ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 534 คืนบัลลังก์
ตอนที่ 534 คืนบัลลังก์
ทว่าเพียงแค่พริบตาเดียว ไม่เพียงประตูเมืองเท่านั้นที่เปิดออก กระทั่งสะพานเชื่อมเข้าตัวเมืองก็ยังถูกประชาชนที่บ้าคลั่งและเดือดดาลปล่อยลงมาด้วย
อีกด้านของคูเมือง กองทัพได้เตรียมตัวเข้าเมืองด้วยท่าทางเคร่งขรึมและสงบเงียบ
เถาซั่วซึ่งยืนอยู่บนกำแพงตวาดเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมไร้ความสามารถ ทำได้เพียงล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อเห็นเถาซั่วจะทะยานตัวลงไป เสนาบดีจ้าวที่ตาเร็วมือไวก็กอดเขาเอาไว้ในทันที
เถาซั่วตวาด “ปล่อยข้านะ! พวกท่านยินยอมต้อนรับกองทัพกบฏเข้าเมือง ข้าไร้ความสามารถที่จะห้ามปราม แต่ต้องการให้ข้าเป็นขุนนางที่ยอมแพ้คุกเข่าให้กับขุนนางกบฏเหมือนพวกท่านนั้น ฝันไปเถอะ!”
เสนาบดีจ้าวเอ่ยชี้แนะอย่างจริงใจ “ใต้เท้าเถาเอ๋ย ศีรษะท่านยังมีผักเน่าแปะอยู่เลยนะ เสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมืองเช่นนี้ ภาพลักษณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก”
เถาซั่วชะงัก ลืมต่อสู้ดิ้นรนไปชั่วขณะ
ตอนนี้แรงกายที่สะสมจากการกินหัวหมูย่างสองจานที่มีหอสุราของเสนาบดีชราได้แสดงออกมาแล้ว เขาเหวี่ยงเถาซั่วลงไปอย่างว่องไว
รอจนเถาซั่วรู้สึกตัวขึ้นมา คิดจะโดดกำแพงเมืองใหม่อีกครั้งก็ถูกขุนนางทั้งหมดล้อมเอาไว้แล้ว
“ใต้เท้าเถา ท่านจะตายอย่างไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ไม่ได้นะ หากท่านวางมือไม่สนใจ ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะยิ่งไร้คนแบ่งเบาความกังวล…”
แท้จริงแล้วสิ่งที่ขุนนางส่วนใหญ่ไตร่ตรองก็คือ หากใต้เท้าเถาซึ่งเป็นหัวหน้าขุนนางมากมายกระโดดลงจากกำแพงเมืองต่อหน้าชาวบ้านนับพันนับหมื่น เช่นนั้นจะให้พวกเขาทำอย่างไร
ไม่กระโดดก็แสดงให้เห็นว่ารักตัวกลัวตาย
หากกระโดดล่ะก็…มองดูชาวบ้านที่โยนผักเน่าพวกนั้นแล้ว กระโดดลงไปก็คงไม่ได้รับชื่อเสียงดีงามอะไร
กล่าวโดยสรุปคือ ใต้เท้าเถาจะตายไม่ได้เด็ดขาด
ขุนนางทุกคนที่รู้สึกตัวขึ้นมา ทอดสายตาชื่นชมไปทางเสนาบดีจ้าวโดยมิได้นัดหมาย
เสนาบดีเฉียนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเสนาบดีจ้าวเอ่ยเสียงเบา “สหายจ้าว ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้ารวดเร็วมากทีเดียวนะ”
มิน่าทุกครั้งที่ชายชราแย่งชิงอาหารล้วนชนะได้
เสนาบดีจ้าวมีสีหน้าภาคภูมิใจ “เป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน ไหนเลยจะไม่มีความรู้สึกให้แก่กันเลย”
ขุนนางทุกคน “…”
เสียเวลาไปเช่นนี้ กองทัพส่วนใหญ่จึงเข้ามาในเมืองแล้ว
เว่ยหานขี่ม้าเดินนำอยู่ด้านหน้าสุดหันกลับมามองทางประตูเมือง
ขุนนางที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
เสนาบดีจ้าวถอนหายใจ “ลงไปเถอะ สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าอย่างไรก็ต้องเผชิญ สิ่งที่ควรจะเจรจาอย่างไรก็ต้องเจรจา พวกเราคงไม่อาจรักษาตัวให้รอดพ้นปัญหาอยู่บนกำแพงตลอดไปได้”
ขุนนางทุกคนได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าถูกต้องจึงเรียงแถวลงจากกำแพงเมืองกันเงียบๆ
เสนาบดีจ้าวถูกขุนนางทุกคนผลักออกมาสนทนากับเว่ยหาน “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือขอรับ…”
เว่ยหานสีหน้าสงบนิ่ง น้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าห่วงใยพระวรกายของเสด็จพี่จึงกลับมาแล้ว”
เสนาบดีจ้าวตกตะลึง
ขุนนางทุกคนก็ตะลึงค้าง
วาจานี้ของไคหยางอ๋องหมายความว่าอะไร
“ใต้เท้าทุกท่าน รอจนข้าถวายพระพรเสด็จพี่แล้ว ค่อยสนทนากันเถอะ”
ขุนนางทุกคนยิ่งสงสัยจึงเดินตามเว่ยหานและคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังทิศทางเมืองจักรพรรดิด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความกระวนกระวาย
หน้าประตูเฉียนชิงในการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่ท้องพระโรง โจวซานโอบกอดความคิดที่ว่าจะต้องตายอย่างแน่นอนเอาไว้ขณะขัดขวางเว่ยหาน “ฝ่าบาททรงกำลังพักผ่อน ท่านอ๋องโปรดอย่ารบกวน!”
ไคหยางอ๋องนิสัยทะเยอทะยาน ชั่วร้ายเหมือนหมาป่า หากเห็นว่าฝ่าบาทกลายเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลและเกรงกลัวแล้ว
ความจริงเขาเองก็รู้ว่า การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากตั๊กแตนห้ามรถ[1] เกรงว่ากระทั่งเวลาวันหนึ่งก็ยื้อให้ผ่านไปไม่ได้ แต่มีบางเรื่อง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะล้มเหลว แต่ยังคงพยายามที่จะทำ ก็เพียงเพื่อไม่ให้ละอายใจต่อมโนธรรมเท่านั้นเอง
“มีบางเรื่อง ข้าต้องการขอคำแนะนำจากเสด็จพี่สักหน่อย”
“เรื่องอันใดหรือขอรับ” โจวซานมองเว่ยหานอย่างระแวดระวัง
เว่ยหานมองไปทางเด็กหนุ่มข้างกายแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เดิมเหล่าขุนนางนึกว่าเขามองแม่ทัพใหญ่ลั่ว จนเมื่อลั่วเฉินก้าวออกมาจากฝูงชนถึงได้สังเกตเห็นเด็กหนุ่มคนนี้
หว่างคิ้วเด็กหนุ่มยังมีความอ่อนเยาว์ แต่กลับมีความสุขุมลุ่มลึกที่ยากจะเห็นได้ในคนอายุเท่านี้แผ่ออกมา
เขาเปิดกล่องที่พกติดตัวออกนำพระราชโองการลับออกมาจากด้านในอย่างไม่รีบเร่ง
ยามที่สีเหลืองสว่างของพระราชโองการลับปรากฏออกมา เหล่าขุนนางพลันสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
ในฐานะที่เถาซั่วเป็นอัครเสนาบดีและเสนาบดีกรมพิธีการจึงจำสัญลักษณ์ของพระราชโองการลับได้ในแวบเดียว เขาพลั้งปากส่งเสียงร้องด้วยความตะลึงออกมา “พระราชโองการสุดท้ายขององค์ปฐมกษัตริย์หรือ”
ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหมดต่างแสดงท่าทางตะลึงออกมา
เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดในมือบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ลั่วจึงมีพระราชโองการสุดท้ายของปฐมกษัตริย์ได้
เว่ยหานเอ่ยเรียบๆ “ใต้เท้าเถา ท่านเป็นหัวหน้าของขุนนางมากมาย เชิญท่านมาอ่านพระราชโองการสุดท้ายของปฐมกษัตริย์ฉบับนี้ก็แล้วกัน”
เถาซั่วยื่นสองมือที่สั่นเทาออกมารับพระราชโองการในมือลั่วเฉินไปแล้วฝืนทำจิตใจให้สงบ อ่านออกมา “พระราชโองการกล่าวว่า เราเคารพที่เจิ้นหนานอ๋องผู้เป็นพระเชษฐาบุญธรรมยอมเสียสละให้เราขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้แทน…หากบุตรหลานตระกูลเว่ยไร้ศีลธรรม หรือไร้ผู้สืบทอดทางสายเลือดก็ขอให้ใช้พระราชโองการฉบับนี้คืนบัลลังก์ให้กับตระกูลชี ประกาศต่อใต้หล้าให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าใจโดยทั่วกัน”
เมื่อประกาศพระราชโองการสุดท้ายจบ ท้องพระโรงก็เงียบเสียจนหากเข็มตกก็สามารถได้ยินชัดเจน
เว่ยหานทิ้งเวลาให้เหล่าขุนนางได้ทำความเข้าใจแล้วเอ่ยต่อว่า “ตอนนี้ใต้หล้าเกิดความโกลาหล เสด็จพี่ไร้ทายาท นี่คือความหมายของการที่ข้าต้องการปรึกษาเสด็จพี่สักหน่อย”
โจวซานนัยน์ตาเปล่งประกาย ถามเสียงสั่น “ท่านอ๋องหมายถึง…แคว้นไร้ผู้สืบบัลลังก์…”
ก่อกบฏก็ดี บีบให้สละราชบัลลังก์ก็ช่าง การเปลี่ยนอำนาจของผู้ปกครองแคว้นนั้นได้ข้อสรุปแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฝ่าบาทจะปฏิบัติตามพระราชโองการสุดท้ายของปฐมกษัตริย์โดยการคืนตำแหน่งให้กับตระกูลชีเพราะไร้ทายาทสืบทอด หรือจะถูกชิงบัลลังก์เพราะโหดเหี้ยม ไร้ศีลธรรม สิ่งที่จะบันทึกทิ้งไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์นั้นล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อย่างแรกเมื่อแพร่ออกไปแล้วสามารถกลายเป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจ อย่างหลังกลับกลายเป็นทรราชล่มชาติ
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ สามารถเหลือหน้าตาและภาพลักษณ์ให้กับฝ่าบาทหลายส่วนก็ถือว่าไม่ได้ปรนนิบัติฝ่าบาทเสียเปล่าแล้ว
เว่ยหานยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจให้แคว้นไร้ผู้ปกครองต่อไปได้”
ร่างกายที่แข็งเกร็งของโจวซานผ่อนคลายลง เขาหลุบตาเอ่ย “ท่านอ๋องตามข้าน้อยไปพบฝ่าบาทเถอะขอรับ”
เหล่าขุนนางมองส่งเว่ยหานตามโจวซานจากไป ในใจล้วนมีคำตอบแล้ว ดูท่าจะมีข่าวคราวการสละบัลลังก์ของฝ่าบาทออกมาในไม่ช้าแล้ว
แบบนี้ก็ดีเช่นกัน มีพระราชโองการสุดท้ายของปฐมกษัตริย์ก็นับว่าถูกหลักทำนองคลองธรรม ไม่จำเป็นต้องสู้กันจนเลือดเจิ่งนอง พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่จากการไม่ยืนหยัดในความยุติธรรมเช่นกัน
เหล่าขุนนางคิดเช่นนี้แล้วก็มองไปทางแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เถาซั่วเอ่ยปากถาม “แม่ทัพใหญ่ เหตุใดพระราชโองการสุดท้ายของปฐมกษัตริย์ถึงได้อยู่ในมือบุตรชายท่านได้”
แม่ทัพใหญ่ลั่วมองลั่วเฉินอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เผยสีหน้าโศกเศร้าออกมา “พูดแล้วเรื่องมันยาว…”
ฟังเขาเล่าจบ เหล่าขุนนางก็ตะลึงอ้าปากค้าง
บุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพใหญ่ลั่วถึงกับเป็นบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋อง นี่มันจะซับซ้อน เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว
“เช่นนั้นเจิ้นหนานอ๋องในตอนนี้…” มีคนเกิดความลังเลสงสัย
หากว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วสวมรอยเพื่อให้บุตรชายของตนเองได้นั่งบัลลังก์มังกรล่ะ?
แน่นอนว่า หากเป็นเช่นนี้จริงๆ พวกเขาก็ไม่มีหนทางใดเช่นกัน ภายใต้การควบคุมอันเด็ดขาดเช่นนี้ การชี้ถูกเป็นผิด เดิมก็เป็นเรื่องธรรมดามาก
“เด็กคนนั้นอยู่ที่จวนเจิ้นหนานอ๋องสินะ ไม่สู้เชิญมาถามดู” แม่ทัพใหญ่ลั่วเอ่ยเรียบๆ
ในไม่ช้าเด็กหนุ่มคนนั้นกับองครักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเหล่าขุนนาง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับขุนนางบุ๋นบู๊มากมาย เด็กหนุ่มก็ไปหลบอยู่หลังองครักษ์อย่างขลาดกลัว แววตาเผยให้เห็นความกระวนกระวาย
ทุกคนเห็นเป็นเช่นนี้ก็ทอดถอนใจในใจ ดูจากการแสดงออกของเด็กคนนี้ หากให้นั่งตำแหน่งนั้นคงจะทำให้ผู้คนกังวลจริงๆ…
เมื่อได้ยินเถาซั่วสอบถาม องครักษ์ก็ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เขาไม่ใช่บุตรชายกำพร้าของท่านอ๋องจริงๆ แต่เป็นหนึ่งในตัวแทนคุ้มครองท่านอ๋องน้อย…”
จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็ปรากฏความจริงออกมา แม้ว่าจะมีคนยังคงสงสัย แต่ก็ทำได้แค่คิดอยู่ในใจเท่านั้น
ในไม่ช้าก็มีโจวซาน ขันทีซึ่งรับผิดชอบช่วยร่างพระราชโองการจับพู่กันเขียน ฉีเหยียน ขันทีซึ่งรับผิดชอบดูแลตราพระราชลัญจกรเป็นผู้ประทับตราพระราชโองการยกบัลลังก์ให้แพร่กระจายไปทั่วหล้า เนื้อความกล่าวว่า จักรพรรดิหย่งอันทรงคืนบัลลังก์ให้กับตระกูลชี บุตรชายกำพร้าของเจิ้นหนานอ๋องชีรุ่ยขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้
การผลัดเปลี่ยนบัลลังก์เป็นไปอย่างมั่นคง ราษฎรในเมืองหลวงไม่เพียงแต่ไม่ประสบกับความยากลำบากจากความวุ่นวาย ในทางตรงกันข้ามกลับสบายใจลง ในที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเสียคนในครอบครัวไปได้ตลอดเวลาแล้ว
สำหรับความวุ่นวายอันเกิดจากภัยสงครามในแต่ละพื้นที่ นั่นเป็นเรื่องที่ราชสำนักควรจะพิจารณา
ความวุ่นวายอันเกิดจากภัยสงครามย่อมต้องแก้ไข
หลังจากลั่วเฉินซึ่งเปลี่ยนนามเป็นชีรุ่ยขึ้นครองราชย์ แม่ทัพใหญ่ลั่วกับแม่ทัพใหญ่เหลยยังคงรับผิดชอบพิทักษ์ความปลอดภัยเมืองจักรพรรดิและเมืองหลวง เว่ยหานเดินบนเส้นทางปราบกบฏอีกครั้ง
วันที่ออกเดินทาง ฮ่องเต้องค์ใหม่อยากจะนำขุนนางบุ๋นบู๊มากมายไปส่งเว่ยหานถึงนอกเมือง แต่ถูกเขาปฏิเสธอ้อมๆ “ไม่จำเป็นต้องระดมผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ รอวันที่กระหม่อมกลับมาหลังจากใต้หล้าสงบ ค่อยรวมตัวกันก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”
ลั่วเฉินประสานมือคารวะเว่ยหาน “ขอให้ท่านอ๋องได้รับชัยชนะ”
ขุนนางบุ๋นบู๊ประสานมือคารวะพร้อมกัน “ขอให้ท่านอ๋องได้รับชัยชนะ”
เว่ยหานกำหมัดคารวะ ก้าวเท้ายาวออกจากท้องพระโรง
กระเบื้องเคลือบสีเขียว กำแพงเมืองสีแดง สิ่งปลูกสร้างยังคงยิ่งใหญ่และโอ่อ่า ในสายตาเว่ยหานกลับขาดความอัดอั้นตันใจในวันวาน และมีความเปิดกว้างเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
เมื่อเดินออกจากเมืองจักรพรรดิก็เห็นเด็กสาวซึ่งยืนรออยู่ใต้ต้นหลิวไม่ไกลนัก เว่ยหานเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
“คุณหนูลั่ว” เขามองนาง แววตาเปล่งประกาย “ข้าต้องออกเดินทางแล้ว ท่านจะไปส่งข้าหรือไม่”
คนที่เขาต้องการให้ไปส่งเขา แค่คนตรงหน้าคนเดียวก็พอแล้ว
ลั่วเซิงพยักหน้า ยิ้มบางๆ “ได้”
ทั้งสองคนอาบแสงอรุณยามรุ่งสาง จูงม้าเดินเคียงไหล่กันไปทางประตูเมือง
รุ่งอรุณในเดือนหกนั้นงดงามและเงียบสงบ เว่ยหานมองใบหน้าด้านข้างที่นิ่งเงียบของเด็กสาว เม้มริมฝีปาก เอ่ยว่า “คุณหนูลั่ว ครั้งที่แล้วท่านไม่ได้มาส่งข้า”
ลั่วเซิงหันหน้าไปสบดวงตาคู่นั้นก็เห็นความน้อยใจเบาบางในนั้น
นางนิ่งเงียบไปแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้ามาส่งแล้ว”
เพียงแต่ตอนนั้นไม่อยากทิ้งความหวังระหว่างกันไว้จึงทำได้เพียงมองส่งเขาจากไปอย่างหลบซ่อน
ในใจนาง จะไม่เคยเสียใจในภายหลังได้อย่างไร
โชคดีที่ครั้งนี้ ในที่สุดก็สามารถมาส่งเขาได้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
เว่ยหานชะงักฝีเท้า มุมปากโค้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “จริงหรือ”
“จะหลอกท่านทำไมกัน” ลั่วเซิงอยากจะแสดงออกด้วยท่าทางสงบนิ่งเล็กน้อย แต่คิดได้ว่าคนตรงหน้าไปแล้ว ไม่รู้จะกลับมาเมื่อใดก็ไม่อาจสงบนิ่งได้เลยจริงๆ
“ท่านอ๋องออกรบอยู่ข้างนอกต้องระวังความปลอดภัยด้วย” นางกำชับเสียงอ่อนโยน
“ข้าจะระวัง”
ชั่วขณะหนึ่งที่รอบด้านเงียบงัน ทั้งสองคนเดินตรงไปข้างหน้าเงียบๆ
ถนนเส้นยาวในยามปกติคล้ายจะสั้นลงในทันที ประตูเมืองอยู่ด้านหน้าแล้ว
เว่ยหานจ้องนางนิ่งๆ เอ่ยเสียงเบา “คุณหนูลั่ว ส่งถึงตรงนี้เถอะ”
“เช่นนั้น…ข้าคงไม่ไปส่งท่านอ๋องถึงนอกเมืองแล้ว”
นัยน์ตาเว่ยหานมีรอยยิ้ม ภายใต้รอยยิ้มนั้นบดบังความอาลัยอาวรณ์เอาไว้ “เช่นนั้นท่านรอข้ากลับมา”
ลั่วเซิงพยักหน้าน้อยๆ
เว่ยหานกำมือที่จับบังเหียนแน่นแล้วเขยิบเข้าไปใกล้นางกะทันหัน จุมพิตแผ่วเบาลงบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาดุจแมลงปอสัมผัสผิวน้ำ จากนั้นก็พลิกร่างขึ้นมา ห้อตะบึงไปด้านหน้า
[1] ตั๊กแตนห้ามรถ หมายถึงคนที่ทำอะไรไม่ดูกำลังและความสามารถตัวเอง ทำอะไรเกินตัวจนเดือดร้อน