคนจำนวนมากไม่ผิด แต่ว่าส่วนใหญ่ตั้งใจมาดูเรื่องสนุกแค่นั้น แต่ไม่ได้รับป้ายหมายเลข
เรื่องมารยาทพวกเขายังคงมีอยู่ ไม่รบกวนคนที่ต้องการมาหาหมอจริงๆ หวังแค่มาดูเรื่องสนุกเท่านั้น
“ขอโทษด้วย พรุ่งนี้โปรดรีบมาแต่เช้า” เด็กเฝ้าประตูแสดงสีหน้านิ่งเฉยพร้องบอกเป็นนัยกับหงโต้วว่าควรกลับไปได้แล้ว
“พรุ่งนี้หรือ” คิ้วใบหลิวของหงโต้วตั้งขึ้นทันที โยนคำเตือนของโค่วเอ๋อร์ทิ้งไปไกล “อาการป่วยของแม่ทัพใหญ่ของพวกข้าไม่สามารถรอได้อีกแล้ว จะให้รอถึงพรุ่งนี้ได้อย่างไร”
“หากเช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ คนที่มีป้ายหมายเลขอยู่ในมือถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปได้ นี่คือกฎที่ท่านหมอเทวดาตั้งไว้” เด็กเฝ้าประตูเอ่ยอย่างหมดความอดทน
แน่นอนว่าเขารู้ว่าอาการของแม่ทัพลั่วไม่อาจรอช้าไปกว่านี้ได้แล้ว แต่แล้วอย่างไรเล่า
เขาจำได้ดี ก่อนหน้านี้บุตรบุญธรรมหลายคนของแม่ทัพลั่วเคยมาขอร้องให้รักษาแล้ว สีหน้าของหมอเทวดานั้นน่าเกลียดเพียงใด
หมอเทวดาไม่รักษาอาการเจ็บป่วยให้แม่ทัพลั่ว หากเขาปล่อยเข้าไป มิใช่ว่าจะไปทำให้หมอเทวดาหงุดหงิดหรือ
“ข้าดูแล้วเจ้าตั้งใจทำให้พวกข้าลำบากใจ…”
“หงโต้ว” ลั่วเซิงตะโกนเรียกเสียงเบา
หงโต้วกลืนคำด่าลงไป สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ใจเย็นๆ คุณหนูเคยบอกว่าเรื่องที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้กำปั้น
สาวใช้ยัดถุงเงินใส่มือของเด็กเฝ้าประตู อดทนข่มอารมณ์โกรธไว้และยิ้มเอ่ย “น้องชายผ่อนปรนกฎสักหน่อยเถอะ แม่ทัพใหญ่ของพวกข้ารอไม่ไหวแล้วจริงๆ…”
เด็กเฝ้าประตูผลักมือหงโต้วออกราวกับถูกไฟแผดเผาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่สาวท่านทำอะไร จะใช้เงินเหยียดหยามกฎของหมอเทวดาได้อย่างไร”
เงินทองถึงแม้จะดี แต่ก็ต้องดูว่าเปรียบเทียบกับสิ่งใด
ในฐานะเด็กเฝ้าประตูของหมอเทวดา ได้คลุกคลีกับไอเซียนของท่านหมอเทวดาไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ไปได้ถึงร้อยสองร้อยปีเชียวนะ เขาจะไม่ยอมให้เงินทองพวกนี้มาทำให้ลุ่มหลงจนทำลายเส้นทางชีวิตอันยืนยาวเด็ดขาด
ถุงเงินประณีตตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังขึ้น ทำเอาหงโต้วโมโหจนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
คนที่มาดูเรื่องสนุกอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าเหยียดหยามออกมา
สมเป็นคนของจวนแม่ทัพใหญ่จริงๆ นอกจากเอาเงินฟาดหัวผู้อื่นก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว น่าเสียดายที่มาเจอกับหมอเทวดาดื้อด้านเข้า
หงโต้วเอามือเท้าสะเอว ความดุร้ายเปิดเผยออกมาทันที “เจ้าเด็กเฝ้าประตู อย่ามาไว้หน้าแล้วไม่รับนะ”
เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น “ก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ไว้หน้าแล้วไม่รับ”
พวกลั่วอิงทั้งสามรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวเหลือทน ราวกับถูกคนในที่นั้นตบหน้า
“พี่สาม สาวใช้ของท่านช่างน่าขายหน้าเสียจริง!” ลั่วเย่ว์โกรธจนย่ำเท้า
ลั่วเซิงบอกว่าจะมาเชิญท่านหมอ เพื่อท่านพ่อพวกนางจึงมากันทั้งหมด กลับนึกไม่ถึงว่าลั่วเซิงจะปล่อยสาวใช้ทำเรื่องน่าอับอาย ไม่ก้าวหน้าขึ้นเลยสักนิด
“น้องสี่ อย่าพูดเช่นนี้เลย” ลั่วอิงตีลั่วเย่ว์อย่างเบามือ
นางเองก็รู้สึกทนไม่ได้ แต่ถึงแม้จะไม่พอใจน้องสามก็เป็นเรื่องภายในตระกูล อยู่ข้างนอกหนึ่งล้วนต้องรุกถอยไปพร้อมกัน
เมื่อแน่ใจว่าเด็กเฝ้าประตูจงใจทำให้ลำบากใจ ลั่วเซิงจึงส่งสัญญาณให้หงโต้วถอยกลับมา มองผู้ที่เอ่ยปากเงียบๆ
จูหานซวงสบตากับลั่วเซิงอย่างไม่ยอมแพ้ด้วยแววตาเหยียดหยาม
นางประเมินลั่วเซิงสูงไปจริงๆ ยังคิดว่าถูกขับออกจากเมืองหลวงไปแล้วกลับมาจะมีความสามารถมากขึ้น
ที่แท้ก็ยังคงเป็นโคลนเหลวที่ฉาบกำแพงไม่ได้ มีแต่จะทำให้วงศ์ตระกูลอับอายขายหน้า
เผชิญหน้ากับลั่วเซิงที่ส่งสายตาเรียบนิ่งกลับมา จูหานซวงกลับไม่กลัวเลยสักนิด
หากบอกว่าเมื่อก่อนเกรงกลัวอำนาจของบิดาลั่วเซิงจึงต้องกดข่มนิสัยตนเองไว้ อย่างนั้นยามนี้ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวแล้ว
แม่ทัพลั่วตอนนี้ก็เหมือนคนตายไปแล้วครึ่งหนึ่งอาจอยู่ได้ไม่พ้นวันนี้ รอจนแม่ทัพลั่วตาย ดูจากคนจำนวนมากที่เขาเคยล่วงเกินขณะเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน จวนสกุลลั่วจะมีจุดจบที่ดีได้ก็แปลกแล้ว
ถึงตอนนั้น นางอาจซื้อลั่วเซิงมาเป็นสาวใช้ก็ได้ อืม แล้วก็ตั้งชื่อว่าลี่ว์โต้วจับคู่กับสาวใช้ที่อยู่ตรงหน้าที่ชื่อหงโต้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของจูหานซวงก็ยิ่งลึกล้ำขึ้น
ลั่วเซิงดึงสายตากลับอย่างเมินเฉย “นางเป็นใคร”
นางถามอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา จูหานซวงได้ยินกลับรู้สึกถึงความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง
ดีร้ายอย่างไรนางก็แข่งขันกับลั่วเซิงมาก่อน อยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากโดยเฉพาะต่อหน้าไคหยางอ๋อง ลั่วเซิงยังแสร้งทำเป็นไม่รู้จักนางอีกหรือ
แล้วบอกว่าไม่รู้จักนางที่ไหนกัน นี่ชัดเจนว่าบอกกับทุกคนต่างหาก คุณหนูลั่วไม่เคยเห็นคุณหนูรองแห่งจวนอันกั๋วกงอยู่ในสายตามาตั้งแต่แรก!
“คุณหนูท่านลืมแล้วหรือ นางคือคุณหนูรองของจวนอันกั๋วกง แซ่จูเจ้าค่ะ” หงโต้วตอบเสียงสดใส
“คิกคิก” เสียงหัวเราะดังขึ้นต่อเนื่องพร้อมกัน
นายเป็นเช่นไร บ่าวก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สาวใช้ชี้หน้าคนอื่นกล่าวว่าคุณหนูรองแห่งจวนอันกั๋วกงก็แล้วไป นี่ยังจะย้ำเตือนคุณหนูลั่วอีกว่าอีกฝ่ายแซ่อะไร แสดงท่าทีไม่เห็นคุณหนูผู้อื่นอยู่ในสายตาออกมาจนหมด
“เอ่อ ที่แท้ก็คุณหนูรองจูนี่เอง” ลั่วเซิงรู้ได้ในทันที หลังจากนั้นแววตาก็ปรากฎความสงสัย “ข้าเคยล่วงเกินคุณหนูจูหรือ”
จูหานซวงกวาดตามองไปยังชายหนุ่มอาภรณ์ชุดแดงที่ใบหน้าไร้อารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบคนนั้นอย่างรวดเร็ว ข่มความหงุดหงิดลงแล้วยิ้มเล็กน้อย “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร คุณหนูลั่วจิตใจกว้างขวาง ถึงแม้จะล่วงเกินใคร ก็ไม่มีผู้ใดตำหนิหรอก”
ไม่ใช่ไม่ตำหนิ แต่ไม่กล้าตำหนิมากกว่า
ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี
“เช่นนั้นตกลงข้าได้ล่วงเกินคุณหนูจูมาก่อนหรือไม่” ลั่วเซิงซักไซ้
จูหานซวงยิ้มมุมปากดอย่างแข็งทื่อ “ย่อมไม่มี…”
ลั่วเซิงเหตุใดถึงยังถามเรื่องนี้ต่อไม่เลิกนะ เมื่อก่อนคนโง่เขลาผู้นี้เอะอะอะไรก็ชักสีหน้าเอาแส้ฟาดใส่ยังไม่รู้สึกว่ายากจะรับมือเท่านี้เลย
ลั่วเซิงสีหน้าเยือกเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเมื่อครู่เจ้าพูดพล่ามอะไร เห็นข้ากับพี่น้องถูกปฏิเสธอยู่นอกประตู ยินดีกับความทุกข์ของผู้อื่นมากนักหรือ”
เมื่อคำนี้เอ่ยออกไป ใบหน้าสวยของจูหานซวงก็แดงก่ำ มองไปทางเว่ยหานโดยไม่รู้ตัว
ลั่วเซิงนังสารเลวนึกไม่ถึงเลยว่าจะตำหนินิสัยของนาง ทำให้นางอับอายขายหน้าต่อหน้าไคหยางอ๋อง!
ลั่วเซิงมองตามสายตาของจูหานซวงไปแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นึกออกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่นางนั่งรถม้ารีบมาที่นี่ ได้ยินเสียงกีบม้าจึงมองออกไปดูนอกหน้าต่าง เห็นไคหยางอ๋องควบม้าผ่านมาพอดี
ลั่วเซิงทิ้งจูหานซวงที่ถูกบีบจนพูดไม่ออกไว้ ยิ้มแล้วยกชายกระโปรงเดินไปทางเว่ยหาน
……………………………………………………………..