ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 535 ธงสุราโบกสะบัด
ตอนที่ 535 ธงสุราโบกสะบัด
หนึ่งปีหลังจากนั้น ใต้หล้าเริ่มสงบ ไคหยางอ๋องนำกองทัพเฉาหยางนำชัยชนะกลับมา
บนถนนชิงซิ่ง มีหอสุราเปิดทำการใหม่อีกครั้ง เสียงประทัดเฉลิมฉลองดังไปครึ่งค่อนวันเต็มๆ
สำหรับเว่ยหานแล้ว การต้อนรับของขุนนางนับร้อย เสียงร้องดีอกดีใจของปวงประชานับหมื่น ล้วนเทียบกับความปีติยินดีที่ได้เห็นธงสีเขียวโบกสะบัดรับลมหน้าประตูมีหอสุราไม่ได้
“ข้านึกว่า หอสุราเปิดใหม่นานแล้ว”
ลั่วเซิงเอ่ยยิ้มๆ “น้องชายขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ข้างนอกก็วุ่นวายโกลาหล ไหนเลยจะมีอารมณ์มาเปิดหอสุรา”
“เพียงแค่เท่านี้หรือ” เว่ยหานถามยิ้มๆ
“ไม่เช่นนั้นล่ะ?” ลั่วเซิงพยายามรักษาท่าทางสงบนิ่ง แต่กลับไม่สามารถห้ามพวงแก้มที่เห่อร้อนขึ้นเรื่อยๆ ได้
ความจริงแล้ว นางแค่ไม่อยากเปิดหอสุราในวันที่เขาไม่อยู่
นางหวังว่า เขาซึ่งกลับมาจากการบุกเหนือตีใต้จะเป็นลูกค้าคนแรกที่หอสุราได้ต้อนรับหลังจากเปิดกิจการใหม่อีกครั้ง
พวงแก้มแดงระเรื่อสองข้างของเด็กสาวทำให้เว่ยหานหัวใจกระตุก
“คุณหนูลั่ว นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ไม่สู้พวกเราไปดูต้นพลับกันเถอะ”
ปีที่แล้ว ตอนจากเมืองหลวงไปคือเดือนหกซึ่งอากาศร้อนเหมือนไฟเผา แต่ตอนนี้ที่กลับมาก็ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ผลแดงก่ำของต้นพลับในลานประดับเต็มกิ่ง เป็นช่วงที่ผู้คนชื่นชอบที่สุด
เว่ยหานเงยหน้ามอง กลิ่นอายฆ่าฟันและเข้มงวดตรงหว่างคิ้วในสนามรบเลือนหายไป แทนที่ด้วยความอ่อนโยนและรอยยิ้ม “คุณหนูลั่ว ข้าค้นพบว่า ต้นพลับน่ามองกว่าเมื่อก่อน”
ลั่วเซิงยิ้มแย้ม “ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน”
แน่นอนว่า ต้นพลับผลที่จะเก็บเกี่ยวได้อย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นช่วงเวลาที่น่าชมมากที่สุด
“คุณหนูลั่ว”
ลั่วเซิงมองเขา
ลั่วเซิงพลันหน่วยตาชื้น
วาจาแบบเดียวกัน เขาเคยเอ่ยตอนสองปีก่อน
นางกะพริบตาเบาๆ และกล่าววาจาที่เคยเอ่ยไปเมื่อสองปีก่อนหน้านี้เช่นกัน “รอหลังจากวันซวงเจี้ยง[1] เถอะ ลูกพลับในตอนนั้นอร่อยที่สุด”
“คุณหนูลั่ว”
“หืม?” ลั่วเซิงรับคำ นึกถึงวาจาที่เขาจะเอ่ยต่อ
เขาบอกว่า รอหลังจากซวงเจี้ยงแล้ว พวกเราค่อยมาดูต้นพลับกันอีก
ตอนนั้น นางไม่อยากให้ความรู้สึกคลุมเครือระหว่างทั้งสองคนยืดเยื้อออกไปจึงเอ่ยอย่างเฉยชาว่า ‘ถึงอย่างไรต้นพลับก็หนีไปไหนไม่ได้ นึกถึงก็มาดูได้’
นางมองเห็นความผิดหวังในแววตาเขากลับทำได้แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ครั้งนี้คำตอบของนางจะไม่เหมือนเดิม นางจะตอบว่าได้อย่างรวดเร็ว รอถึงช่วงซวงเจี้ยงก็จะจูงมือคนโง่งมผู้นี้มาดูต้นพลับด้วยกัน
เพียงแต่ครั้งนี้ วาจาที่นางได้ยินนั้นกลับไม่เหมือนเดิมแล้ว
เขาเอ่ยว่า “คุณหนูลั่ว รอหลังจากซวงเจี้ยง พวกเราก็แต่งงานกันเถอะ”
ลั่วเซิงตะลึงค้าง
ดวงหน้าเย็นชาและสง่างามของบุรุษหนุ่มย้อมไปด้วยริ้วสีแดง แววตากลับกระจ่างแน่วแน่ “แม้ว่าเวลาจะสั้นไปหน่อย แต่ข้าคิดว่าสามารถเตรียมการได้ทัน คุณหนูลั่วคิดว่าอย่างไร”
เขาไม่อยากรอจนถึงซวงเจี้ยงครั้งถัดไปแล้ว
เขาอยากจะกินปูแช่สุรา ร่ำสุราเหลือง[2] พานางไปดูดอกเบญจมาศสวยงามในสวนเหล่านั้น
“ข้า…” ลั่วเซิงอ้าปาก ความเขินอายกับความหยิ่งในศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนนี้
นางโค้งริมฝีปาก เอ่ยยิ้มๆ “ข้าก็คิดแบบนี้เช่นกัน”
เว่ยหานนัยน์ตาเปล่งประกาย
“ทว่า…”
เว่ยหานตะลึง มองไปทางนาง
ลั่วเซิงจนปัญญา “ท่านอ๋องน่าจะเอ่ยกับท่านพ่อข้าสักคำ”
ไม่สู่ขออย่างเป็นทางการ คงไม่อาจให้นางตระเตรียมเรื่องการแต่งงานด้วยตนเองได้หรอกนะ
เว่ยหานพยักหน้าติดๆ กัน “ข้าเข้าใจและจะไปสู่ขอกับบิดาท่าน!”
“อืม” ลั่วเซิงรับคำแผ่วเบา
มือของเว่ยหานที่อยู่ข้างกายยื่นออกไป กุมมือนางเอาไว้เงียบๆ
มือนุ่มนิ่มของเด็กสาวเย็นเล็กน้อย เป็นสถานการณ์ที่เขาคิดมาเนิ่นนานยามบุกเหนือตีใต้
สายตาของเขาตกลงบนหน้าผากขาวเนียน เกลี้ยงเกลาของนาง
เขายังจำจุมพิตอันรีบร้อนขณะที่จะจากกันได้ จุมพิตนั้นทำให้เขาไม่อาจสงบเยือกเย็นได้เนิ่นนานนัก
ทั้งกังวลว่านางจะโมโห ทั้งอดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึง
สังเกตได้ถึงสายตาร้อนแรงของบุรุษตรงหน้า ลั่วเซิงก็เตือนนิ่งๆ “สือเยี่ยนกับหงโต้วอาจจะอยู่หลังม่านประตู”
เว่ยหานพลันได้สติ
แม้ว่าเขาจะอยากจุมพิตคนในดวงใจมากเพียงใด แต่กลับไม่มีความตั้งใจจะให้คนมาล้อมดู
โชคดีที่ใกล้จะถึงวันซวงเจี้ยงแล้ว อนาคตยังอีกยาวไกล
“ถึงเวลาเปิดกิจการแล้ว พวกเราไปที่ห้องโถงใหญ่กันเถอะ”
เว่ยหานยอมรับข้อเสนอของลั่วเซิงอย่างเบิกบานใจ
จุมพิตคุณหนูลั่วไม่ได้ ได้กินอาหารเลิศรสมื้อหนึ่งก็ไม่เลวเช่นกัน
ทั้งสองคนไปยังห้องโถงใหญ่ด้วยกัน
เมื่อประตูใหญ่หอสุราเปิด เสนาบดีจ้าวก็วิ่งเข้ามาเป็นคนแรก
โค่วเอ๋อร์ยิ้มสดใส พลางเอ่ยว่า “ยินดีกับท่านลูกค้าด้วย คุณหนูพวกเรากล่าวว่า ลูกค้าคนแรกในวันนี้ไม่ต้องจ่ายเงินเจ้าค่ะ”
เสนาบดีเฉียนที่ตามติดมาด้านหลังสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ลูกค้าคนแรกไม่ต้องจ่ายเงินหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น…คนที่สองล่ะ” แม้จะรู้สึกอับอายอยู่บ้าง แต่เสนาบดีเฉียนก็ยังคงถามออกมา
ช่วยไม่ได้ ร้านที่เปิดมาเพื่อปล้นเงินลูกค้ายังคงแพงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ไม่ต้องจ่ายเงินกับควักเงินจ่ายนั้นแตกต่างกันมากเกินไปแล้ว
โค่วเอ๋อร์เม้มปาก เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าคนที่สองไม่ได้เจ้าค่ะ”
เสนาบดีเฉียนค่อยๆ มองไปทางเสนาบดีจ้าว
นั่นก็หมายความว่า เขาแค่เดินเข้ามาช้ากว่าเหล่าจ้าวเพียงก้าวเดียว เหล่าจ้าวก็ได้กินอาหารโดยไม่เสียเงินแต่เขาต้องควักเงินจ่ายหรือ
เสนาบดีจ้าวสีหน้าสงบนิ่ง
ทำไมล่ะ เร็วกว่าก้าวหนึ่งก็เป็นคนแรกเช่นกัน
ในไม่ช้าลูกค้าหอสุราก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ครอบครองที่นั่งในห้องโถงใหญ่จนเต็ม
คนที่แย่งที่นั่งไม่ได้ก็ถามว่า “พี่ใหญ่หงโต้ว เปิดกิจการวันแรกยังมีจำกัดหมายเลขหรือไม่”
หงโต้วอดกลั้นความบุ่มบ่ามที่จะกลอกตา พลางเอ่ยว่า “วันนี้ยกเว้น ไม่จำกัดจำนวน รอโต๊ะก่อนหน้าว่างก็ได้แล้ว”
ล้วนเป็นสือซานหั่วที่เรียกมั่วซั่วขึ้นทุกวัน ทำให้ลูกค้าหอสุราเหล่านี้ติดนิสัยไม่ดีตามไปด้วย
เรียกใครว่าพี่ใหญ่กัน!
สือเยี่ยนเดินไปถึงโต๊ะข้างหน้าต่าง ถามยิ้มๆ ว่า “นายท่าน ท่านจะสั่งอะไรขอรับ”
เว่ยหานแววตาเย็นชาเล็กน้อย “ใครให้เจ้ามาเป็นเสี่ยวเอ้อร์กัน”
เขาไม่มีเวลาจัดการกับเจ้าสารเลวนี่มาตลอด
รับเลี้ยงและให้ความช่วยเหลือฟู่เสวี่ยก็ช่างเถอะ ยังจะเลี้ยงพวกหมิงจู๋หลายคนนั้นไว้ในจวนอ๋องอีก คนที่ไม่รู้คงนึกว่าเขารับสินเดิมของคุณหนูลั่วล่วงหน้า
สือเยี่ยนหดคอวูบ ฝืนแย้มรอยยิ้ม เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “นายท่าน วันนี้มีหัวหมูย่าง ท่านจะสั่งสักที่ไหมขอรับ”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ชำเลืองมองเสนาบดีจ้าวแวบหนึ่ง กระซิบว่า “หัวหมูย่างจัดเตรียมไว้จำกัด เสนาบดีจ้าวสามารถกินได้สองที่เลยนะขอรับ”
ความสามารถในการฟังของเสนาบดีจ้าวโดดเด่นเหนือผู้คน หลังได้ยินก็กระแอมไอเบาๆ เอ่ยอย่างมีชีวิตชีวาว่า “เสี่ยวเอ้อร์ เอาหัวหมูย่างมาสี่ที่!”
ใครบอกว่าเขาจะกินแค่สองที่กัน ไม่ง่ายเลยที่จะได้กินโดยไม่ต้องจ่ายเงิน หากกินไม่ไหวก็ยังสามารถเอากลับไปได้ด้วยนะ
เสนาบดีเฉียน “…” มีศักดิ์ศรีหน่อยเถอะ
เสนาบดีเฉียนซึ่งสภาพจิตใจสูญเสียความสมดุลไปโดยสิ้นเชิง มองสหายชราแล้วก็ขัดตายิ่ง
เสนาบดีจ้าวยิ้มตาหยี ถามว่า “เหล่าเฉียนเอ๋ย อยากรวมโต๊ะกันไหม”
เสนาบดีเฉียนยินดียิ่ง “รวม!”
ในเมื่อเหล่าจ้าวรู้กาลเทศะขนาดนี้ เช่นนั้นก็เป็นสหายกันต่อไปเถอะ
ค่ำคืนค่อยๆ มืดลง ดวงจันทร์กระจ่างใส ความครึกครื้นในห้องโถงใหญ่ก็ลดลงเล็กน้อย
สตรีนางหนึ่งเดินเข้าหอสุรามาอย่างลังเล
ผู้ดูแลหญิงนัยน์ตาเป็นประกาย ทักทายด้วยความยินดี “ไอ้หยา เป็นผู้ดูแลหันนี่เอง ไม่ได้เจอท่านมาหลายวันแล้ว”
ที่แท้สตรีนางนี้ก็คือผู้ดูแลร้านขายชาดทาแก้มที่อยู่ตรงข้าม เยื้องกับหอสุรา เพราะผู้ดูแลหญิงกับหงโต้ว และโค่วเอ๋อร์มักจะไปเดินเล่นที่ร้านนั่นจึงค่อยๆ สนิทสนมกัน
ทว่านับตั้งแต่เมืองหลวงวุ่นวายขึ้นมา หอสุราก็ปิดร้าน ผู้ดูแลหญิงจึงไม่เคยได้พบนางอีก
“ไม่มีที่นั่งแล้วใช่หรือไม่”
ผู้ดูแลหญิงนำผู้ดูแลหันเข้ามาด้านในอย่างกระตือรือร้น “ไม่มีที่นั่งชั่วคราว ท่านนั่งรอตรงนี้ก่อน”
ผู้ดูแลหญิงยกม้านั่งข้างโต๊ะเก็บเงินให้แล้วส่งสัญญาณให้ผู้ดูแลหันนั่งลง
“น่าละอายจริงๆ ข้ายืนรอดีกว่า” ผู้ดูแลหันเอ่ยแล้วอดมองไปทางลั่วเซิงซึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะเก็บเงินแวบหนึ่งไม่ได้
ลั่วเซิงพยักหน้าให้อย่างมีมารยาท
ผู้ดูแลหันพลันหน่วยตาแดงระเรื่อ “คุณหนูลั่ว ข้าอยากขอให้ท่านช่วยเหลืออะไรอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ปีที่แล้วทางการตามจับสตรีเยาว์วัยไปทั่ว ข้า…” ผู้ดูแลหันเอ่ยพลางเดินเข้าไปใกล้แล้วแทงกริชที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อไปทางลั่วเซิง
[1] ซวงเจี้ยง เป็นช่วงที่เกิดน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะเกิดในวันที่ 23-24 ตุลาคมของทุกปี
[2] สุราเหลือง หรือเหล้าเหลือง เป็นสุราที่หมักจากข้าว โดยไม่ผ่านการกลั่น