ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 533 หัวใจปวงชน
ตอนที่ 533 หัวใจปวงชน
ข่าวคราวส่งกลับไปถึงเมืองหลวง เหล่าขุนนางอาวุโสห้อตะบึงไปยังพระราชวัง ทูลขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ โดยมีเถาซั่วเป็นผู้นำ
ตอนนี้จักรพรรดิหย่งอันยังไม่สามารถตรัสวาจาได้ โจวซานย่อมออกหน้าหยุดยั้ง
เถาซั่วโมโห ถามเสียงเฉียบขาดว่า “โจวกงกง ตอนนี้สถานการณ์ถึงช่วงวิกฤตแล้ว ท่านยังจะผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ให้พวกข้าได้พบฝ่าบาท สรุปว่ามีเจตนาใดกันแน่”
โจวซานยิ้มเจื่อน “ใต้เท้าเถา ไม่ใช่ว่าพวกข้าน้อยจงใจกันท่า พระวรกายมังกรของฝ่าบาทประชวร จำเป็นต้องพักฟื้นเงียบๆ…”
“อย่าได้ใช้เหตุผลนี้มาเอ่ยกับพวกข้าอย่างขอไปที วันนี้พวกข้าจะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้ได้!” เถาซั่วยิ้มเย็นก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “โจวกงกง หากท่านยังขัดขวางอีก ข้าคงได้แต่สงสัยแล้วว่า ท่านควบคุมฝ่าบาท วางแผนก่อกบฏ!”
โจวซานสีหน้าเปลี่ยน “ใต้เท้าเถา วาจานี้มิอาจกล่าวเหลวไหลได้นะขอรับ!”
“กล่าวเหลวไหลหรือ พิจารณาดูจากประวัติศาสตร์ ขุนนางที่ทำให้แว่นแคว้นและราษฎรตกอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแบบอย่าง!” เถาซั่วเอ่ยอย่างไร้ความเกรงใจ
โจวซานโมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เมื่อเห็นความโกรธและดูแคลนจากเหล่าขุนนางอาวุโส เขาก็ดิ้นรนต่อสู้อยู่เสี้ยววินาทีหนึ่งแล้วถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ใต้เท้าทุกท่านต้องพบฝ่าบาทให้ได้หรือ”
“ถูกต้อง หากวันนี้ไม่ได้พบฝ่าบาท พวกเราก็จะรออยู่ที่นี่” ทุกคนเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“ช่างเถอะ” โจวซานถอนหายใจแรง “ในเมื่อใต้เท้าทุกท่านยืนกราน เช่นนั้นข้าน้อยก็จะไม่เป็นคนชั่วร้ายผู้นั้นแล้ว”
เขามองเถาซั่วอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง “ใต้เท้าเถา ท่านเลือกใต้เท้าสองสามท่านตามข้าน้อยไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเถอะ”
เถาซั่วกวาดสายตามองไปทางทุกคนแล้วเอ่ยเรียก “เสนาบดีฟาง เสนาบดีตู้ เสนาบดีจ้าว และใต้เท้าสิง พวกเราไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยกัน”
หลายคนตามโจวซานไป ยิ่งเดินเข้าไปข้างในก็ยิ่งรู้สึกถึงบรรยากาศกดดัน กลิ่นยาที่ประเดี๋ยวมี ประเดี๋ยวจางหายลอยเข้าจมูก
ลางสังหรณ์อันไม่เป็นมงคลทะลักขึ้นในใจ ทำให้ผู้คนผ่อนฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
โจวซานส่งสัญญาณให้ขันทีเลิกม่านขึ้น พลางเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท พวกใต้เท้าเถามาถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ หลายคนที่รออยู่นอกฉากบังลมก็แลกเปลี่ยนสายตากัน ในใจยิ่งกระวนกระวาย
โจวซานหันกลับมา กวาดตามองหลายคนนี้แวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยท่าทางเคารพนบนอบ “ใต้เท้าทุกท่านเข้าไปดูเองเถอะ”
เถาซั่วลังเลเล็กน้อยแล้วก้าวนำเข้าไป
คนอื่นๆ ก็ตามไปเงียบๆ
เลี้ยวผ่านฉากบังลมไปก็เห็นจักรพรรดิหย่งอันซึ่งเอนกายนอนอยู่บนตั่ง
เสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนพลันตื่นตะลึง ไม่กล้าเชื่อสายตาตนเองเลยแม้แต่น้อย ฝ่าบาทที่ทรงน่าเกรงขามเสมอมาพระเนตรไร้แวว มุมโอษฐ์บิดเบี้ยว เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับในอดีต
“ฝ่าบาท!” เถาซั่วเร่งเท้าพุ่งเข้าไป คุกเข่าลงบนพื้น ยันขอบเตียงพลางเรียกจักรพรรดิหย่งอัน
จักรพรรดิหย่งอันได้สติ แต่จะทำเช่นไรได้เมื่อไม่สามารถเปล่งวาจาออกมาได้ เมื่อร้อนพระทัยสีพระพักตร์ก็ยิ่งบิดเบี้ยว ลำคอส่งเสียงอึกอักชวนให้ผู้คนไม่สบายกายออกมา
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นอันใดไปพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของจักรพรรดิหย่งอันยิ่งชวนให้ผู้คนสยดสยอง โจวซานรีบเอ่ยเตือน “ใต้เท้าทุกท่านอย่ารบกวนฝ่าบาทอีกเลย ฝ่าบาทต้องการพักผ่อนเงียบๆ จริงๆ!”
ครานี้เถาซั่วไม่ยืนหยัดต่อไปอีก ถวายบังคมจักรพรรดิหย่งอันแล้วก็ถอยออกไปเงียบๆ
โจวซานเดินออกไป มองขุนนางใหญ่หลายท่านแล้วเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าทุกท่านเห็นแล้วสินะขอรับ ตอนนี้ฝ่าบาททนรับความตื่นตระหนกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย…”
“ทำไมฝ่าบาทถึงได้…”
โจวซานสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว “วันนั้นฝ่าบาทตกพระทัยจนหมดสติ เมื่อทรงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว”
เถาซั่วและคนอื่นๆ มองหน้ากันไปมา จิตใจพลันงุนงงและหนักอึ้งไปชั่วขณะ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เสนาบดีฟางก็ถามว่า “ใต้เท้าเถา ตอนนี้ไคหยางอ๋อง ลั่วฉือ และเหลยหมิงสามกองทัพร่วมมือกันมาบีบเมืองหลวง ฝ่าบาทก็…พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี”
เถาซั่วจมลงสู่ความเงียบงัน
ภายในมีปัญหาสับสนอลหม่าน ภายนอกก็มีภัยพิบัติ แว่นแคว้นไร้ซึ่งผู้ปกครอง เกรงว่าพวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นขุนนางของแคว้นที่ล่มสลายเสียแล้ว
“ช่างเถอะ รอฝ่ายกบฏบุกมา พวกเราพยายามสุดความสามารถก็พอ อย่างมากก็แค่ตายเท่านั้น” เถาซั่วกัดฟัน
เมื่อวาจาชวนให้หมดกำลังใจหลุดออกมา หลายคนพลันนิ่งเงียบ
เสนาบดีจ้าวที่ไม่เอ่ยอะไรมาตลอดลูบเครา นึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างยิ่ง หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้องเก็บออมเงินส่วนตัวที่จะไปร่ำสุราที่มีหอสุราด้วย ควรจะกินจนเงินเก็บของแม่เสือหมดไปเสีย
“ใต้เท้าจ้าว…”
“หืม?” เสนาบดีจ้าวพลันได้สติคืนมา
เถาซั่วมองเสนาบดีชราที่อยู่ในรัชสมัยเดียวกันมาหลายสิบปีด้วยสีหน้าซับซ้อน “ใต้เท้าจ้าวมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับลั่วฉือ บางทีอาจจะลองเกลี้ยกล่อมดู…ตอนนี้ไม่มีใครทำอันตรายบุตรสาวเขาได้แล้ว หากเขากลับใจมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์จิ่นหลินยังคงให้เขานั่งต่อไปได้…”
เสนาบดีจ้าวยิ้มเจื่อน “เช่นนั้นข้าจะลองดูแล้วกัน”
ฝันกลางวันอะไรอยู่น่ะ
ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ทำได้แค่รักษาม้าตายเหมือนม้าเป็น[1] แล้ว
ขุนนางบุ๋นบู๊จำนวนมากกังวลใจ ในที่สุดก็ถึงวันที่กองทัพใหญ่มาประชิดเมือง
เถาซั่วพาเหล่าขุนนางขึ้นไปยืนบนกำแพงเมือง มองกองทัพซึ่งยืดยาวไม่เห็นจุดสิ้นสุดกับธงแห่งชัยชนะที่มืดฟ้ามัวดินก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย
ไม่รอให้สองฝ่ายได้สนทนากันก็มีขุนนางที่ทนรับแรงกดดันไม่ไหวสติแตกร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวด “จบแล้ว จบสิ้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความหวัง…”
ไม่มีใครตำหนิขุนนางที่ร้องไห้เสียใจผู้นั้น
เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้เองกับตา ถึงได้รู้ว่าความคิดที่ว่าจะโชคดี ไม่ถูกจับนั้นเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล
“ใต้เท้าเถา พวกเราเปิดประตูเมืองเถอะ…”
ข้อเสนอนี้ถูกด่าว่าอย่างรุนแรงจากเถาซั่วทันที “สารเลว เจ้าเตรียมตัวแบกรับชื่อเสียงที่ต้องถูกผู้คนประณามไปตลอดกาลแล้วหรือ”
ขุนนางคนนั้นปิดหน้าร่ำไห้ “ไม่ใช่ข้าน้อยกลัวตาย แต่ประชาชนมากมายในเมืองเป็นผู้บริสุทธิ์นะขอรับ!”
ชาวบ้านที่ได้รับข่าวคราวทั้งหมดล้วนรีบมา ผู้คนมากมายดำทะมึนไม่เห็นจุดสิ้นสุดเหมือนกับกองทัพนอกเมืองเหล่านั้น
เถาซั่วสูดลมหายใจลึก ประสานมือคารวะให้กับชาวบ้านที่แหงนหน้ามองขึ้นมา “เป็นพวกเราที่ไร้ความสามารถ ทำให้ญาติพี่น้องและสหายทุกท่านต้องแบกรับหายนะจากการที่เมืองแตก…”
ยังเอ่ยไม่ทันจบ ผักเน่าก็ลอยมาแล้ว
คนจำนวนมากในกลุ่มคนตะโกนเสียงดัง “รีบหุบปากซะ!”
“ลงไปเถอะ ใครจะแบกรับหายนะจากการที่เมืองแตกกัน พวกเจ้าเปิดประตูเมืองไม่ได้หรือไร!”
“นั่นสิ เปิดประตูเมืองปล่อยกองทัพเฉาหยางเข้ามา กองทัพเฉาหยางจะหันดาบใส่ประชาชนอย่างพวกเราอย่างนั้นหรือ”
หัวหน้าสภาขุนนางเถาซั่วซึ่งมีผักเน่าอยู่บนศีรษะงุนงง ชาวบ้านพวกนี้บ้าไปแล้วหรือ
สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความสงสัยที่เกิดขึ้นคือโทสะ
สุดท้ายก็เป็นพวกชาวบ้านยากจนโลภมาก ไร้ซึ่งปณิธานใด พวกเขาเตรียมตัวเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองแล้ว ชาวบ้านเหล่านี้กลับโวยวายให้เปิดประตูเมือง!
ผักเน่าจำนวนมากลอยมาอีก นอกจากเถาซั่วที่เอ่ยปากพูด ขุนนางใหญ่คนอื่นๆ ล้วนหลบไม่พ้นเช่นกัน
เหล่าชาวบ้านเพลิงโทสะพวยพุ่ง เสียงด่าว่าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราต้องตกอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด พวกท่านเหล่าขุนนางมัวแต่ไปทำอะไรกันอยู่ ตอนนี้จะให้พวกเรารับเคราะห์ที่เมืองจะแตก พวกท่านเอาความกล้าจากไหนมาพูด!”
“เปิดประตูเมือง รีบเปิดประตูเมือง!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนเสียงดัง
ฝูงชนพุ่งไปทางประตูเมืองดั่งกระแสน้ำ
นายทหารที่เฝ้าประตูเมืองตะลึงอ้าปากค้าง
พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องประตูเมืองในยามที่กองทัพใหญ่โจมตีเมืองแล้ว แต่กลับไม่เคยเตรียมใจกับเหตุการณ์เช่นนี้
ดาบในมือยกขึ้น คิดจะยับยั้งชาวบ้านที่พุ่งเข้ามา
แต่คนเยอะเกินไปแล้วจึงไม่รู้ว่าจะเล็งดาบที่ยกขึ้นสูงไปที่ใคร ทั้งยังไม่สามารถฟันลงไปได้
พวกเขาซึ่งเป็นผู้เฝ้าประตูเมืองเหล่านี้ไม่ใช่คนโหดเหี้ยม ไร้ความปรานี คนที่พุ่งมาในนั้นก็มีญาติพี่น้องและสหายของพวกเขาด้วยเช่นกัน
ลังเลเพียงแค่แวบเดียว ประตูเมืองก็ถูกเปิดออกแล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วกับแม่ทัพใหญ่เหลยที่นั่งอยู่บนหลังม้าซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของคูเมืองได้แต่มองหน้ากันไปมา
พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ประตูเมืองก็เปิดแล้วหรือ
กระทั่งเจรจาต่อรองก็ไม่จำเป็นแล้วหรือ
สองคนมองไปทางเว่ยหานอย่างลังเล
เว่ยหานสั่งการด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เตรียมตัวเข้าเมือง”
[1] รักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นแล้ว เปรียบเทียบเรื่องที่รู้ชัดว่าไม่มีความหวังแล้ว แต่ยังมีความหวังเลือนราง ลองพยายามเต็มที่ มักใช้หมายถึงความพยายามครั้งสุดท้าย