ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 532 โน้มน้าว
ตอนที่ 532 โน้มน้าว
ตอนที่แม่ทัพใหญ่เหลยนำทหารกลับมาเห็นบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักก็อดตะลึงค้างไม่ได้
หม้อใหญ่เหนือชั้นวางกลางแจ้งกำลังเดือดปุดๆ กองไฟส่องให้ดวงหน้าของทหารที่ล้อมอยู่รอบๆ สว่างไสว กระทั่งมีเสียงร้องเพลงดังลอยมาพร้อมกับกลิ่นหอมของอาหาร
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
หลังจากตกตะลึงก็ยินดีปรีดายิ่ง
หรือว่าไคหยางอ๋องจะจัดการลั่วฉือเรียบร้อยแล้ว
แม่ทัพใหญ่เหลยเดินเข้ามาอย่างปลื้มปีติ พลางตะโกนเรียกท่านอ๋อง
“แม่ทัพใหญ่เหลยกลับมาแล้ว สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
เมื่อเอ่ยถึงการสู้รบในวันนี้ แม่ทัพใหญ่เหลยก็มีความสุขยิ่ง “ขอบคุณท่านอ๋องที่มาสนับสนุน ทำให้ข้าน้อยสามารถแบ่งกำลังคนไปจัดการทหารที่หลงเหลืออยู่ของเหอหนานอ๋องได้”
“ยินดีกับชัยชนะของแม่ทัพใหญ่เหลยด้วย”
“ยังไม่ถึงขั้นได้รับชัยชนะ แค่โจมตีทหารที่หลบหนีไร้ผู้นำจนพ่ายแพ้ยับเยิน ยังคงปล่อยให้เหอหนานอ๋องหลบหนีไปได้” แม่ทัพใหญ่เหลยถ่อมตนแล้วหันกลับมาถามเว่ยหาน “สถานการณ์ในการรบวันนี้ของท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง กองทัพเฉาหยางแต่ละคนยอดเยี่ยมเก่งกาจ คิดว่าคงทำให้ลั่วฉือลำบากเลยสินะ”
“ไม่ได้รบ”
“อะไรนะ” แม่ทัพใหญ่เหลยตะลึงไป
เว่ยหานเอ่ยนิ่งๆ “วันนี้เข้าเมืองไปหารือกับท่านลุงลั่วเล็กน้อย และวางแผนว่าจะกลับเมืองหลวงด้วยกัน”
แม่ทัพใหญ่เหลยนึกว่าได้ยินผิดไปจึงฝืนยิ้ม พลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องอย่าล้อเล่นในเรื่องแบบนี้กับข้าน้อยเลย”
ทำไมเขาได้ยินทุกคำที่ไคหยางอ๋องเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว แต่เมื่อนำมารวมกันกลับไม่เข้าใจเสียได้
‘ท่านลุงลั่ว’ นั่นมันบ้าอะไรกัน
เว่ยหานมุ่นคิ้วมองแม่ทัพใหญ่เหลยแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ได้ล้อเล่น”
พวกเขาไม่สนิทสนมกันสักหน่อย
แม่ทัพใหญ่เหลยหุบยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “ท่านอ๋องหมายความว่าอะไรกันแน่”
‘ท่านลุงลั่ว’ ท่านนั้นคงไม่ได้หมายถึงลั่วฉือหรอกนะ?
แม่ทัพใหญ่เหลยคิดเช่นนี้ มือก็เอื้อมไปกุมฝักดาบไว้
เว่ยหานทำเหมือนไม่เห็นการกระทำของแม่ทัพใหญ่เหลย ยังคงมีสีหน้าสงบเยือกเย็น “แม่ทัพใหญ่เหลย พวกเราไปนั่งคุยกันในกระโจมเถอะ”
แม่ทัพใหญ่เหลยยังคงสงบนิ่ง “นั่งคุยกันนั้นไม่จำเป็นแล้ว ท่านอ๋องมีอันใดก็กล่าวมาตามตรงเถอะ”
ถึงตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ไคหยางอ๋องสมคบคิดกับลั่วฉือ วางแผนร้ายแย่งชิงบัลลังก์!
สามารถเป็นผู้นำทหารสามค่ายใหญ่ได้ ความภักดีที่เหลยหมิงมีต่อจักรพรรดิหย่งอันนั้นย่อมไม่ต้องให้ผู้อื่นกล่าวให้มากความ
“แม่ทัพใหญ่เหลยน่าจะรู้สาเหตุที่แม่ทัพใหญ่ลั่วหลบหนีออกจากเมืองหลวงแล้วสินะ” เว่ยหานถาม
แม่ทัพใหญ่เหลยขมวดคิ้วเป็นปมแน่น “เมื่อได้เสพสุขกับสิ่งที่ฝ่าบาทประทานให้ เหล่าขุนนางก็ควรจะจงรักภักดีต่อแคว้น ปฏิบัติหน้าที่เพื่อฝ่าบาท ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ในฐานะที่เขาเป็นผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลิน การก่อกบฏออกจากเมืองหลวงก็คือความผิดร้ายแรง!”
แน่นอนว่าเขาได้ฟังสาเหตุมาแล้ว ว่ากันว่าฝ่าบาททรงเชื่อวาจาของราชครูว่าต้องสังเวยสตรีที่เกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉินให้แก่เทพเจ้าเพื่อองค์หญิงฉางเล่อ และบังเอิญว่าบุตรสาวที่ลั่วฉือรักและทะนุถนอมที่สุดก็เกิดในวันนั้นเช่นกัน
แต่ในสายตาเขา เมื่อฮ่องเต้ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็จำเป็นต้องตาย แม้ว่าพระราชดำริของฝ่าบาทจะผิด ผู้เป็นขุนนางก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามเช่นกัน จะกระทำเรื่องก่อกบฏแล้วหลบหนีเพื่อบุตรสาวคนหนึ่งได้อย่างไร
“มีเรื่องหนึ่งที่แม่ทัพใหญ่เหลยอาจจะไม่ทันได้ยินมา”
แม่ทัพใหญ่เหลยยิ้มเยาะ “เรื่องที่ท่านอ๋องกำจัดขุนนางชั่วข้างกายฝ่าบาท ข้าน้อยก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน”
เว่ยหานยิ้มบางๆ “ข้าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้”
“เช่นนั้นคือเรื่องอะไร”
“เรื่องราวในภายหลังพัฒนาไปถึงจุดที่ขอเพียงเป็นสตรีแรกรุ่นในเมืองล้วนต้องประสบเคราะห์ถูกสังหาร บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่เหลยเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน…”
“เป็นไปไม่ได้!” แม่ทัพใหญ่เหลยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่อาจเชื่อวาจาที่ได้ยินเหล่านี้ได้
เว่ยหานชี้ไปทางกระโจมค่ายที่ตั้งอยู่ไม่ไกล “แม่ทัพใหญ่เหลย พวกเราไปนั่งแล้วค่อยๆ คุยกันเถอะ”
แม่ทัพใหญ่เหลยสีหน้าแปรเปลี่ยนไปไม่หยุด สุดท้ายก็พยักหน้า
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในกระโจม
“ท่านอ๋องเอ่ยมาเถอะ” แม่ทัพใหญ่เหลยหน้าบึ้งตึง
เว่ยหานมองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “แม่ทัพใหญ่เหลยไม่ได้รับจดหมายจากทางบ้านมาระยะหนึ่งแล้วใช่หรือไม่”
แม่ทัพใหญ่เหลยหัวใจกระตุก พยายามรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“ความจริงแล้ว เป็นเพราะองครักษ์จิ่นหลินจับตัวคุณหนูเหลยไปและกังวลว่าแม่ทัพใหญ่เหลยซึ่งนำทัพอยู่ด้านนอกจะได้ยินข่าวเข้าจึงควบคุมจวนเหลยเอาไว้นานแล้ว”
แม่ทัพใหญ่เหลยไม่อาจเชื่อได้ “วาจาเหลวไหลเช่นนี้ ท่านอ๋องนึกว่าข้าน้อยจะเชื่อหรือ”
เว่ยหานหัวเราะเบาๆ “กล่าวถึงการได้รับเกียรติ แม่ทัพใหญ่เหลยรู้สึกว่า เทียบกับแม่ทัพใหญ่ลั่วแล้วเป็นเช่นไร”
แม่ทัพใหญ่เหลยชะงัก
องครักษ์จิ่นหลินรับผิดชอบความปลอดภัยของเมืองจักรพรรดิ หน้าที่รับผิดชอบหลักของสามค่ายใหญ่นั้นคือปกป้องเมืองหลวง ต้านทานศัตรูภายนอก จะว่าไปแล้วผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทมากกว่า
เว่ยหานถามอีกว่า “คุณหนูเหลยเทียบกับคุณหนูลั่วแล้วเป็นอย่างไร”
แม่ทัพใหญ่เหลยนิ่งเงียบแล้ว
ฝ่าบาทสามารถลงมือกับบุตรสาวอันเป็นที่รักของลั่วฉือได้ก็ย่อมสามารถลงมือกับบุตรสาวของเขาได้เช่นกัน
ห้วงความคิดของแม่ทัพใหญ่เหลยปรากฎภาพของบุตรสาวขึ้นมา
เขามีบุตรชายสามคน มีบุตรสาวเพียงแค่คนเดียว แม้จะไม่ได้เอาใจจนเหมือนคุณหนูลั่ว แต่ก็ดูแลเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจตั้งแต่ยังเยาว์วัย
เมื่อนึกว่าเกิดเรื่องขึ้นบุตรสาว แม่ทัพใหญ่เหลยก็รู้สึกประหนึ่งหัวใจโดนมีดกรีด
มาถึงตอนนี้แล้ว เขาพลันเข้าใจจิตใจของแม่ทัพใหญ่ลั่วขึ้นมาบ้าง ทั้งยังแอบเยาะเย้ยตนเอง ที่แท้เมื่อเรื่องตกใส่ศีรษะตนเอง ถึงจะสามารถเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้
แน่นอนว่า แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางกระทำเรื่องก่อกบฏเฉกเช่นลั่วฉือออกมา
แม่ทัพใหญ่เหลยข่มความคิดสับสนยุ่งเหยิงลงไป เอ่ยเสียงเย็นว่า “หากท่านอ๋องคิดจะเอ่ยเรื่องนี้เพื่อโน้มน้าวผู้แซ่เหลย เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันแล้ว”
“ฝ่าบาททรงประชวรแล้ว”
แม่ทัพใหญ่เหลยตะลึง “ฝ่าบาท พระองค์…”
“บางทีอาจจะต้องการผู้สืบบัลลังก์ที่สามารถดูแลจัดการสถานการณ์โดยรวมได้สักคนหนึ่ง”
แม่ทัพใหญ่เหลยนั่งไม่ติดแล้ว “ท่านอ๋องต้องการจะยึดบัลลังก์และเข้าแทนที่หรือ”
“ข้าไม่มีความสนใจในตำแหน่งนั้น” เว่ยหานเอ่ยอย่างเฉยชา
“เช่นนั้นท่านอ๋องหมายความว่าอะไรกันแน่” แม่ทัพใหญ่เหลยจ้องเว่ยหานเขม็ง ขณะถาม
“บุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของเขา แต่เป็นบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋อง มีพระราชโองการลับของปฐมกษัตริย์อยู่ในมือ…”
แม่ทัพใหญ่เหลยฟังจบก็มีสีหน้าน่าชมยิ่ง “พระราชโองการลับของปฐมกษัตริย์…ท่านอ๋องได้เห็นแล้วหรือ”
เว่ยหานพยักหน้า เอ่ยว่า “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าคิดว่าการคืนบัลลังก์ให้ตระกูลชีนั้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล และเป็นทางเลือกที่จะได้รับการยอมรับมากที่สุดจากทุกคน แม่ทัพใหญ่เหลยคิดว่าอย่างไร”
แม่ทัพใหญ่เหลยจมลงสู่ความนิ่งเงียบโดยสมบูรณ์
หากเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาท ผู้นำที่ก่อกบฏกับบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องที่มีพระราชโองการลับของปฐมกษัตริย์อยู่ในมือ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายหลังถูกหลักธรรมนองคลองธรรมมากกว่า
ภายในกระโจมเงียบงันอยู่นาน ยิ่งขับเน้นถึงความครึกครื้นด้านนอกกระโจมมากกว่าเดิม
เว่ยหานเฝ้ารอเงียบๆ
ในที่สุด แม่ทัพใหญ่เหลยก็ถามเสียงแหบแห้ง “ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าวาจาที่ท่านอ๋องกล่าวมาทั้งหมดไม่ใช่คำเท็จ”
เว่ยหานยิ้ม “ข้าเอ่ยเรื่องเหล่านี้กับแม่ทัพใหญ่เหลยเพราะไม่อาจทนเห็นทหารฝ่ายเดียวกันแก้ไขปัญหาด้วยการทำสงครามได้ หากแม่ทัพใหญ่เหลยต้องการจะสู้รบกันสักครา ข้าย่อมรบเป็นเพื่อน”
แม่ทัพใหญ่เหลยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เว่ยหานชี้ไปนอกกระโจม “แม่ทัพใหญ่เหลยลองฟังเสียงหัวเราะเหล่านั้น ไม่รู้ว่าหลังจากรบกันแล้ว จะมีสภาพแบบใด”
แม่ทัพใหญ่เหลยเดินไปถึงปากทางเข้ากระโจม มองไปข้างนอก
ถึงช่วงเวลากินข้าวแล้ว ทหารนั่งล้อมวงกินเนื้อคำโตสนทนาหัวเราะกัน ร้องเพลงบ้านเกิดขึ้นมาอย่างสนุกสนาน
แม่ทัพใหญ่เหลยสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ในใจก็ต่อสู้ดิ้นรนอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาถึงกัดฟันตัดสินใจ “หากสิ่งที่ท่านอ๋องกล่าวมาทั้งหมดเป็นความจริง ผู้แซ่เหลยยินยอมที่จะคุ้มครองบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องเข้าเมืองหลวง!”
ของจริงก็ย่อมเป็นของจริง ของปลอมก็ยังเป็นของปลอมวันยันค่ำ หากไคหยางอ๋องหลอกเขา ค่อยสู้ตายกันก็ยังไม่สาย
เว่ยหานโค้งริมฝีปากยิ้มบางๆ “เช่นนั้นก็ลำบากแม่ทัพใหญ่เหลยแล้ว”
ทั้งสองคนสนทนากันเรียบร้อย ในไม่ช้าก็ได้รับการติดต่อจากแม่ทัพใหญ่ลั่ว
ทั้งสามฝ่ายเจรจากันลับๆ วันถัดไปก็รวมกำลังทหารกวาดล้างทหารที่หลงเหลืออยู่ของเหอหนานอ๋องจนเรียบ เมื่อได้ศีรษะของเหอหนานอ๋องมา กองทัพใหญ่ก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร