ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 530 ควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
ตอนที่ 530 ควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้
นอกจากผู้ปกครองแคว้นจะไม่ได้แซ่เว่ย…ลั่วเซิงไม่ได้เอ่ยวาจานี้ด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
ในสายตานาง เมื่อนางกล่าวประโยคนี้ออกมาก็เท่ากับว่าทั้งสองคนเป็นศัตรูกันอย่างเป็นทางการ ไม่มีทางให้ย้อนกลับอีก
แทนที่จะบอกว่า นางเอ่ยเงื่อนไขการกลับเมืองหลวงออกมา ไม่สู้บอกว่า ทำให้บุรุษที่อยู่ตรงข้ามตัดใจโดยสมบูรณ์จะดีกว่า
เขาตัดใจ นางก็ตัดใจเช่นกัน
นางมองเขา อยากรู้ปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากเขาได้ยินวาจานี้
สีหน้าเว่ยหานไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก เขามองนางด้วยสีหน้าจริงจังพลางเอ่ยว่า “หากว่าคนที่นั่งในตำแหน่งนั้นสามารถทำให้บ้านเมืองสงบสุข ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขได้ ผู้ปกครองแคว้นจะแซ่ใดนั้นไม่สำคัญ”
อย่างน้อย สำหรับเขานั้นก็ไม่สำคัญ
แววตาลั่วเซิงเปล่งประกายเล็กน้อย “ท่านอ๋องหมายความเช่นนั้นจริงหรือ”
เว่ยหานยิ้ม “ข้าไม่เคยโกหกท่าน”
ลั่วเซิงสองแก้มอุ่นร้อนเล็กน้อย ในใจลนลานอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจควบคุมความปีติยินดีที่ลุกลามในใจได้
นางหลุบตาลง กุมจอกชาแน่น ลืมกล่าววาจาไปชั่วขณะ
จากนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมา แม้ว่าจักรพรรดิหย่งอันจะอำมหิต ไร้คุณธรรม แต่ก็สามารถให้คนอื่นๆ ในราชวงศ์มารับช่วงต่อแคว้นได้ อย่างไรเสียไคหยางอ๋องก็เป็นคนตระกููลเว่ย เป็นคนของราชวงศ์ จะไม่สนใจวงศ์ตระกูลเลยแม้แต่น้อยเชียวหรือ
กระทั่งสามารถเอ่ยได้ว่า จักรพรรดิหย่งอันปฏิบัติต่อไคหยางอ๋องพระอนุชาเยาว์วัยองค์นี้ไม่เลวนัก…
นางไม่คิดว่า ไคหยางอ๋องจะเป็นคนที่ไม่สนใจสิ่งใดเพื่อคนที่ตนเองรัก
นางเองก็ไม่ชื่นชอบคนแบบนั้นเช่นกัน
มองคนตรงหน้าแล้ว ความสงสัยมากมายก็ยิ่งทะลักขึ้นมาในใจ ตอนนั้นที่ไคหยางอ๋องค้นพบว่า นางยิงธนูสังหารผิงหนานอ๋องก็ดูเฉยเมยราวกับคนไม่เกี่ยวข้อง แทบจะไม่มีความรู้สึกระหว่างพี่น้องเลยสักนิด
นางกลับไม่เคยได้ยินว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์เลวร้ายต่อกันมาก่อน
ลั่วเซิงดึงความคิดกลับมา มองบุรุษที่แววตาบริสุทธิ์ผู้นี้
เขามองดูแล้วเรียบง่าย ทั้งบริสุทธิ์ แต่กลับทำให้นางคาดเดาไม่ออก
“ท่านอ๋องไม่สนใจจริงๆ หรือว่าผู้ปกครองแคว้นจะมีแซ่อะไร”
“ไม่สนใจ” เว่ยหานตอบด้วยท่าทางผ่อนคลายยิ่งกว่า จากนั้นก็ถามว่า “บิดาท่าน…ต้องการจะเป็นฮ่องเต้หรือไม่”
“ไม่” ลั่วเซิงส่ายหน้าปฏิเสธ ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “น้องชายข้ามีความตั้งใจนั้น…”
เว่ยหานอึ้ง พลางกล่าวตามสัตย์จริง “คล้ายจะไม่มีความต่างนะ”
ก็แซ่ลั่วเหมือนกันมิใช่หรือ
เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ลั่วเซิงก็ไม่มีความตั้งใจจะปิดบังอีกต่อไป นางจ้องมองเขาพลางเอ่ยว่า “ต่างสิเจ้าคะ น้องชายข้าไม่ได้แซ่ลั่ว”
ไม่ได้แซ่ลั่วหรือ
เว่ยหานตะลึง ถามว่า “ลั่วเฉินเป็นบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องหรือ”
คราวนี้เปลี่ยนเป็นลั่วเซิงที่ตะลึงค้างบ้าง “ท่านอ๋องรู้ได้อย่างไร”
เว่ยหานยิ้ม “ข้าเดาเอาน่ะ”
ทันทีที่คุณหนูลั่วบอกว่าลั่วเฉินไม่ได้แซ่ ‘ลั่ว’ ความสงสัยในอดีตเหล่านั้นก็ได้รับความกระจ่างแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น การที่เขาพบกับคุณหนูลั่วในจวนร้างของเจิ้นหนานอ๋อง ยกตัวอย่างเช่นความเป็นศัตรูที่คุณหนูลั่วมีต่อจวนผิงหนานอ๋อง…
“บิดาท่านเป็นคนปิดล้อมจวนเจิ้นหนานอ๋องเมื่อสิบกว่าปีก่อน ย่อมมีโอกาสช่วยบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องเอาไว้”
ลั่วเซิงโค้งริมฝีปาก “ท่านอ๋องฉลาดจริงๆ”
“แต่ข้ายังอยากฟังคุณหนูลั่วอธิบายให้ละเอียดอีกหน่อย”
“ในปีนั้น…” ลั่วเซิงเอ่ยเล่า สุดท้ายก็เอ่ยถึงราชโองการสุดท้ายของฮ่องเต้องค์ก่อนขึ้นมา “เดิมบรรพบุรุษตระกูลเว่ยและตระกูลชีเคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เจิ้นหนานอ๋องรุ่นแรกเป็นพระเชษฐา ปฐมกษัตริย์ตระกููลเว่ยเป็นพระอนุชา เดิมเหล่าขุนนางผลักดันให้เจิ้นหนานอ๋องขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เจิ้นหนานอ๋องคิดว่าตนเองไร้ความสามารถในการปกครองแว่นแคว้นจึงยอมยกตำแหน่งให้แก่ปฐมกษัตริย์…ท่านอ๋องน่าจะเคยได้ยินเรื่องในอดีตนี้สินะเจ้าคะ?”
เว่ยหานพยักหน้าน้อยๆ “อืม ในประวัติศาสตร์มีบันทึกเอาไว้”
ความสัมพันธ์นี้ของตระกููลเว่ยกับตระกูลชีเคยถูกแพร่ออกไปและได้รับการสรรเสริญชื่นชมจากผู้คน เพียงแต่ว่าในตอนที่ปรับแก้บันทึกประวัติศาสตร์ใหม่ เรื่องนี้กลับถูกตัดทอนกลายเป็นประโยคคร่าวๆ ประโยคหนึ่ง
“เรื่องในอดีตที่รู้กันทั่วนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่ทั้งหมด ในปีนั้นที่เจิ้นหนานอ๋องยกตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นให้ ปฐมกษัตริย์ซาบซึ้งใจจึงเขียนพระราชโองการลับให้กับพระเชษฐาบุญธรรม พระราชโองการลับระบุไว้ชัดเจนว่า หากในภายภาคหน้าบุตรหลานตระกูลเว่ยสืบทอดบัลลังก์อย่างอำมหิต ไร้คุณธรรมหรือไม่มีบุตรหลานสายตรงจุดธูปหอมสืบไป[1] ก็ให้มอบบัลลังก์นี้คืนให้กับตระกูลชี…”
เว่ยหานถอนหายใจแผ่วเบา “นี่คือสาเหตุที่จวนเจิ้นหนานอ๋องประสบหายนะเมื่อสิบกว่าปีก่อนหรือ”
ลั่วเซิงยิ้มขื่น “ใช่แล้ว พระราชโองการลับที่จะคืนอำนาจในการปกครองแคว้นให้กับตระกูลชีกลับกลายเป็นยันต์สั่งตายของจวนเจิ้นหนานอ๋อง สิบสี่ปีก่อนเจิ้นหนานอ๋องมีบุตรชาย แต่พระโอรสหลายองค์ของจักรพรรดิหย่งอันกลับสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรอย่างต่อเนื่อง ไร้โอรสธิดาอยู่นาน…”
บางครั้งนางก็คิดว่าโชคชะตาได้เปิดกว้างรอทุกคนอยู่นานแล้ว
“ตอนนี้ใต้หล้าโกลาหล ท่านพ่อถูกสถานการณ์บีบบังคับให้เดินมาจนถึงจุดนี้ ข้าคิดว่า ตำแหน่งผู้ครองแคว้นนี้มอบให้ตระกูลชีนั่งจะเหมาะสมยิ่งกว่า ท่านอ๋องคิดว่าอย่างไร”
หากว่าให้ตระกููลเว่ยนั่งตำแหน่งผู้ครองแคว้นต่อไป แม้ว่าจะมีไคหยางอ๋องสัญญาว่าจะดูแลตระกูลลั่วกับจวนเจิ้นหนานอ๋องแต่ใครจะสามารถรับรองเรื่องในภายหลังได้กัน
แทนที่จะมอบโชคชะตาไว้ในมือผู้อื่น มิสู้ให้น้องชายนั่งตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นไปเสียดีกว่า
สนใจในอำนาจหรือ กลับไม่ใช่ แต่นางไม่ต้องการให้เรื่องที่จวนเจิ้นหนานอ๋องโดนสังหารล้างตระกูลเกิดขึ้นซ้ำอีก
เว่ยหานนั่งฟังเงียบๆ สามารถรับรู้ได้ถึงจิตใจอันหนักอึ้งของเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม
นางคล้ายจะเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่จวนเจิ้นหนานอ๋องต้องเผชิญ
เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวและน้องชายกับลั่วเฉินลึกซึ้ง หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น…
เว่ยหานเอ่ยปาก “ข้าบอกแล้วว่า ขอแค่ราษฎรสามารถอยู่กันอย่างสงบสุขได้ ผู้ครองแคว้นจะแซ่ใด ข้าไม่ใส่ใจ”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ชะงัก จ้องตาลั่วเซิงแล้วเอ่ยว่า “แต่ข้าใส่ใจความคิดของคุณหนูลั่ว ท่านต้องการให้ตระกูลชีเป็นผู้ปกครองแคว้น เช่นนั้นข้าก็จะช่วยจวนเจิ้นหนานอ๋องอีกแรง”
ในเมื่อผู้ปกครองแคว้นแซ่อะไรก็ได้ แน่นอนว่าเขาต้องยินดีที่จะได้เห็นคุณหนูที่ตนเองชอบสมปรารถนาดั่งใจหวัง
เมื่อได้เห็นการแสดงท่าทีของเว่ยหาน ลั่วเซิงกลับตกอยู่ในความนิ่งเงียบอันยาวนาน
น้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้าทั้งสองคนเย็นชืดไปแล้ว
ลั่วเซิงยกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง น้ำชาที่เย็นเยียบทำให้นางใจเย็นลง
“แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับท่านอ๋อง แม้ว่าลั่วเฉินจะเป็นบุตรบุญธรรมของท่านพ่อข้า แต่หากถึงวันที่เขานั่งในตำแหน่งนั้นขึ้นมาจริงๆ ท่านอ๋องจะทำอย่างไร”
เว่ยหานมองลั่วเซิงเงียบๆ
ลั่วเซิงถูกมองจนรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างจึงถามว่า “ทำไมหรือ”
เว่ยหานเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย แฝงไปด้วยความสงสัยหลายส่วน “หรือว่าลั่วเฉินเป็นฮ่องเต้แล้ว จะลงมือกับพี่เขยของเขาหรือ”
ลั่วเซิงอึ้ง “อะไรนะ”
เว่ยหานมองเด็กสาวที่ตะลึงค้างไปแล้วหัวเราะเบาๆ “ข้าคิดว่าลั่วเฉินไม่ใช่เด็กที่มีจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนั้น เขายังคงให้ความสำคัญกับท่านผู้เป็นพี่สาวคนนี้”
“เขาให้ความสำคัญกับข้าผู้เป็นพี่สาวนั้นไม่ผิด แต่ว่า…” ลั่วเซิงอ้าปาก ไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรดี
แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับจอมตะกละที่หวังแต่จะกินบะหมี่เครื่องผัดตรงหน้าผู้นี้ตรงไหนกัน
เมื่อนึกได้ว่าเขาเรียกตนเองว่า ‘พี่เขย’ ดวงหน้าของลั่วเซิงก็เห่อร้อน
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางไม่ใช่คนขี้อาย…
“แต่ว่าทำไมหรือ” เว่ยหานถามกลับ
ลั่วเซิงข่มความสับสนในใจ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านอ๋องคิดไกลเกินไปหรือไม่”
“ข้าไม่ได้คิดไกล เมื่อครู่คุณหนูลั่วบอกว่าชอบข้า”
“ข้าเพียงแค่บอกว่าไม่ได้รังเกียจ”
“ไม่รังเกียจก็คือชอบ” เขาจ้องนาง “นอกจากคุณหนูลั่วจะเอ่ยกับข้าในตอนนี้ว่า รังเกียจข้า”
ลั่วเซิงถูกนัยน์ตากระจ่างบริสุทธิ์คู่นั้นจ้องมองอย่างอ่อนโยน สามคำนี้วนเวียนอยู่ที่ปลายลิ้น แต่กลับเอ่ยไม่ออก
นางอาจฝืนใจเอ่ยวาจานี้ออกไป แต่กลับไม่อาจฝืนทนเห็นเขาทุกข์ใจได้
ที่แท้การชอบคนผู้หนึ่งก็ควบคุมหัวใจตนเองไม่ได้จริงๆ
เว่ยหานเห็นความดิ้นรนและลังเลในแววตานางจึงครุ่นคิดและถามว่า “คุณหนูลั่ว ไม่ชอบคนตระกูลเว่ยใช่หรือไม่”
ครานี้ลั่วเซิงตอบเร็วมาก “ใช่”
นางไม่ชอบคนตระกูลเว่ย แต่ดันชอบเขาเสียได้
และเพราะเป็นเช่นนี้ เมื่อนึกถึงเขาผู้มีแซ่เว่ยที่ช่วยให้ตระกูลชีได้อำนาจในการปกครองแคว้นจึงทำให้นางไม่อาจข้ามปมในใจนี้ไปได้
[1] บุตรหลานสายตรงจุดธูปหอมสืบไป มีที่มาจากความเชื่อที่ว่า ผู้ชายมีหยิน เหมาะแก่การเป็นตัวแทนจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ