ปลายจวักครองใจ - ตอนที่ 536 การขอแต่งงานล่วงหน้า
ตอนที่ 536 การขอแต่งงานล่วงหน้า
ตะเกียบในมือเว่ยหานพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โจมตีถูกข้อมือซึ่งจับกริชอยู่ของผู้ดูแลหัน
กริชตกลงพื้นจนเกิดเสียงดังเคร้ง
ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องน่าเวทนาของผู้ดูแลหัน
นางกุมข้อมืออาบโลหิต เจ็บเสียจนกลิ้งไปมา โลหิตสาดไปทั่วพื้นตามการเคลื่อนไหวของนาง
การเปลี่ยนแปลงอันไม่คาดฝันนี้กะทันหันเกินไปและน่าหวาดกลัวเกินไป ทำให้ลูกค้าหอสุราในห้องโถงใหญ่ตะลึงอ้าปากค้าง
เว่ยหานเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป ดึงลั่วเซิงมาไว้ด้างหลัง “ไม่เป็นอะไรนะ”
ลั่วเซิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
หากไม่ใช่ว่าเขาลงมือเร็วเกินไป นางก็สามารถหลบได้เช่นกัน
สิ่งที่นางอยากรู้ยิ่งกว่าคือเหตุผลที่ผู้ดูแลหันลอบโจมตีนาง
หงโต้วห้อตะบึงเข้ามา คว้าหมับเข้าที่เรือนผมของผู้ดูแลหัน ทุบตีไปพลางด่าว่าไปพลาง “ถึงกับกล้าลอบโจมตีคุณหนูของพวกเรา ดูสิว่าข้าจะซ้อมเจ้าจนตายหรือไม่!”
เสียงฝ่ามือดังกังวานกลบเสียงกรีดร้องน่าเวทนาของผู้ดูแลหันในไม่ช้า
“หงโต้ว หยุดก่อน” ลั่วเซิงเอ่ยปาก
หงโต้วเก็บมือ ผลักผู้ดูแลหันที่ถูกตบจนวิงเวียนศีรษะไปบนพื้นแล้วเหยียบฝ่าเท้าลงบนร่างนาง “คุณหนู ท่านสั่งการได้เลยเจ้าค่ะ”
ลั่วเซิงเดินเข้ามา จ้องสตรีบนพื้นอย่างไม่ละสายตา “เจ้าเป็นใคร”
ผู้ดูแลหันเอามือยันพื้นข้างหนึ่ง แหงนหน้าถลึงตาใส่นาง
แววตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังรุนแรงทำให้ลั่วเซิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เดิมได้ยินผู้ดูแลหันเอ่ยถึงสตรีเยาว์วัยที่ทางการจับกุมในปีที่แล้ว นางก็คิดว่าจะเป็นการแก้แค้นแม่ทัพใหญ่ลั่วใช่หรือไม่ แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบสนองที่ดูอดรนทนไม่ไหว อยากจะแล่เนื้อนางออกเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นแล้วก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง
ตอนนี้ดูท่า วาจานี้เหมือนจะเอ่ยเพื่อให้นางลดความระแวดระวังลง
ลั่วเซิงจ้องผู้ดูแลหัน มองไม่เห็นถึงความผิดปกติใด เมื่อครู่หงโต้วตบนางไปเยอะขนาดนั้น แต่กลับไม่เห็นผิวหน้านางบวมแดง…
ลั่วเซิงสะกิดใจจึงสั่งหงโต้ว “ตรวจสอบใบหน้านางสักหน่อย ดูสิว่ามีอะไรแปลกๆ หรือไม่”
หงโต้วได้ยินคำสั่งก็นั่งยองๆ ลง มือหนึ่งกดไม่ให้อีกฝ่ายต่อสู้ดิ้นรน มือหนึ่งลูบคลำบนใบหน้าของนาง
“ปล่อยข้า ปล่อยข้านะ!”
เสียงแควกดังขึ้น ในมือหงโต้งมีผิวหนังเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแผ่น
ผู้ดูแลหญิงกรีดร้องตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่ ลูกค้าหอสุราในห้องโถงใหญ่ก็ตกใจจนทำตะเกียบหล่น
พี่ใหญ่หงโต้วฉีกผิวหนังบนใบหน้าของผู้อื่นออกมาหรือ
ลั่วเซิงกลับมองเห็นโฉมหน้าแท้จริงที่เผยออกมาของสตรีผู้นี้ “คุณหนูจูหรือ”
ทุกคนได้สติ ถึงได้ค้นพบว่า รูปร่างลักษณะของสตรีบนพื้นเปลี่ยนไป มองข้ามแก้มที่บวมแดงไปถึงกับเป็นคุณหนูที่รูปโฉมงดงามผู้หนึ่ง
ทุกคนมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือหงโต้วพร้อมกัน
ผิวหนังบนใบหน้าที่สั่นไหวไปมาเล็กน้อยภายใต้แสงไฟนั้นชวนให้ผู้คนหวาดผวา
สรุปว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ในฐานะที่เสนาบดีจ้าวเป็นเสนาบดีกรมยุติธรรม แม้ว่าจะไขคดีความไม่ได้ แต่กลับเคยพบเห็นเรื่องแปลกประหลาดมามากจึงเอ่ยเดาว่า “นี่คือหน้ากากผิวหนังมนุษย์สินะ”
หน้ากากผิวหนังมนุษย์หรือ
ทุกคนได้ยินแล้วก็อดหนังศีรษะชาวาบไม่ได้
นี่ไม่ใช่หอสุราที่ร่ำสุราและกินเนื้อแห่งหนึ่งหรอกหรือ ทำไมกระทั่งหน้ากากผิวหนังมนุษย์ก็ยังปรากฏออกมาด้วยล่ะ
หงโต้วก็จำสตรีผู้นี้ได้เช่นกัน “จูหานซวง ทำไมถึงเป็นเจ้า!”
ผู้ดูแลหญิงสามารถจำลูกค้าที่เคยมาหอสุราได้หมด ขณะจ้องจูหานซวงก็เอ่ยพึมพำ “ที่แท้เจ้าก็คือคุณหนูรองจูแห่งจวนอันกั๋วกงนี่เอง!”
ผู้ที่นั่งอยู่ล้วนเป็นบุรุษ เมื่อได้ยินหงโต้วตะโกนเรียกชื่อก็ไม่รู้ว่าเป็นตระกูลใด แต่เมื่อได้ยินคำว่าจวนอันกั๋วกงก็รู้แล้ว
และเพราะเป็นเช่นนี้จึงยิ่งตกตะลึง
คุณหนูของจวนอันกั๋วกงสวมหน้ากากผิวหนังมนุษย์มาลอบโจมตีคุณหนูลั่วหรือ
ความจริงลั่วเซิงก็มีราชทินนามองค์หญิงใหญ่ เพียงแต่ผู้คนยังคงคุ้นชินกับการเรียกนางว่า ‘คุณหนูลั่ว’
“หากข้าจำไม่ผิด ร้านขายชาดทาแก้มแห่งนั้นเปิดมาได้สองปีกว่าแล้วสินะ คุณหนูจูทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นนี้ ช่างมีความอุตสาหะจริงๆ” ลั่วเซิงเอ่ยเรียบๆ
จูหานซวงฟังคำพูดของลั่วเซิงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นางกุมข้อมือ มองเว่ยหานอย่างลุ่มหลง “ท่านอ๋อง ท่านยังจำข้าได้ไหม”
ลั่วเซิงเหลือบมองเว่ยหานแวบหนึ่งแล้วเขยิบไปด้านหลังเงียบๆ
ใครก่อปัญหาขึ้นมา คนนั้นก็ต้องจัดการแก้ไข
เว่ยหานพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “จำได้ ท่านเคยมาหาเรื่องคุณหนูลั่วหลายครั้ง”
ตอนที่จูหานซวงได้ยินคำว่า ‘จำได้’ แววตาก็เปล่งประกาย แต่หลังจากได้ฟังวาจาด้านหลังก็มอดดับไป โทสะกับความน้อยใจโหมซัดสาด “ท่านอ๋องลืมเรื่องที่นังชั้นต่ำแซ่ลั่วดึงผ้าคาดเอวท่านกลางถนนไปแล้วหรือ นางทำให้ท่านอับอายเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงยังปกป้องนางอีก”
เหล่าลูกค้าในหอสุราได้กลิ่นเรื่องซุบซิบนินทาก็เงี่ยหูฟังทันที
กล่าวตามตรง พวกเขาเองก็อยากรู้มากเช่นกัน
เว่ยหานรู้สึกว่า วาจานี้น่าขันอยู่บ้างจึงเอ่ยเรียบๆ “ความผิดพลาดโดยไม่เจตนาของเด็กสาวคนหนึ่งยังไม่สามารถทำให้ข้าอับอายได้หรอก สำหรับเรื่องที่ว่าในภายหลังเหตุใดจึงได้ปกป้องไปเสียหมด…”
เขามองลั่วเซิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “เพราะข้าชอบนาง ปกป้องนางไม่ใช่เรื่องที่เป็นสัจธรรมอันถูกต้องที่เปลี่ยนแปลงมิได้หรอกหรือ”
สัจธรรมอันถูกต้องที่เปลี่ยนแปลงมิได้?
จูหานซวงพึมพำหลายคำนี้แล้ว สติสัมปชัญญะก็พังทลาย “ลั่วเซิง ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!”
“หยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” เสียงตะโกนอันทรงพลังดังลอยมา
ทุกคนล้วนมองไปทางประตูก็เห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา
“เสนาบดีจ้าว พวกท่านกรมยุติธรรมควรจะพาคนก่อเหตุทำร้ายร่างกายไปได้แล้วใช่หรือไม่” แม่ทัพใหญ่ลั่วชี้จูหานซวงที่เข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง
แต่เขาไม่อยากไปนี่ สุราและอาหารยังกินไม่เสร็จ เรื่องสนุกก็ยังดูไม่พอเลย
แม้ว่าแม่ทัพใหญ่ลั่วจะหงุดหงิดที่จูหานซวงลอบโจมตีบุตรสาวอันเป็นที่รัก แต่ผู้ร้ายที่ถูกเปิดเผยตัวตนแล้ว ไม่ควรค่าให้เขาหนักใจ
ตอนนี้สิ่งที่เขาใส่ใจยิ่งกว่าคืออีกเรื่องหนึ่ง
แม่ทัพใหญ่ลั่วจ้องเว่ยหานด้วยแววตาเปล่งประกายแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ท่านอ๋อง พวกเราไปสนทนากันด้านหลังเถอะ”
เว่ยหานมองลั่วเซิงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “ได้”
ทั้งสองคนออกจากห้องโถงใหญ่ไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว เสนาบดีจ้าวก็สั่งองครักษ์ที่ติดตามมาด้วยว่า “พาตัวนางกลับกรมยุติธรรม แล้วไปส่งข่าวให้จวนอันกั๋วกง”
ห้องโถงใหญ่กลับคืนสู่ความปกติ เหล่าลูกค้าหอสุรามองเด็กสาวสีหน้าเรียบเฉยข้างโต๊ะคิดเงินแล้ว ก็แอบเลื่อมใส สุดท้ายก็เป็นคุณหนูลั่ว ได้ยินคำสารภาพรักของไคหยางอ๋องแล้ว ถึงกับสีหน้าไม่เปลี่ยนเลย
ต้นพลับบริเวณลานด้านหลังยามค่ำคืนงดงามและเงียบสงบ แม่ทัพใหญ่ลั่วชี้ไปยังม้านั่งข้างๆ “ท่านอ๋องนั่ง”
เว่ยหานนั่งลง
แม่ทัพใหญ่ลั่วลอบสูดลมหายใจ แสร้งเอ่ยปากด้วยท่าทางเยือกเย็น “เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกว่าชอบเซิงเอ๋อร์…”
“ใช่”
แม่ทัพใหญ่ลั่วหน้าตึง ถามอย่างต่อเนื่อง “นี่มันเป็นเรื่องเมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่รู้ หรือว่าท่านอ๋องตั้งใจจะตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตอย่างการแต่งงานเป็นการส่วนตัวกับบุตรสาวข้า”
คิดๆ แล้วก็โมโห หลังจากเฉินเอ๋อร์ขึ้นครองราชย์ก็แต่งตั้งบุตรสาวทั้งสี่เป็นองค์หญิงใหญ่ เขายังคิดว่าคราวนี้เยี่ยมไปเลย ในที่สุดก็สามารถสัมผัสความรู้สึกของการที่แม่สื่อเหยียบธรณีประตูจนร้าวได้แล้ว
แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า หนึ่งปีแล้ว หนึ่งปีเต็มๆ ก็ยังไม่มีการสู่ขอเลยสักครั้งเดียว!
คนอื่นน่ะช่างเถอะ ไม่อาจข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า[1] เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไคหยางอ๋องชอบเซิงเอ๋อร์ แต่กลับไม่กระทำเรื่องสำคัญใดๆ เป็นเพราะคาดการณ์และตัดสินแล้วว่า บุตรสาวของเขาแต่งไม่ออกเช่นนั้นหรือ
เว่ยหานที่เผชิญหน้ากับคำถามของแม่ทัพใหญ่ลั่วก็ตอบอย่างสัตย์ซื่อ “ชอบโดยไม่รู้ตัว กำลังเตรียมไปสู่ขอกับท่านลุงพรุ่งนี้”
“ข้าไม่เห็นด้วย!” แม่ทัพใหญ่ลั่วปฏิเสธอย่างแน่วแน่
เหอะ เขาก็เป็นคนที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีคนหนึ่ง
เว่ยหานคิดไม่ถึงว่า แม่ทัพใหญ่ลั่วจะปฏิเสธอย่างไม่ลังเลจึงมองใบหน้าทะมึนนั้นแล้วถามอย่างจริงจังว่า “ท่านสามารถบอกสาเหตุที่คัดค้านสักหน่อยได้ไหม”
แม่ทัพใหญ่ลั่วกระแอมไออย่างสงวนท่าที “ประการแรกตระกูลที่มีบุตรสาวย่อมนำมาซึ่งผู้สู่ขอแต่งงานมากมาย ข้ายังอยากจะเลือกให้เซิงเอ๋อร์ดีๆ”
ผู้มาสู่ขอแต่งงานมากมายหรือ
เว่ยหานตะลึง
เมื่อเห็นเว่ยหานอึ้งค้างไป แม่ทัพใหญ่ลั่วก็กังวลขึ้นมา ไม่หรอกมั้ง ความล้มเหลวเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าเด็กนี่ก็วางแผนจะถอนตัวกลางคันแล้วหรือ
[1] ข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า หมายถึงบังคับขืนใจผู้อื่นให้ทำตามที่ตนต้องการ